สหรัฐฯ จะแบน TikTok ได้จริงหรือ? เมื่อมีกระแสสกัดการแบนเพราะกังวลเรื่องเสรีภาพ

หลังจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ทำการเรียกตัวซีอีโอ TikTok เข้าซักถามในเรื่องที่พวกเขากังวลเกี่ยวกับความมั่นคงและการเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน แรนด์ พอล ส.ว. พรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ ก็มองต่างออกไปโดยกลัวว่าการแบนแอปฯ อาจจะเป็นการละเมิดเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และมีอีกหลายประเด็นที่นักวิเคราะห์ชวนขบคิด เช่น ถ้าจีนได้ข้อมูลผู้ใช้งานสหรัฐฯ ไปจริง พวกเขาจะเอาไปทำอะไร

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมาว่าแรนด์ พอล ส.ว. พรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ สกัดกั้นความพยายามแบนแอพฯ TikTok ในสหรัฐฯ โดยระบุถึงเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันต่อบริษัทโซเชียลมีเดียอื่นๆ

แอพ TikTok เป็นโซเชียลมีเดียวิดีโอขนาดสั้นที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจชาวจีน มีผู้ใช้งานมากกว่า 150 ล้านรายต่อเดือนในสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเยาว์

พอลกล่าวในที่ประชุมวุฒิสภาว่า "ผมคิดว่าพวกเราต้องระวังผู้คนที่ใข้ความกลัวมาเกลี้ยกล่อมให้ชาวอเมริกันละทิ้งเสรีภาพของพวกเราเอง ... ในทุกการกล่าวหาเรื่องการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ใช้งานที่มีการพาดพิงถึง TikTok นั้น ก็สามารถพาดพิงถึงบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ได้ด้วย"

ทางด้าน โจช ฮอว์ลีย์ ส.ว. พรรครีพับลิกันพยายามหาฉันทามติเพื่อให้มีการออกบัญญัติแบน TikTok ฮอว์ลีย์บอกว่า "มันเป็นการคุ้มครองประชาชนชาวอเมริกันและส่งสารไปถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าคุณซื้อเราไม่ได้" โดยที่ฮอว์ลีย์กล่าวหาว่าแอพฯ TikTok ทำการสอดแนมประชาชนในสหรัฐฯ

ทาง TikTok ระบุว่าพวกเขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อจัดการในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าพวกเขาทำการสอดแนมประชาชนอเมริกัน โดยเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา Shou Zi Chew ซีอีโอของ TikTok ได้ปรากฏตัวเพื่อตอบข้อซักถามต่อหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องที่ทางการสหรัฐฯ เป็นห่วงว่า TikTok จะส่งผลกระทบด้านความมั่นคงของประเทศ

เคยมีการวิเคราะห์เรื่องนี้ในสื่อไอทีว่าทำไมรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงจ้องเล่นงานต่อ TikTok เพียงอย่างเดียว ทั้งๆ ที่บริษัทไอทียักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ อื่นๆ ก็ทำการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับที่พอลเสนอไว้ในการสกัดกั้นการแบนแอพพลิเคชั่น TikTok

TikTok สร้างความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวจริงหรือ ถ้าจริงแล้วรัฐบาลจีนจะเอาข้อมูลไปทำอะไร?

นอกจากนี้ยังเคยมีบทวิเคราะห์จาก ดัง เจคอบสัน ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยรัฐไอโอวา และเป็นนักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตั้งคำถามว่าการพยายามแบน TikTok ในระดับทั้งประเทศสหรัฐฯ จะทำได้จริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการแบน TikTok จากเครื่องมือที่ใช้การทำงานของบางบริษัทหรือในระดับสำนักงานภาครัฐของอเมริกาก็ตาม

รวมถึงมีคำถามว่า TikTok ส่งผลต่อความเสี่ยงเรื่องความเป็นส่วนตัวทางข้อมูลจริงหรือ? ประเทศจีนจะเอาข้อมูลไปใช้ทำอะไร? การแนะนำเนื้อหาบน TikTok เป็นอันตรายอย่างที่ทางการสหรัฐฯ กล่าวหาไว้จริงหรือไม่?

เจคอบสันระบุว่า ในฐานะที่เขาเป็นนักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ในทุกๆ สองสามปีก็จะมีแอพมือถือใหม่ๆ ที่เป็นที่นิยมแล้วก็จะมีปัญหาเรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานเกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเกม Pokemon Go, Facebook หรือแม้กระทั่งตัวโทรศัพท์มือถือเองที่มีปัญหาในเรื่องนี้

เจคอบสันระบุว่า นโยบายเรื่องความเป็นส่วนตัวของ TikTok เองก็ไม่โปร่งใสมากพอ แต่ประเภทของข้อมูลส่วนตัวที่ TikTok เก็บจากผู้ใช้งานก็มีความน่าเป็นห่วงด้านความปลอดภัยอยู่จริง เช่นข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของผู้ใข้งาน, ข้อมูลจากคลิปบอร์ด(เวลาเรา copy ข้อความจะมีการส่งไปเก็บไว้ที่คลิปบอร์ด), ข้อมูลการติดต่อ, การติดตามการใช้เว็บไซต์ และข้อมูลทุกอย่างรวมถึงข้อความทุกข้อความที่ผู้ใช้งานโพสต์ลงในแอปพลิเคชัน โดยที่ถึงแม้ว่าทาง TikTok จะระบุว่าพวกเขาไม่ได้เก็บข้อมูลของ GPS ในสหรัฐฯ แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าพวกเขาพูดจริงหรือไม่

มาถึงคำถามที่ว่าถ้า TikTok เก็บข้อมูลเหล่านี้ได้ แล้วนำไปให้รัฐบาลจีนหรือรัฐบาลจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้จริงอย่างที่สหรัฐฯ กล่าวหา รัฐบาลจีนจะเอาข้อมูลเหล่านี้ไปทำอะไรได้บ้างที่จะเป็นประโยชน์กับพวกเขาเอง เจคอบสันมองว่าจีนมักจะ "ชอบเล่นเกมยาว" ถ้าหากจีนเก็บข้อมูลผู้ใช้งานได้จริงมันก็จะกินเวลาหลายปีที่พวกเขาจะหาวิธีทำให้มันเป็นประโยชน์ได้ แต่หนึ่งในสิ่งที่จีนมีโอกาสนำมาใช้ในแบบที่เป็นภัยคุกคามคือการที่จีนใช้มันสอดแนมผู้คน ซึ่งกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ กำลังสืบสวนเรื่องที่ว่าบริษัทไบทแดนซ์ เจ้าของ TikTok ใช้แอพสอดแนมนักข่าวสหรัฐฯ จริงหรือไม่

นอกจากนี้เจคอบสันยังอีกบอกว่ารัฐบาลจีนเคยใช้วิธีการแฮ็กหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ และบรรษัทสัญชาติสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้วิธีการทางจิตวิทยาเพื่อล่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลตัวเองในแบบที่เรียกว่า "วิศวกรรมทางสังคม" (Social Engineering)

อีกเรื่องหนึ่งที่สหรัฐฯ เป็นกังวลคือการที่ TikTok อาศัยอัลกอริทึ่มแบบที่มีอคติหรือกระทั่งบิดเบือนระบบของมันเพื่อการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่ปลอดภัย เรื่องนี้เจคอบสันบอกว่าทาง TikTok ไม่ได้เปิดเผยเกี่ยวกับรายละเอียดอัลกอริทึ่มของตัวเองทำให้ไม่ชัดเจนว่าตัวแอพเลือกเนื้อหาให้กับผู้ใช้งานมองเห็นโดยคำนึงถึงอะไรบ้าง อัลกอริทึ่มนี้สามารถส่งอิทธิพลต่างๆ ต่อการรับรู้ของผู้คนเช่นสร้างอคติต่อเรื่องบางอย่างให้กับคนรุ่นใหม่และส่งผลต่อความคิดเห็นของประชาชนได้

แต่ในแง่ที่ว่าสหรัฐฯ จะแบน TikTok ได้ทั้งประเทศหรือไม่นั้น เจคอบสันระบุเอาไว้ก่อนหน้าที่ แรนด์ พอล จะพูดถึงเรื่องนี้แล้วว่า มันอาจจะติดในแง่ของกฎหมายสหรัฐฯ ที่คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นคือบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 1 ในรัฐธรรมนูญ อย่างมากที่สุดพวกเขาก็จะทำได้แค่การปิดกั้นไม่ให้ร้านค้ารายใหญ่อย่าง แอปเปิล หรือ กูเกิล ขายแอปพลิเคชันนี้เท่านั้น แต่คนก็ยังอาจจะหาวิธีดาวน์โหลดแล้วก็ใช้งานได้จากที่อื่นอยู่

อย่างไรก็ตามต่อให้สมมติว่าสหรัฐฯ แบน TikTok ได้ทั้งประเทศจริงๆ เจคอบสันก็มองว่ามันก็ป้องกันความเสียหายจากการที่รัฐบาลจีนเก็บข้อมูลพลประชาชนสหรัฐฯ ได้ไม่มากนัก เพราะรัฐบาลจีนได้เก็บข้อมูลของประชากรในสหรัฐฯ ไปแล้วร้อยละ 80 ด้วยวิธีการหลายรูปแบบ ในแง่นี้ทำให้จีนอาจจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปขายต่อทำเงินได้ในตลาดข้อมูลส่วนบุคคลได้ ซึ่งน่าจะนำไปสู่การเรียกร้องกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวดขึ้น

แต่เจคอบสันก็บอกว่าที่ควรจะต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้จริงๆ คือคนที่มีอำนาจทางการเมืองหรือในบริษัทมากกว่าผู้ใช้งาน TikTok ทั่วไป สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปนั้นเจคอบสันเป็นห่วงเรื่องอัลกอริทึ่มในการตัดสินว่าผู้ใช้งานจะได้เห็นเนื้อหาอะไรบ้างมากกว่า และมันได้ส่งผลต่อประชากรกลุ่มที่เปราะบางหรือเสี่ยงต่อการถูกกระทำอย่างไรบ้างโดยเฉพาะกับเยาวชน เจคอบสันบอกว่าเขาเป็นห่วงเรื่องที่มันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องสุขภาพจิตของผู้ใช้งานแอปพลิเคชันนี้ และควรมีการหารือกันว่ามันได้นำทางเราไปทางที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตหรือไม่

แล้วรัฐบาลสหรัฐฯ จะทำอย่างไรต่อ

สำหรับในตอนนี้ ส.ว.สหรัฐฯ จำนวนหนึ่งจากทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ยังคงพยายามผลักดันร่างกฎหมาย RESTRICT ซึ่งจะเป็นการสร้างข้อจำกัดบางอย่างให้กับ TikTok หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่พวกเขามองว่าเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะนำกฎหมายนี้มาใช้จำกัดแอพหรือเทคโนโลยีที่มาจาก จีน, รัสเซีย, เกาหลีเหนือ, อิหร่าน, เวเนซุเอลา และคิวบา ซึ่งพอลแสดงความกังวลว่ามันจะ "ให้อำนาจประธานาธิบดีในการแบนการแสดงความคิดเห็นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด"

พอลบอกอีกว่าการแบนแอปพลิเคชันเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรเลยกับสิ่งที่รัฐบาลจีนทำ "พวกเราจะกลายเป็นแบบจีนแล้วก็แบนการแสดงความคิดเห็นที่เราหวาดกลัวกันแบบนี้จริงๆ หรือ" พอลกล่าว

นอกจากพอลแล้วก็มีนักการเมืองอีกบางส่วนทั้งจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่าง จัสติน อะมาช และฝ่ายเอียงซ้ายอย่าง อเล็กซานเดรีย โอแคซิโอ-คอร์เทซ ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับกฎหมายแบนแอปพลิเคชันในสหรัฐฯ อะมาชพูดถึงเรื่องการกลัวว่าฝ่ายบริหารในสหรัฐฯ จะมีอำนาจควบคุมอย่างกว้างขวางมากเกินไป ในขณะที่โอแคซิโอ-คอร์เทซ ก็บอกว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและทำให้เธอ "รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง" กลุ่มสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) ที่สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก็ต่อต้านกฎหมาย RESTRICT ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตที่ว่าในสหรัฐฯ เองก็เคยมีกฎหมายซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลเก็บข้อมูลพลเมืองของตัวเองไว้เช่นกันคือ มาตรา 702 ของกฎหมายข่าวกรองต่างชาติ ที่กำลังรอการโหวตให้นำกลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะให้อำนาจในการสอดแนมอีเมล หรือโทรศัพท์ หรือการสื่อสารออนไลน์อื่นๆ ของคนต่างชาติได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น

เรื่องนี้ทำให้นักวิจัยด้านไอทีและนักกิจกรรมด้านความเป็นส่วนตัวอย่าง แอชเชอร์ วูล์ฟ มองว่ามันกลายเป็นกรณีแบบที่สหรัฐฯ "ออกกฎเก่ง แต่ตัวเองไม่ต้องทำ" ทำให้การที่สหรัฐฯ โวยวายเรื่อง TikTok นั้นดูเป็นเรื่องไม่ค่อยจริงใจในการที่จะคุ้มครองข้อมูลพลเมืองจากการถูกสอดแนมและปฏิบัติการสร้างอิทธิพลจากต่างประเทศ แต่กลายเป็นดูเหมือนว่าพวกเขากำลังล้อมรั่วเพื่อรักษาอำนาจการควบคุมโซเชียลมีเดียไว้ในมือตัวเองเท่านั้น

เรียบเรียงจาก
Republican Senator Rand Paul blocks bid to ban TikTok in US, Aljazeera, 30-03-2023
Should the US ban TikTok? Can it? A cybersecurity expert explains the risks the app poses and the challenges to blocking it, The Conversation, 23-03-2023

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท