Skip to main content
sharethis

อัพเดทคดีฝุ่นภาคเหนือ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เตรียมกำหนดมาตรการหรือจัดทำแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา PM2.5 โดยไม่ต้องรอจนกว่าคดีจะสิ้นสุด

 

21 ก.ย. 2567 วานนี้ (20 ก.ย. 2567) ทนายความคดีฟ้องฝุ่นเหนือ ได้รับคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้มีคำสั่งลงวันที่ 12 ก.ย. 2567 โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นโดยไม่ต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด”

สืบเนื่องจากคดีฟ้องฝุ่นพิษ PM2.5 ภาคเหนือ ที่ศาลปกครองเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2567 ให้ นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ “ใช้อำนาจหรือร่วมกันใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 กำหนดมาตรการหรือจัดทำแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพอย่างบูรณาการและยั่งยืน เพื่อป้องกันควบคุม แก้ไข บรรเทา หรือระงับภยันตรายอันเกิดจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 (PM2.5) ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐานและอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือให้ทันท่วงที ทั้งให้นี้ ดำเนินการกำหนดมาตรการ หรือจัดทำแผนฉุกเฉินดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด”

คดีฝุ่น

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

 

ทั้งนี้ วันที่ 15 ก.พ. 2567 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2567 ผู้ฟ้องคดีทั้ง 10 ได้ยื่นคำขอให้มีการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นโดยไม่ต้องรอให้คดีถึงที่สุดต่อศาลปกครองสูงสุด

ประกอบกับวันที่ 17 เม.ย. 2567 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ยื่นชี้แจงเพิ่มเติมว่าต่อศาลปกครองสูงสุดว่า  “คณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืนได้มีการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2567 มีมติเห็นชอบมาตรการฉุกเฉินยกระดับการปฏิบัติการในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วงสถานการณ์วิกฤต ประจำปี 2567 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำมาตรการฉุกเฉินดังกล่าวเสนอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และนำเสนอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบังคับตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น”

ศาลปกครองสูงสุดจึงมีความเห็นว่า “การปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นโดยไม่ต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จึงมิได้เป็นปัญหาอุปสรรคที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง หรือจะเป็นปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นแก่การบริหารงานรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ กรณีจึงมีเหตุผลสมควรที่จะมีคำสั่งให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นโดยไม่ต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบได้”

ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ “ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นโดยไม่ต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด”

 

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net