ภาคีทวงสิทธิสร้างเสริมสุขภาพฯ ยื่นหนังสือ สปสช.-ภท. ปมงบป้องกันสร้างเสริมสุขภาพ เรียกร้องพรรคการเมืองคนไทยต้องได้สิทธิเท่าเทียม
ที่มา: ภาคีทวงสิทธิสุขภาพฯ
- ภาคีทวงคืนสิทธิสร้างเสริมสุขภาพฯ ยื่นหนังสือ สปสช. ร้องมาตรการชดเชยค่าใช้จ่าย กรณีสำรองจ่ายไปก่อนแล้วหลายล้านบาท จี้หาทางออกให้ได้ก่อนยุบสภา พร้อมยื่นเรื่องถึงพรรคภูมิใจไทย ขออนุทินแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้น และให้พรรคการเมืองทุกพรรค มีนโยบายที่ชัดเจนการันตีคนไทยทุกคนต้องได้สิทธิเท่าเทียม
- ตามที่ก่อนหน้านี้เครือข่ายประชาสังคมออกมาเรียกร้องให้อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธาน คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดสปสช.) ยังไม่ลงนามงบสร้างเสริมสุขภาพ เนื่องจากทางกฎหมายจะทำได้ในส่วนของบัตรทอง แต่สิทธิอื่นไม่ได้ กระทั่งอนุทิน ให้สปสช.ให้สิทธิทั้งหมด แต่ต้องทำใหถูกระเบียบออกเป็นกฎหมาย ล่าสุด สปสช.อยู่ระหว่างจัดทำร่างเพื่อออกเป็นพระราชกฤษฎีกานั้น
ภาพจากสหภาพคนทำงาน
9 มี.ค 66 ณ ห้องประชุม 709 สำนักคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เว็บไซต์เจาะลึกระบบสุขภาพรายงานว่า ภาคีทวงคืนสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้คนไทยทุกคน ร่วมกับ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติภาคีทวงคืนสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ออกมาเรียกร้องให้คนไทยทุกคนทุกสิทธิการรักษาได้รับการดูแลการสร้างเสริมสุขภาพอย่างเท่าเทียม โดยมี รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม เป็นผู้แทนภาคีราว 130 องค์กร ร่วมจัดกิจกรรมแสดงออกด้วยการยื่นจดหมายเปิดผนึกเรียกร้อง ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และที่พรรคภูมิใจไทย
ภาพจากไลฟ์ เฟซบุ๊คเพจเครือข่ายอาสา
สาระสำคัญข้อเรียกร้อง ระบุว่า จากการที่ สปสช. โดยคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ ได้เห็นชอบเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 65 ต่อข้อเสนอหลักเกณฑ์และการดำเนินงานการบริการจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประจำปีงบประมาณ 2566 ที่เกี่ยวข้องกับ
1) บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
2) การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
3) บริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนและ
4) บริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งสิทธิดังกล่าวคุ้มครองคนไทยมานานกว่า 20 ปี แต่ทว่าในปีงบประมาณ 2566 ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ทักท้วงว่า สปสช. ไม่ควรมีอำนาจในการดูแลสิทธิอื่นนอกเหนือจากกลุ่มบัตรทอง ส่งผลให้บริการดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะคนไทยผู้มีสิทธิบัตรทอง 47 ล้านคนเท่านั้น
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จึงได้อาศัยมติคณะรัฐมนตรีในแต่ละปี เพื่อจัดสรรงบประมาณด้านสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และการฟื้นฟูสุขภาพที่ขาดหายไปในสิทธิสุขภาพอื่น ๆ ให้ครอบคลุมคนไทยถ้วนหน้า
ภาคีทวงคืนสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในนามของผู้ได้รับผลกระทบจากการเสียสิทธิสุขภาพ เห็นว่าการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เป็น "สิทธิสุขภาพ" ที่ประชาชนได้มาจากเงินภาษีของทุกคน นอกเหนือไปจากสิทธิการรักษาพยาบาล จึงเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องจัดสรรให้ประชาชนทุกคนโดยไม่แบ่งแยก และหากการส่งเสริมสุขภาพและกลไกการควบคุมป้องกันโรคไม่สามารถเข้าถึงประชาชนไทยได้ทั่วถึงเท่าเทียม ประเทศไทยอาจเข้าสู่วงจรปัญหาสุขภาพที่รุนแรงในอนาคตได้
ภาคีทวงคืนสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จึงขอเรียกร้องต่อบุคคล กลุ่มบุคคล และหน่วยงาน ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ขอให้อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเร่งลงนามในประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพเพื่อคืนสิทธิและแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นในขณะนี้โดยทันที ก่อนการยุบสภาที่จะเกิดขึ้น
2. ขอให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดจัดทำ พระราชกฤษฎีกา คืนสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค คืนสิทธิให้ทุกคนในประเทศเพื่อนำไปสู่การพิจารณาให้แล้วเสร็จในสมัยของคณะรัฐมนตรีชุดนี้
3. ขอให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีมาตรการที่ชัดเจนในการชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคที่หน่วยบริการสุขภาพภาครัฐและเอกชนได้สำรองจ่ายไปก่อนแล้วจำนวนหลายล้านบาทในปีงบประมาณ 2566 และทางออกในปีงบประมาณ 2567 หากไม่สามารถดำเนินการในข้อ 1 และ 2 ได้ก่อนยุบสภา
4. ขอให้พรรคการเมืองทุกพรรคมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อรับประกันว่าประชาชนไทยทุกคนจะได้รับสิทธิสุขภาพครอบคลุมการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค รักษาพยาบาล และฟื้นฟูสุขภาพอย่างทั่วถึงเท่าเทียม
นอกจากนี้ ช่วงบ่ายในวันเดียวกันคณะผู้แทนภาคีทวงคืนสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้คนไทยทุกคน เดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกและจัดกิจกรรมเรียกร้องการคืนสิทธิฯ ให้ครอบคลุมคนไทยทุกคน ณ ที่ทําการพรรคภูมิใจไทย
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐต้องทำและควรจัดบริการให้ประชาชนคือ "การส่งเสริม การป้องกัน การรักษา การให้บริการ" ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เคยมีอยู่แล้วและควรทำให้ดีกว่าเดิมต่อไป เพื่อให้ระบบสาธารณสุขของไทยไม่ถดถอยลงไปมากกว่านี้