ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่เมืองหลวงของมาเลเซียต่างออกไปจากปีก่อนๆ เมื่อ "ขบวนการลดค่าครองชีพ" และกลุ่มนักศึกษามาเลเซียเดินขบวนไปที่จัตุรัสเมอเดก้า เพื่อประท้วงมาตรการลดหนี้สินของรัฐบาลที่มีผลกระทบทำให้ค่าครองชีพโดยเฉพาะค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าไฟพุ่งสูงขึ้น

ที่มา: มาเลเซียกินี

2 ม.ค. 2557 - คืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียปีนี้ไม่เหมือนทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีผู้ประท้วงสวมชุดดำ บ้างสวมหน้ากากกายฟอว์กส์ เดินขบวนเข้าไปที่จัตุรัสเมอเดก้า หรือจัตุรัสเอกราช (Dataran Merdeka) เพื่อประท้วงรัฐบาลมาเลเซียที่ปล่อยให้ค่าน้ำมันเชื่อเพลิงและค่าครองชีพอื่นๆ พุ่งสูง ตามมาตรการลดหนี้สิ้นของรัฐบาลมาเลเซีย

เว็บไซต์มาเลเซียกินี รายงานว่า การประท้วงดังกล่าวจัดโดย "ขบวนการลดค่าครองชีพ" (Turun) และกลุ่มเยาวชนในมาเลเซีย เช่น กลุ่มสมานฉันท์นักศึกษามาเลเซีย (Solidariti Mahasiswa Malaysia) เป็นต้น มีการนัดหมายสามจุดรอบจัตุรัสเมอเดก้า ได้แก่ หน้าห้างโซโก ตลาดปะซาเซนี และมัสยิดจาเม็ก ก่อนเดินมาสมทบกันที่จัตรัสเมอเดก้า ทั้งนี้เจ้าหน้าที่กล่าวหาผู้ประท้วงว่าต้องการล้มรัฐบาล และตำรวจถือว่าการประท้วงดังกล่าวผิดกฎหมาย กล่าวหาว่าผู้ประท้วงมีอาวุธรุนแรง อย่างไรก็ตามผู้จัดการประท้วงได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ โดยผู้นำกลุ่ม Turun กล่าวว่ารัฐบาลพยายามเบี่ยงประเด็นไปจากเรื่องค่าครองชีพ ที่เป็นข้อเรียกร้องของผู้ประท้วง

ทั้งนี้ผู้ประท้วงมีการตะโกนคำขวัญว่า "ลดราคา" "ประชาชนจงเจริญ" นอกจากนี้มีการตะโกนว่า "ปฏิรูป" ด้วย

และเนื่องจากมีการประท้วง ทำให้กิจกรรมต้อนรับปีใหม่ที่จะจัดโดยเทศบาลกรุงกัวลาลัมเปอร์ต้องหยุดลง ทั้งนี้ผู้จัดการชุมนุมคาดว่ามีผู้เข้าร่วม 15,000 คน ส่วนตำรวจประเมินว่ามีผู้ประท้วง 5,000 คน โดยหลังจากผู้ชุมนุมสามารถเข้ามาชุมนุมใกล้จัตุรัสเมอเดก้าได้ หลังผ่านเที่ยงคืนเข้าสู่วันใหม่ 1 ม.ค. 2557 ผู้ชุมนุมก็สลายตัวไปโดยไม่มีเหตุรุนแรง

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในมาเลเซียได้ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 โดยเป็นมาตรการลดการชดเชยราคาน้ำมันของรัฐบาลครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2553 ขณะที่จะมีการเก็บค่าไฟในสัดส่วนที่แพงขึ้นร้อยละ 15

โดยมาเลเซียเป็นประเทศที่มีสัดส่วนหนี้ต่อ GDP สูงที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย โดยในปีงบประมาณ 2013 รัฐบาลกลางมาเลเซียมีสัดส่วนหนี้ต่อ GDP สูงสุดนับในช่วงทศวรรษที่ 1990 โดยมีหนี้สาธารณะอยู่ 502,400 ล้านริงกิต (4.57 ล้านล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 53.7 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)