Skip to main content
sharethis

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนยกฟ้อง “รามิล” อดีตนักศึกษา มช. และสมาชิกกลุ่ม artn’t ในคดี ม.112 จากการ Performance art เมื่อปี 64 ในท่าครุฑ, นอนหงายเท้าชี้พระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 ศาลอุทธรณ์ชี้พยานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ แม้แสดงท่าทางไม่เหมาะสม แต่ไม่เข้าข่าย ม.112 เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

 

4 ก.ย. 2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงาน เวลา 9.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 11 ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในคดีของ “รามิล” ศิวัญชลี วิธญเสรีวัฒน์ อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาชิกกลุ่ม artn’t ที่ถูกฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีแสดง Performance art หรือ ศิลปะการแสดงสด ที่หน้าป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564 โดยรามิลถูกกล่าวหาว่าเคลื่อนไหวท่าทางต่างๆ เช่น ท่าครุฑ และนอนหงายพร้อมใช้เท้าชี้ไปทางพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10

โดยศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้องคดี

รามิล Performance art เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2566 ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยเห็นว่าไม่มีพยานโจทก์ยืนยันได้ว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่าย ม.112 และหลักฐานโจทก์มีพิรุธ ศูนย์ทนายฯ สรุปคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไว้ว่า ไม่มีพยานโจทก์ปากใดที่ชี้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการอาฆาตมาดร้าย ส่วนการหมิ่นประมาทนั้นจะต้องมีการใส่ความด้วยการชี้ยืนยันข้อเท็จจริงบางประการ ส่วนการดูหมิ่นจะต้องระบุตัวบุคคลได้แน่นอนว่าหมายถึงบุคคลใด แต่พยานหลักฐานโจทก์ยังชี้ไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอาฆาตมาดร้าย ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท อีกทั้งการแสดงของจำเลยไม่ได้ระบุเจาะจงตัวบุคคล

อีกทั้งไม่มีพยานโจทก์ที่เบิกความยืนยันว่าจำเลยจงใจกระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์และข้อความ “ทรงพระเจริญ” ส่วนการเข้าร่วมการชุมนุมของจำเลยที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันการกระทำความผิดของจำเลย รวมทั้งพยานโจทก์ได้เบิกความถึงคลิปวิดีโอภาพเคลื่อนไหวซึ่งเป็นพยานหลักฐานในคดี แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการนำส่งเข้ามาในการพิจารณาคดีนี้ จึงทำให้พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัย พิพากษายกฟ้องจำเลย

ต่อมาวันที่ 18 ต.ค. 2566 นางนาตยา สาลักษณ์ พนักงานอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานการสอบสวน ช่วยราชการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 5 ปฏิบัติราชการในหน้าที่อัยการศาลสูงจังหวัดเชียงใหม่ ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาล ระบุไม่เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลย อ้างว่าการนอนหงานใช้เท้าขวาชี้ไปทางพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 10 และทำท่าทางศิลปะคล้ายครุฑ เป็นการแสดงกริยาไม่เหมาะสม ไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ชี้พยานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ แม้แสดงท่าทางไม่เหมาะสม แต่ไม่เข้าข่าย ม.112 เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ

เวลา 9.00 น. ณิชนารา ลิ่มสุวรรณ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเป็นผู้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยจำเลยและทนายความจำเลยมาศาล รามิลได้นำดอกกุหลาบมาด้วยจำนวน 99 ดอก พร้อมเพื่อนนักศึกษาเดินทางมาร่วมให้กำลังใจประมาณ 4 คน

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยสรุป เห็นว่าคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำฟ้องหรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ปาก ได้แก่ ส.ต.ท.พงศ์ฤทธิ์ จินะธรรม, พ.ต.ท.อานนท์ เชิดชูตระกูลทอง และ พ.ต.ท.นรากร ปิ่นประยูร เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ และทำรายงานต่อผู้บังคับบัญชา

ทั้งโจทก์ยังมีการนำพยาน ได้แก่ เจ้าหน้าที่กองกฎหมาย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, รองผู้อำนวยการจากวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่, เจ้าหน้าที่จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่, ประธานกลุ่มไทยภักดี, นักธุรกิจ และ คณบดีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ทเชียงใหม่ เข้าเบิกความ แต่พยานเหล่านี้มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง จึงไม่อาจรับฟังได้

ประจักษ์พยานคือเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ ยังให้การถึงเหตุการณ์ในวันดังกล่าวขัดแย้งกัน จึงไม่อาจรับฟังได้

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ อ้างว่ามีการบันทึกวิดีโอการแสดงไว้ แต่ก็ไม่มีการอ้างส่งพยานหลักฐานคลิปวิดีโอ ทั้งที่ย่อมตระหนักได้ว่าวิดีโอเป็นสาระสำคัญของคดี คำเบิกความของ ส.ต.ท.พงศ์ฤทธิ์ จึงไม่น่าเชื่อถือ

ส่วนที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยชี้เท้าไปทางพระบรมฉายาลักษณ์นั้น ภาพที่จำเลยแสดงแตกต่างจากภาพที่โจทก์กล่าวหาตามเอกสารพยานของฝ่ายจำเลย โดยจำเลยไม่ได้ชี้เท้าไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ แต่เป็นการแสดงเคลื่อนไหวต่อเนื่อง โดยจำเลยแสดงถึง 45 นาที การยกเท้าเป็นเพียงท่าทางเพียงครั้งเดียว

แม้การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงออกอย่างไม่เหมาะสม แต่ไม่ถึงขั้นเป็นการเหยียดหยามอันเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย แม้จะมีบุคคลที่พบเห็นไม่สบายใจอยู่บ้าง ก็ไม่เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 112 และเป็นเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

การที่โจทก์สืบพยานว่าจำเลยมีคดีอื่นในลักษณะเดียวกันนั้น ไม่อาจรับฟังได้ เนื่องจากระบบศาลไทยเป็นระบบกล่าวหา โจทก์ย่อมมีหน้าที่จะต้องสืบพยานนำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาล และการที่จำเลยมีคดีอื่นอยู่แล้ว ก็ไม่อาจรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่าจำเลยจะกระทำความผิดเช่นนั้นอีก

พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายืน

 

 

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net