Skip to main content
sharethis

ดีเบตเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งล่าสุด สื่อหลายแห่งประเมินว่า 'โดนัลด์ ทรัมป์' เสียเปรียบ ขณะที่ 'กมลา แฮร์ริส' ได้เปรียบ การดีเบตครอบคลุมประเด็นสำคัญหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ แรงงาน สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ฝ่ายก้าวหน้าในสหรัฐฯ มีมุมมองอย่างไรต่อการดีเบตครั้งนี้

15 ก.ย. 2567 การดีเบตระหว่างผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้ง 2567 เมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมากลายเป็นที่พูดถึงในสื่อตะวันตกอย่างกว้างขวาง ในสื่ออิสระอย่างคอมมอนดรีมส์ได้นำเสนอมุมมองต่อการดีเบตในครั้งนี้จากกลุ่มหัวก้าวหน้าและจากผู้นำแรงงาน ที่ระบุว่า มันเป็นการดีเบตที่แสดงให้เห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างสองผู้แทน

ความแตกต่างที่ว่านี้คือในขณะที่อดีตประธานาธิบดีพรรครีพับลิกัน โดนัลด์ ทรัมป์ เสนอจะปรับลดภาษีคนรวยและโจมตีเสรีภาพขั้นพื้นฐาน กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีพรรคเดโมแครตก็ได้ให้คำมั่นว่าจะคุ้มครองสิทธิในการทำแท้ง, แก้ไขปัญหาการที่บรรษัทละเมิดสิทธิแรงงาน และแก้ไขปัญหาวิกฤตที่อยู่อาศัย

สื่อคอมมอนดรีมส์มองว่า ตลอดช่วงที่มีการดีเบต 9 นาที ทรัมป์ ได้พูดโกหกซ้ำๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งในปี 2563 ที่เขาแพ้ และพูดย้ำความเชื่อผิดๆ ในเรื่องเชื้อชาติสีผิวเกี่ยวกับประเด็นเรื่องผู้อพยพ นอกจากนี้ยังพูดในเชิงโอ้อวดในเรื่องที่ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยกลุ่มอนุรักษ์นิยมได้ทำการระงับสิทธิในการทำแท้งทั้งที่เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังยืนกรานจุดยืนเดิมในเรื่องการลดภาษี ซึ่งแฮร์ริสโจมตีว่ามันเป็นการที่ทรัมป์มุ่งเป้าที่จะทำให้คนรวยได้รับการผ่อนผันภาษี

นอกจากนี้แฮร์ริสยังกล่าวหาว่าทรัมป์ดูจะ สนใจเรื่องการปกป้องตัวเองมากกว่าที่เขาจะดูแลประชาชน เธอยังได้กล่าวโฆษณาตัวเองว่าเธอได้รับการสนับสนุนจากสหภาพแรงงานยานยนต์แห่งสหรัฐฯ (UAW) รวมถึงวิจารณ์เรื่องที่ทรัมป์ปล่อยให้มีการจ้างงานประกอบชิ้นส่วนในต่างประเทศทั้งๆ ที่ทรัมป์เคยสัญญาว่าจะยับยั้งไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

"ฉันถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกหลานชนชั้นกลาง แล้วฉันก็เป็นคนเดียวบนเวทีนี้ผู้ที่มีแผนการจะยกระดับชนชนชั้นกลางกับผู้ใช้แรงงานของอเมริกา" แฮร์์ริสกล่าวในการดีเบต

แฮร์ริสยังได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ในเรื่องสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ หลังจากที่ศาลสูงสุดที่มีผู้พิพากษาส่วนหนึ่งมาจากการแต่งตั้งของทรัมป์ได้ทำการคว่ำคำตัดสินคดี Roe v. Wade ที่คุ้มครองสิทธิในการทำแท้ง ทำให้เกิดการแบนการทำแท้งอีกครั้งในพื้นที่มากกว่า 20 รัฐของสหรัฐฯ ซึ่งแฮร์ริสกล่าวโจมตีทรัมป์ว่าจงใจแต่งตั้งผู้พิพากษาเข้าไปเพื่อจงใจลิดรอนสิทธิในเรื่องนี้ ทำให้การทำแท้งถือเป็นอาชญากรรมแม้กระทั่งกับกรณีการข่มขืนหรือการมีเพศสัมพันธ์ในเครือญาติ

'โครงการ 2025' ที่สร้างความหวาดหวั่นกระทบเสรีภาพและสวัสดิการประชาชน

กลุ่มส่งเสริมการเมืองก้าวหน้าในสหรัฐฯ ที่ชื่อ "สวิงเลฟต์" วิเคราะห์การดีเบตเมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมาว่า มันได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีผู้แทนคนเดียวเท่านั้นที่ "จะปกป้องและส่งเสริมเสรีภาพของพวกเรา"

สวิงเลฟต์ระบุว่า แฮร์ริส มี "แผนการที่ชัดเจนในการเป็นประธานาธิบดี" คือการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพอนามัยเจริญพันธุ์อย่างการทำแท้ง ทำให้ที่อยู่อาศัยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และคุ้มครองการเข้าถึงสวัสดิการสุขภาพของชาวอเมริกันหลายล้านคน

สวิงเลฟต์มองโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าต้องการจะ "เก็บภาษีชนชั้นกลางแต่จะปรับลดภาษีคนรวย" อีกทั้งยังจะทำให้สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์แย่ลงไปกว่าเดิม ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องการทำแท้งเท่านั้นแต่จะกระทบเรื่องการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และการคุมกำเนิดด้วย นอกจากนี้ทรัมป์ยังมีแผนการจะนำสิ่งที่เรียกว่า "โครงการ 2025" มาใช้ซึ่งจะเป็นการลิดรอนสิทธิหลายๆ ด้านของชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิคนพิการ, สิทธิคนข้ามเพศ, เสรีภาพสื่อ, ตัดสวัสดิการสุขภาพ

ซึ่ง "โครงการ 2025" ของทรัมป์ที่ว่านี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากหลายคนว่าเป็นแนวทางที่เสี่ยงต่อการทำให้อเมริกากลายเป็นอำนาจนิยม มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจำนวนมากบอกอีกว่ามันจะกลายเป็นการลิดรอนหลักนิติธรรม ทำลายหลักการแบ่งแยกอำนาจ ทำลายหลักการการแยกรัฐกับศาสนาออกจากกัน และลิดรอนสิทธิพลเมือง

ในเรื่องที่อยู่อาศัยของประชาชนนั้น แฮร์ริสได้กล่าวในการดีเบตเรื่องที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาในประเด็นนี้ไว้ด้วย ซึ่ง อนาลิเลีย เมเจีย และ ดามาริโอ คูเปอร์ ผู้อำนวยการบริหารร่วมของ ศูนย์เพื่อปฏิบัติการประชาธิปไตยประชาชน กล่าวว่า แฮร์ริสได้ "ทำในสิ่งที่ตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีหรือประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งคนอื่นๆ ไม่เคยทำ" นั่นคือการที่แฮร์ริสวางแผนที่จะช่วยเหลือให้คนที่มีบ้านเป็นครั้งแรก ซึ่งเมเจียกับคูเปอร์มองว่าเป็นการที่แฮร์ริส "แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อชนชั้นแรงงานอเมริกัน"

ในทางตรงกันข้าม เมเจีย กับ คูเปอร์ มองว่าทรัมป์เป็น "เศรษฐีเจ้าของที่ดินจอมเหยียดเชื้อชาติ" ผู้ร่ำรวยท่ามกลางความเสื่อมโทรม ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ของแฮร์ริส

สหพันธ์แรงงานใหญ่สหรัฐฯ พูดถึงดีเบต

อีกกลุ่มหนึ่งที่พูดถึงการดีเบตระหว่างแฮร์ริสกับทรัมป์ คือ สหพันธ์แรงงานอเมริกัน AFL-CIO ซึ่งเป็นสหพันธ์แรงงานที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ประกอบด้วยสหภาพแรงงานแห่งชาติและสหภาพระดับนานาชาติร่วมเป็นสมาชิกรวม 60 กลุ่ม และมีสมาชิก 12 ล้านราย

ลิซ ชูเลอร์ ประธานของ AFL-CIO กล่าวว่าแฮร์ริสมีท่าทีที่จะสร้างโอกาสให้กับแรงงานมากกว่า ในทางตรงกันข้ามทรัมป์นั้นเป็น "จอมทำลายสหภาพแรงงานผู้ที่จะทรยศคนทำงาน" ชูเลอร์บอกอีกว่าการดีเบตที่ผ่านมาย้ำเตือนว่าถ้าหากทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 มันจะกลายเป็น "สิ่งที่ซีอีโอบรรษัทปรารถนา แต่จะเป็นฝันร้ายของคนทำงาน"

สิ่งที่น่ากังวลอีกเรื่องหนึ่งสำหรับแรงงานคือ "โครงการ 2025" ที่ชูเลอร์มองว่าจะเป็นการ "ทำลายสหภาพแรงงาน, ทำลายตำแหน่งงานของคนในสหภาพหลายล้ายคน, ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนงานจะจัดตั้งสหภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการลดค่าจ้าง ลดสวัสดิการ และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาวะและความปลอดภัยในการทำงานด้วย"

ชูเลอร์มองว่า กลุ่มทรัมป์นั้นทำการรณรงค์หาเสียงโดยตั้งอยู่บนฐานของการแบ่งแยกและความหวาดกลัวเพื่อปกปิดความจริงที่ว่าพวกเขาทำเพื่อพรรคพวกตัวเองและเพื่อคนรวยๆ ที่บริจาคให้พวกเขา ไม่ได้ทำเพื่อคนทำงานซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยพัฒนาประเทศสหรัฐฯ

ผลโพลของสื่อหลายสำนักระบุว่าผู้คนให้คะแนนแฮร์ริสมากกว่าทรัมป์ในการดีเบตครั้งล่าสุด เช่น ผลโพลของซีเอ็นเอ็นที่ระบุว่าแฮร์ริสได้คะแนน 63 ต่อ 37 ผลโพลของ YouGov ระบุว่าแฮร์ริสชนะด้วยคะแนน 43-28 แม้แต่นักวิจารณ์การเมืองของสื่อ ฟ็อกซ์นิวส์ ซึ่งเป็นสื่ออนุรักษ์นิยม ก็ยังเห็นด้วยว่าแฮร์ริสชนะทรัมป์ในการดีเบตครั้งนี้ ไม่เพียงเท่านั้นช่วงเย็นหลังการดีเบต นักร้องชื่อดัง เทย์เลอร์ สวิฟต์ ก็ประกาศตัวว่าเธอสนับสนุนแฮร์ริสด้วย

สื่ออัลจาซีราวิเคราะห์ว่าในการดีเบตนั้น แฮร์ริสทำให้ทรัมป์กระวนกระวายใจ ทั้งแฮร์ริสและพิธีกรในการรายการดีเบตต่างก็โต้ตอบกลับและตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องที่ทรัมป์กล่าวอ้างแบบที่ฟังดูเกินจริง ในขณะที่แฮร์ริสไม่ได้เสนออะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันในประเด็นที่ใกล้ตัวผู้ลงคะแนนในสหรัฐฯ เช่นประเด็นผู้อพยพ แต่แฮร์ริสก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอมีความมั่นใจในตัวเองมากกว่าที่นักวิจารณ์เคยกล่าวหาเธอไว้ แล้วก็เฉิดฉายบนเวทีขณะที่ทรัมป์เพลี่ยงพล้ำ

เสียงวิจารณ์แฮร์ริสจากฝ่ายก้าวหน้าในบางประเด็น

แต่แฮร์ริสก็ไม่ได้มีแต่เสียงชื่นชมเพียงอย่างเดียว กลุ่มด้านสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ ได้วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่เธอสนับสนุนการขุดเจาะก๊าซด้วยวิธี "แฟรกกิง" คือใช้พลังน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมีและทรายฉีดลงไปในชั้นหินดินดานเพื่อกระเทาะชั้นหิน ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้เกิดมลพิษใต้ชั้นดิน ทำให้น้ำบาดาลเป็นพิษ และเป็นเหตุให้การเกษตรล้มเหลว

องค์กรสิ่งแวดล้อมที่นำโดยกลุ่มเยาวชนชื่อ ซันไรส์มูฟเมนต์ กล่าวว่า "ในค่ำคืนนี้ แฮร์ริสได้ใช้เวลาไปกับการส่งเสริมการแฟรกกิงมากกว่าการวางวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในเรื่องอนาคตพลังงานสะอาด" ซันไรซ์มูฟเมนต์ระบุอีกว่า มันถือเป็นการพลาดโอกาสครั้งใหญ่สำหรับพรรคเดโมแครต ยิ่งการเลือกตั้งกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ คนหนุ่มสาวที่คำนึงถึงปัญหาโลกร้อนทุกคนจะเป็นคะแนนเสียงที่สำคัญต่อการเลือกตั้ง

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้มีคนไม่พอใจแฮร์ริส คือเรื่องที่เธอตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นอิสราเอลโจมตีกาซ่า ซึ่งฝ่ายก้าวหน้าของสหรัฐฯ ที่ผลักดันให้แฮร์ริสในฐานะรองประธานาธิบดีคนปัจจุบันทำการคว่ำบาตรต่อกองทัพอิสราเอล ไม่ขายอาวุธให้พวกเขา โดยที่ผลโพลเมื่อไม่นานนี้ระบุว่าจุดยืนเช่นนี้ทำให้คะแนนเสียงของเธอดีขึ้น แต่ในการตอบคำถามดีเบต แฮร์ริสกล่าวย้ำว่าเธอสนับสนุนการหยุดยิงและเน้นคำพูดที่ว่า "อิสราเอลมีสิทธิที่จะปกป้องตนเอง"

อับบาส อลาวีห์ ผู้ร่วมก่อตั้งขบวนการ อันคอมมิตเต็ด เนชันแนล มูฟเมนต์ กล่าวว่า ความคิดเห็นของแฮร์ริสทำให้คนที่ต่อต้านการรุกรานของอิสราเอลรู้สึกแย่ เพราะแฮร์ริสไม่ได้เสนออะไรใหม่และแค่ส่งเสริมการฆ่าล้างที่ดำเนินต่อไปในกาซา "ง่ายๆ เลยคือ มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องยุติสงคราม รัฐบาลของพวกเราจะต้องหยุดส่งอาวุธที่กระตุ้นให้เกิดสงคราม"

อันคอมมิตเต็ด เนชันแนล มูฟเมนต์ เป็นองค์กรที่ระบุจุดยืนตัวเองว่า "ต่อต้านสงคราม สนับสนุนสันติภาพ และสนับสนุนปาเลสไตน์"


ที่มา:
After Harris-Trump Debate, Progressives Say 2024 Contrast 'Couldn't Be More Stark', Common Dreams, 11-09-2024
READ: Harris-Trump presidential debate transcript, ABC News, 11-09-2024
Did Harris win the debate or did Trump lose it?, Aljazeera, 11-09-2024
https://en.wikipedia.org/wiki/Project_2025
https://en.wikipedia.org/wiki/AFL-CIO
https://greennews.agency/?p=5277
https://www.uncommittedmovement.com/
 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net