Skip to main content
sharethis

ศูนย์ทนายฯ เผยช่วง 18-20 มิ.ย. 67 มีรายงานตำรวจไปบ้านประชาชน โดยอ้างว่าเคยโพสต์หรือแชร์ข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และแจ้งให้ลบโพสต์ หรือเรียกไปให้เซ็นข้อตกลงว่าจะไม่ทำอีก ชี้เป็นกระบวนการนอก กม. พร้อมฝากข้อแนะนำถึงผู้ประสบเหตุเดียวกัน

 

22 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานวันนี้ (21 มิ.ย.) ว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 18-20 มิ.ย. 2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับแจ้งจากประชาชนอย่างน้อย 2 ราย ว่าได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าติดตามถึงบ้าน โดยอ้างเหตุเกี่ยวกับการเคยแชร์โพสต์ข้อความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และแจ้งขอให้ลบโพสต์ออก

ศูนย์ทนายฯ ระบุว่า สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นใน 2 พื้นที่ภูมิภาค ข้อน่าสังเกตคือ แม้เกิดขึ้นคนละจังหวัด แต่มีรูปแบบร่วมกันคือเจ้าหน้าที่ไปที่บ้านประชาชน โดยอ้างว่า ประชาชนที่ถูกติดตามเคยแชร์ข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์บนสื่อโซเชียลมีเดีย จึงขอให้ลบโพสต์ดังกล่าวออก และเตือนว่าอย่ากระทำอีก

นอกจากนี้ ประชาชนรายหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดต่อให้ไปเซ็นเอกสารบันทึกข้อตกลงที่สถานีตำรวจ โดยมีเอกสารที่มีข้อความในลักษณะยอมรับว่าเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลที่พาดพิงสถาบันหลักของชาติจริง ในลักษณะที่ไม่เหมาะสมและมิบังควร และได้เข้าใจแล้วว่าไม่ถูกต้อง จึงขอให้สัญญาว่าจะไม่กระทำการในลักษณะเช่นนี้อีกต่อไป แต่ประชาชนปฏิเสธการไปเซ็นเอกสารดังกล่าว

เอกสารที่เจ้าหน้าที่รัฐนำไปให้ประชาชนลงชื่อ เมื่อช่วงปี 2564 และปัจจุบันพบว่ายังมีการใช้เอกสารในลักษณะเดียวกันนี้อยู่

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พบว่า ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เป็นสิ่งที่ดำเนินสืบเนื่องมาตั้งแต่ราวช่วงปี 2562 มีลักษณะที่ปรับรูปแบบมาจากปฏิบัติการของทหารในช่วงยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจเข้าติดตามคุกคามประชาชน แต่ช่วงหลังปี 2562 ได้ใช้หน่วยงานที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก โดยมีเจ้าหน้าที่เข้าไปติดตามถึงบ้าน ที่ทำงาน หรือพื้นที่ส่วนตัวของประชาชน พร้อมอ้างว่าได้โพสต์หรือแชร์ข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ มีการข่มขู่จะดำเนินคดี บางรายถูกนำตัวไปสถานีตำรวจโดยไม่มีหมายจับหรือหมายเรียก และให้ทำบันทึกข้อตกลงว่าจะกระทำในลักษณะดังกล่าวอีก หรือถูกบันทึกวิดีโอระหว่างกระบวนการที่อ้างว่าเป็นการสอบสวน

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงการชุมนุมของนักศึกษาเยาวชนปี 2563-64 แม้สถานการณ์ชุมนุมจะลดระดับลงไปแล้ว แต่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนก็ยังได้รับรายงานการคุกคามในลักษณะนี้เป็นระยะตลอดช่วงประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา แม้ในช่วงที่เปลี่ยนรัฐบาลในปัจจุบันแล้วก็ตาม

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เห็นว่า กระบวนการทั้งหมดนี้เป็น 'กระบวนการนอกกฎหมาย' ไม่ได้มีกฎหมายใดบัญญัติให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการดังกล่าวได้ ทั้งเอกสารบันทึกข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้มีสถานะทางกฎหมาย และการดำเนินการดังกล่าวยังมีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว เสรีภาพในการแสดงออก การควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทั่งเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ

ข้อแนะนำจากศูนย์ทนายฯ หากประสบเหตุดังกล่าว

ต่อสถานการณ์ดังกล่าวที่ยังดำเนินสืบเนื่องมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีข้อแนะนำต่อประชาชนที่ถูกติดตามคุกคาม ดังต่อไปนี้

1. ประชาชนหรือญาติของผู้ถูกคุกคาม ควรทำการสังเกต สอบถาม และบันทึกข้อมูลพฤติการณ์ต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้ามาติดตามคุกคามโดยละเอียดเท่าที่สามารถทำได้ อาทิเช่น วันเวลาที่เจ้าหน้าที่มาติดตาม จำนวนเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่แต่งกายเช่นใด เป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใด ชื่อยศตำแหน่งใด ดำเนินการภายใต้คำสั่งของใคร มีเอกสารใดในการแสดงตัวบ้าง มีเอกสารใดที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับการโพสต์ข้อความดังกล่าว

2. บันทึกภาพหรือบันทึกวิดีโอเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาติดตามคุกคามไว้ รวมทั้งบันทึกภาพเอกสารต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่นำมาหากสามารถทำได้

3. ประชาชนมีสิทธิที่จะให้ข้อมูลใด ๆ กับเจ้าหน้าที่หรือไม่ก็ได้ และสามารถขอติดต่อปรึกษาบุคคลที่ไว้วางใจ หรือทนายความ เพื่อร่วมติดตามการดำเนินการของเจ้าหน้าที่

4. หากจะมีการพาตัว หรืออ้างว่าเชิญตัวไปยังสถานีตำรวจ หรือสถานที่อื่นใด ไม่จำเป็นต้องไป เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีอำนาจควบคุมตัวตามกฎหมาย หากไม่มีหมายจับที่ออกโดยศาล

5. ประชาชนมีสิทธิจะไม่ให้ข้อมูล หรือไม่ลงนามในเอกสารใด ๆ ที่เจ้าหน้าที่นำมา เนื่องจากไม่ใช่การใช้อำนาจตามกฎหมาย และเอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสารที่มีสถานะทางกฎหมายใด

6. หากเจ้าหน้าที่ข่มขู่จะดำเนินคดี ก็ไม่มีหลักประกันว่าการลงชื่อในเอกสารแล้ว จะไม่นำไปสู่การถูกดำเนินคดีได้ ทั้งข้อความที่เจ้าหน้าที่ระบุ ก็อาจจะไม่ได้ผิดกฎหมายใด เนื่องจากเป็นการกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่เองฝ่ายเดียว

7. พึงระมัดระวัง การให้ความร่วมมือกับบุคคลที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ แต่ไม่เปิดเผยชื่อและสังกัด ไม่ควรรับข้อเท็จจริงใด เช่น รับว่าเป็นเจ้าของบัญชีโซเชียลมีเดีย รับว่าเป็นคนโพสต์ ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มือถือ ยินยอมให้สำเนา ให้พาสเวิร์ด (password) หรือลงนามในเอกสารใด เพราะหลักฐานและเอกสารดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ผูกมัดในการดำเนินการในทางคดีได้อีกด้วย

8. ประชาชนที่ถูกคุกคามสามารถร่วมกันร้องเรียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปยังกลไกการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.), คณะกรรมาธิการในสภาชุดต่างๆ ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ด้านตำรวจ หรือด้านความมั่นคง  หรือเข้าร้องเรียนหน่วยงานภายในของตำรวจเอง เพื่อร่วมกันผลักดันให้มีการตรวจสอบและยุติปฏิบัติการดังกล่าว

รวมทั้งหากประชาชนรายใดประสบกับสถานการณ์การคุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐในลักษณะดังกล่าว สามารถติดต่อแจ้งเรื่องมาที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ในทุกช่องทาง 
 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net