กระทรวงสาธารณสุขมาถูกทางหรือไม่ หลังประกาศบังคับใช้สิทธินำเข้ายาติดสิทธิบัตร 3 ตัวที่ราคาถูกกว่า, การตอบโต้จากบริษัทยาและสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องถูกต้องเพียงใด, ผลกระทบวงกว้างด้านเศรษฐกิจกับชีวิตผู้ป่วยจะคำนวณอย่างไร, ความเป็นธรรมกับบริษัทยาที่อุตส่าห์ "ลงทุนวิจัยมหาศาล" อยู่ตรงไหน .... คำตอบอยู่ในหนังสือ The Truth About the Drug Companies งานวิชาการเชิงสืบสวนสอบสวนที่น่าสนใจที่สุดในสถานการณ์นี้ !
มุทิตา เชื้อชั่ง
- - - Present - - -
ปลายปีที่แล้ว กระทรวงสาธารณสุขไทยตัดสินใจออกประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิ หรือ ซีแอล(1) เป็นครั้งแรกกับยาต้านไวรัส 2 ชนิด ยารักษาโรคหัวใจอีก 1 ชนิด เพื่อให้สามารถผลิต หรือนำเข้ายาติดสิทธิบัตรจากที่อื่นที่ราคาถูกกว่ามาใช้รักษาผู้คนในประเทศได้ ตามกรอบเวลา ปริมาณ และการจ่ายค่าชดเชยแก่เจ้าของสิทธิบัตรซึ่งได้กำหนดไว้ในประกาศนั้น(2)
แม้จะไม่มีข้อกังขาว่ามาตรการนี้เป็นช่องว่างที่องค์การการค้าโลกเว้นวรรคไว้ให้ประเทศยากจนหรือประเทศกำลังพัฒนา (ที่ใจกล้า) ทั้งหลายนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม แต่ในทางปฏิบัติไม่เคยมีประวัติว่ารัฐบาลไทยในสมัยใดจะกล้าใช้มาตรการนี้ต่อรองกับบริษัทยาข้ามชาติ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากเอ็นจีโอ และการเฝ้าคอย "วันฟ้าใส" ของผู้ป่วยยากจนโดยเฉพาะผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์จำนวนมากที่ต้องกินยาต่อเนื่องแต่เข้าไม่ถึงยา เนื่องจากกำแพงราคาที่สูงลิ่ว
ทันทีที่มีการประกาศใช้ซีแอล แรงกดดันจากทั่วสารทิศก็พุ่งเข้าสู่รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารชุดนี้ในหลากหลายระดับ เพราะความสำเร็จของประเทศไทยจะกลายเป็นความปวดหัวของบริษัทยา หากมันไปเป็น "แรงบันดาลใจ" ให้ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะการที่ไทยกล้าประกาศใช้ซีแอลกับยาตัวใหม่ อย่างยาละลายลิ่มเลือดรักษาโรคหัวใจ ซึ่งไม่ใช่ยาต้านไวรัสเอชไอวีเหมือนที่ประเทศใจกล้าอื่นๆ เคยทำกันมา
ขณะที่อีกฟากหนึ่งก็มีแรงสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศหลากหลายองค์กรที่ส่งเสียงเชียร์นโยบายนี้ เอ็นจีโอในประเทศมีการเคลื่อนไหวรณรงค์บอยคอตบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอ็บบ็อต แลบอลาทอรี่ส์ ที่ตอบโต้การประกาศซีแอลของรัฐบาลด้วยการถอนการขึ้นทะเบียนยาใหม่ 7 ชนิด ซึ่งนับเป็นการเดินหมากต่อรองอย่างไม่คำนึงถึงชีวิตของผู้ป่วย
ท่ามกลางการประลองกำลังที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้น บริษัทยาหลายแห่งตัดสินใจยอมตบเท้าเข้ามาขอลดราคายากันฮวบฮาบ แลกกับการที่รัฐบาลจะไม่ใช้มาตรการซีแอลจริงดังที่ออกประกาศ รวมถึงบริษัทที่แข็งกร้าวที่สุดอย่าง แอ็บบ็อตด้วย กระนั้นก็ตาม ราคายาที่บริษัทยอมลดลงก็ยังถือว่าแพงอยู่ดีเมื่อเทียบกับการใช้มาตรการซีแอลไปนำเข้ายาชื่อสามัญแบบเดียวกันนี้จากอินเดีย
ง่ายเกินไปที่เรื่องนี้จะจบในเวลาเพียงเท่านี้ ล่าสุด สำนักผู้แทนการค้า (ยูเอสทีอาร์) ได้ออกรายงานชิ้นสำคัญยกไทยขึ้นชั้นเป็นประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (PWL) ในเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา จากที่เคยอยู่ในการจับตามองระดับธรรมดา แม้จะไม่พูดตรงไปตรงมา แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าสาเหตุสำคัญมาจากการประกาศใช้ซีแอลนั่นเอง
รายงานนี้อาจมีผลสำคัญต่อการตัดสินใจของสหรัฐที่จะตัดสิทธิพิเศษทางการค้า หรือจีเอสพี ที่มีอุตสาหกรรมบางสาขาของไทยได้รับสิทธิในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐโดยไม่ต้องเสียภาษีอยู่ ดังนั้น การตอบโต้โดยรายงานฉบับนี้จึงสร้างความหวั่นไหวไม่น้อยแก่ภาคธุรกิจ แรงกดดันภายในประเทศจึงหนักอึ้งขึ้นมากจนหัวขบวนอย่าง นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขต้องออกปากถึงความทดท้อและเตรียมเดินทางไปชี้แจงกับสหรัฐเร็วๆ นี้ ...
- - - Past - - -
ว่ากันตามความเป็นจริงของโลกใบนี้ มาตรการที่ไทยเผชิญอยู่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มีหลายประเทศที่ตัดสินใจใช้มาตรการนี้ สหรัฐเองมีการบังคับใช้สิทธิกับยารวมไปถึงสินค้าอื่นๆ มากมายหลายรายการ แต่หากเป็นประเทศกำลังพัฒนาหรือยากจน การลุกมาประกาศซีแอล มักจะเจอกับแรงกดดันมหาศาล
แอฟริกาใต้ ประเทศซึ่งเผชิญวิกฤตด้านสาธารณสุขจากเอดส์และผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุดในโลก เคยออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้สิทธิ และถูกบริษัทยาข้ามชาติ 39 บริษัทร่วมกันฟ้องว่า ขัดรัฐธรรมนูญ โดยไม่สนใจว่า ในรัฐธรรมนูญก็มีการประกันสิทธิของคนแอฟริกาใต้ในการเข้าถึงการรักษา ในที่สุด แม้ว่าบริษัทยาจะถอนฟ้องแต่กฎหมายนี้ก็ยังไม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติ เพราะถูกผูกมัดด้วยเงินบริจาคจากประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้แอฟริกาใต้ต้องใช้ยาชื่อการค้าเท่านั้น และแม้ว่าจะมีราคาถูกลงจากการลดราคาแต่ก็มีไม่เพียงพอกับผู้ป่วยชาวแอฟริกัน
มาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านที่มีประชากรราว 24 ล้านคน การประมาณการขั้นต่ำพบว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีราว 65,000 คน รัฐบาลมาเลเซียก็เช่นเดียวกับรัฐบาลไทยที่ไม่มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการจัดหายาให้ผู้ติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุขมาเลย์จึงต่อรองราคากับบริษัทยามาตั้งแต่ 2544 มีการลดราคาลงด้วย แต่ก็ไม่เพียงพอ
เดือนพฤศจิกายน 2545 กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียจึงเสนอครม.ให้มีการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ เพื่อนำเข้ายา ARVs ที่เป็นยาชื่อสามัญ การต่อรองกับบริษัทยามีมาอีกหลายระลอก ขณะที่หน่วยงานราชการในประเทศก็ส่งเสียงร้องให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนมาตรการนี้ด่วน "เพราะกระทบกระเทือนการลงทุนจากต่างประเทศ"
รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขในขณะนั้นเปิดเผยความรู้สึกในเวทีสัมมนาเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยการเจรจาการค้าระดับทวิภาคี ที่มาเลเซีย (27 ส.ค.48) ว่า เขาถูกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุนกดดันตลอดเวลา พอๆ กับที่ถูกบริษัทข้ามชาติกดดันให้เปลี่ยนใจ จนแทบจะถอดใจหลายต่อหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด สาธารณสุขยังคงยืนยันกับครม.ให้ใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ และได้นำเข้ายาต้านไวรัส 3 ตัว เป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ 1 พ.ย.2546 โดยยาเหล่านี้จะถูกส่งไปให้โรงพยาบาลรัฐเท่านั้น และกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้กำหนดปริมาณการนำเข้าและมีการจ่ายชดเชยกับบริษัทอย่างเป็นธรรม แต่บริษัทยาปฏิเสธจะรับค่าชดเชย ทั้งยังฟ้องรัฐบาล และขู่ว่าจะถอนการลงทุนในประเทศ โดยบริษัทหนึ่งแสดงความเป็นห่วงยิ่งว่า กรณีของมาเลเซียจะเป็นเยี่ยงอย่างให้ประเทศอื่นในแถบนี้ทำตาม คำฟ้องยังอยู่ที่ศาลมาเลเซีย และไม่สู้จะมีความเคลื่อนไหวใดๆ
นี่เป็นเพียงหนังตัวอย่างบางส่วน(3) ...
- - - Question - - -
"รัฐบาลปฏิวัติไทยถอยหลังตามอย่างพม่า" โฆษณาที่องค์กร USA For Innovation โจมตีรัฐบาลไทยกรณีการประกาศใช้ซีแอล ซึ่งกลุ่มผลประโยชน์ในสหรัฐเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิบัตร ในคำบรรยายของโฆษณานั้นผูกโยงการละเมิดสิทธิบัตรซึ่งเป็นสิ่งไม่ชอบธรรม เข้ากับความไม่ชอบธรรมในที่มาของรัฐบาลปัจจุบัน
จุดอ่อนอันเด่นชัดของผู้บริหารประเทศขณะนี้ทำให้โจทย์เรื่องนี้ตอบได้ยากลำบาก แม้กระทั่งกับคนในประเทศเองก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยที่จบทุกอย่างตั้งแต่เรื่องความไม่ชอบธรรมของการทำรัฐประหารแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่งก็ปรากฏชัดว่าคำเรียกร้องต่อมาตรการนี้ไม่เคยเป็นผลในรัฐบาลที่มาตามครรลองประชาธิปไตย และผู้ติดเชื้อราว 80,000 คน (จากจำนวนทั้งหมดราว 1 ล้านคน) ที่ต้องการยาต้านไวรัสราคาแพงเหล่านั้นก็ต้องมีชีวิตอยู่ในวันคืนอันมืดครึ้มเรื่อยมา
อย่างไรก็ตาม จุดยืนและความคิดทางการเมือง ตลอดจนยุทธศาสตร์ในการใช้มาตรการนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันได้ แต่อีกโจทย์หนึ่งที่ตอบได้ชัดเจนกว่า และจำเป็นต้องทำให้กระจ่าง (เสียที) คือ
มาตรการบังคับใช้สิทธินี้เป็นธรรมต่อบริษัทยาที่ต้องลงทุนศึกษาวิจัยอย่างมหาศาลเพื่อให้ได้ตัวยาใหม่ๆ มารักษาผู้คนหรือไม่
"การวิจัยและพัฒนา" นับเป็นวาทกรรมสำคัญที่สร้างความชอบธรรมให้กับราคายาที่บริษัทตั้ง และระบบสิทธิบัตรที่คุ้มครองสิทธิผูกขาดในยาเหล่านั้น แต่นอกเหนือจากคำกล่าวอ้างกว้างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้ว รายละเอียดต่างๆ กลับเป็นสิ่งมืดดำ ยิ่งกว่านั้น ผู้คนก็ไม่ได้สนใจที่จะตั้งคำถามกับมันแม้แต่น้อย....
- - - Answer - - -
แพทย์หญิงมาร์เซีย แอนเจลล์ (Marcia Angell) อดีตหัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ และปัจจุบันเป็นอาจารย์ในภาควิชาเวชศาสตร์สังคม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เขียน "หนังสือวิชาการเชิงสืบสวนสอบสวน" ที่น่าสนใจหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่สามารถตอบคำถามอันดำมืดเรื่องอุตสาหกรรมยาได้ดี คือ "The Truth About the Drug Companies" หรือชื่อไทยว่า "กระชากหน้ากากธุรกิจยาข้ามชาติ" แปลโดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญไทย 6 คน(4)
หนังสือเล่มนี้ชำแหละทุกมิติความมืดดำของบริษัทยาอย่างประณีต เพื่อให้เห็นว่าอเมริกันชนก็ประสบกับมายาคติบางอย่างและภาวะยากลำบากไม่ต่างกัน นอกจากนี้ยังอธิบายบริบททางการเมือง สังคมของสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองที่ผลิตนโยบายกับอุตสาหกรรมยาที่ยิ่งใหญ่และมีรายสูงที่สุดในโลก และนั่นคงไม่ยากที่จะนำไปสู่ความเข้าใจได้ว่าเหตุใดบริษัทยาจึงเอาเป็นเอาตายกับการใช้ซีแอลยิ่งนัก
ใหญ่ขนาดไหนเชียว ...
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าบริษัทยายักษ์ๆ ในโลกนี้ล้วนอยู่ในอเมริกาและยุโรป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะสำแดงตนเป็นบริษัทสหรัฐ เพราะสหรัฐนับเป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศเดียวที่ไม่มีการควบคุมราคายา ในขณะที่ประเทศอื่นไม่ว่าออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น อังกฤษ สวีเดน ฯลฯ ต่างมีการควบคุมราคาทั้งสิ้น
นั่นทำให้ตลาดยาในอเมริกามีมูลค่าสูงมาก ไอเอ็มเอส (International Medical Statistics) ซึ่งเป็นบริษัทจัดทำข้อมูลด้านการแพทย์และอุตสาหกรรมยาที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุด ประมาณการยอดขายยาทั่วโลกที่หมอสั่งในปี 2545 ว่ามีราว 400,000 ล้านเหรียญ และครึ่งหนึ่งนั้นขายในสหรัฐ
หรือพูดง่ายๆ ว่า ทุกวันนี้คนอเมริกันต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อยาตามหมอสั่งมากถึง 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นราวปีละ 12%
ตัวเลขปี 2533 บริษัทยาที่ใหญ่ 10 อันดับแรกของโลก มีกำไรนับเป็น 25% ของยอดขาย ในปี 2544 บริษัทยา 10 บริษัทที่ติดชาร์ตร่ำรวยที่สุด 500 อันดับในนิตยสารฟอร์จูน ก็มีกำไรสูงพุ่งแซงอุตสาหกรรมประเภทอื่นแม้แต่ธนาคารพาณิชย์ ที่ตลกกว่านั้น (แต่ขำไม่ออก) คือ บริษัทยา 10 อันดับนั้นมีผลกำไรรวมแล้วมากกว่า 490 บริษัทที่เหลือรวมกัน
ถ้ายังไม่เชื่อว่าเขารวยจริงๆ ละก็ ดูได้อีกจากเงินเดือนผู้บริหาร
เร็วๆ นี้สำนักข่าวเอพีรายงานว่า Miles White กรรมการบริหารของบริษัทวัย 55 ปีได้รับเงินตอบแทนในปี 2006 ถึง 22.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 800 ล้านบาท ทางบริษัทยังจะตบรางวัลแก่เขาเป็นมูลค่า 4 ล้านเหรียญเพื่อเป็นแผนจูงใจให้เขายังคงนำพาบริษัทดำเนินกิจการไปอย่างแข็งแกร่ง คำนวณคร่าวๆ รายได้ที่เขาจะได้จากบริษัททั้งหมดนั้นตกราว 26.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
แล้วคนอเมริกัน สบายดีไหม ...
ตอบได้ทันทีว่าไม่สบายเท่าไรนัก โดยเฉพาะคนแก่ที่ยากจน พวกเขาจำนวนไม่น้อยยอมลดมื้อยาลง เพราะไม่มีมีค่ายาพอ เฉลี่ยแล้วคนแก่สหรัฐต้องจ่ายค่ายาตัวละ 1,500 เหรียญ (55,000 บาท) ที่สำคัญ ส่วนใหญ่เป็นกันคนละหลายโรค
คนอเมริกันจึงหันไปนิยมซื้อยาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดา ซึ่งราคาถูกกว่าครึ่งต่อครึ่ง โดยคนแก่ส่วนใหญ่มักจะจัดตั้ง "ทัวร์ซื้อยา" โดยแกล้งจัดทัวร์เหมือนไปเที่ยวแคนาดา แต่ความจริงไปซื้อยากันทั้งคันรถ เมื่อการนี้แพร่หลายขึ้น ก็มีการผลักดันให้รัฐออกกฎหมายห้าม รวมไปถึงการสั่งซื้อยาจากร้านขายยาแคนาดาผ่านอินเตอร์เน็ตซึ่งมีอเมริกันชนใช้บริการกันราว 1-2 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม มีการกดดันให้แก้กฎหมายนี้อย่างหนักจนสภาผู้แทนราษฎรต้องยินยอมในปี 2546 ให้ อย.รับรองให้มีการนำเข้ายาจากแคนาดาได้ กระนั้น ผู้ผลิตและวิจัยยาของอเมริกาก็ได้ผลักดันวุฒิสมาชิกหลายคนออกจดหมายเวียนคัดค้านหนักหน่วง แต่ก็ไม่เป็นผล
จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาลงทุนวิจัยมหาศาล ...
หากมองให้ลึกเข้าไปในคำโฆษณา จะพบว่างานวิจัยทั้งหลายที่บริษัทกล่าวอ้างนั้นล้วนมาจากมหาวิทยาลัยและสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐซึ่งได้งบมาจากภาษีอากรนั้นเอง กระบวนการนี้เริ่มขึ้นหลังจากที่มีการออกกฎหมายให้มหาวิทยาลัยสามารถจดสิทธิบัตรงานค้นพบจากการวิจัยและขายต่อให้บริษัทยาได้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นงานวิจัยจากภาษีอากรต้องเป็นสมบัติสาธารณะ นี่ทำให้ 1 ใน 3 ของยาที่บริษัทนำออกสู่ตลาด พึ่งพา ฉกฉวยเด็ดยอดเอาจากงานวิจัยพวกนี้
หันดูงบในการวิจัยของบริษัทเอง บริษัทยักษ์ใหญ่ 10 อันดับแรกใช้งบวิจัยเพียง 11% ของยอดขายในปี 2533 และเพิ่มนิดหน่อยเป็น 14% ในอีก 10 ปีต่อมา รายจ่ายก้อนใหญ่ที่สุดกลับเป็น "ค่าการตลาดและการบริหาร" ที่สูงราว 36% ของยอดขายในปี 2533 และคงตัวมาตลอดทศวรรษ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ได้จากรายงานที่อุตสาหกรรมยาต้องรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ แต่รายละเอียดค่าใช้จ่ายจริงของการวิจัยและพัฒนานั้นก็ยังเป็นสิ่งที่มืดดำ
ขอเพียงบริษัทผลิตยาตัวใหม่ๆ มารักษามนุษยชาติ ...
ปัจจุบันมีสัญญาณบ่งชี้ว่าอุตสาหกรรมยากำลังอยู่ในภาวะยากลำบากมาก ขนาดที่โฆษกบริษัทแห่งหนึ่งเอ่ยปากว่า "มันเป็นพายุลูกใหญ่" สาเหตุหลักเนื่องจากมียาขายดีหลายตัวที่หมดอายุสิทธิบัตรและกำลังจะหมดอายุสิทธิบัตรขณะที่ยาใหม่ก็มีอยู่น้อยมากในสายการผลิต ในจำนวนยา 78 รายการ ที่สำนักงานอย.ของสหรัฐรับขึ้นทะเบียนในปี 2545 มีเพียง 17 รายการที่เป็นยาสำคัญตัวใหม่ และในจำนวนนั้นมีเพียง 7 รายการที่อย.จัดว่ามีสรรพคุณเหนือกว่ายาเก่า
มายากลของราคาที่บริษัทชอบเล่นนั้น มีทั้งการขึ้นราคาแบบตรงไปตรงมา ตัวอย่างเช่น ก่อนที่สิทธิบัตรจะหมดอายุ ยาคลาริทิน ซึ่งเป็นยาแก้แพ้ที่ขายดีที่สุดในสหรัฐของบริษัทเชอลิ่ง-พลาว ขึ้นราคาถึง 13 ครั้งในช่วง 5 ปี หรือรวมๆ แล้วขึ้นราคาไปกว่าร้อยละ 50 ประชาสัมพันธ์บริษัทอ้างว่า การขึ้นราคาแบบนี้พบได้ไม่บ่อย แต่จำเป็นเพื่อเป็นทางให้สามารถลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาต่อไปได้
ส่วนการขึ้นราคายาอย่างมีชั้นเชิงที่นิยมทำกันมาก เช่น การทำยา-ต่อ-ท้าย หรือ mee-too-drug เป็นการดัดแปลงยาเก่าที่มีอยู่แล้วนิดหน่อยแล้วไปจดสิทธิบัตร เพื่อฉกฉวยส่วนแบ่งการตลาดที่สร้างกำไรดีอยู่แล้วให้ผูกขาดได้ยาวนานขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่าบริษัทยาเริ่มเข้ามามีบทบาทแทรกแซงงานวิจัยให้แพทย์เข้าใจผิดว่ายาใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และปลอดภัยกว่ายาตัวเดิมอย่างเกินจริง ทั้งยังมีการทุ่มงบไปในส่วนประชาสัมพันธ์กึ่งติดสินบนแพทย์ให้ใช้ยาของบริษัทตัว เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่มากในสหรัฐและหลายๆ ที่
แล้วไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรบ้างหรือ ...
ในช่วงหลายปีมานี้ ประชาชนมีข้อสงสัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับข้ออ้างเรื่องการวิจัยและพัฒนากับราคายาที่แพงลิบลิ่ว บริษัทประกันสุขภาพเอกชนและบรรดานายจ้างเริ่มออกมาต่อรองปัญหายาแพง โดยเสนอการแยกประเภทแบบ "เภสัชตำรับ" โดยให้จัดการจ่ายค่ายาเป็นสามระดับคือ จ่ายเต็มให้ยาชื่อสามัญ , จ่ายบางส่วนให้ยาต้นตำรับที่จำเป็น และไม่จ่ายเลยสำหรับยาราคาแพงที่ไม่มีประโยชน์เหนือกว่ายาราถูก
ที่สำคัญมลรัฐต่างๆ ในสหรัฐราวครึ่งประเทศกำลังผลักดันเภสัชตำรับ ขณะที่ช่วงไม่กี่ปีนี้บริษัทยาถูกฟ้องทั้งแพ่งและอาญาในข้อกล่าวหาเช่น การเบิกค่ายาเกินในโครงการสงเคราะห์ด้านรักษาพยาบาลผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ การจ่ายสินบนให้แก่แพทย์, การเข้าร่วมในการขัดขวางการแข่งขัน, การร่วมกันโฆษณาที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด,
ตัวอย่างที่ก้าวหน้าอันหนึ่งคือรัฐเมน ที่ออกกฎหมายคุมราคายาเป็นรัฐแรกในปี 2543 ซึ่งเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวขององค์กรรากหญ้านำโดยผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มคนที่เข้าร่วม "ทัวร์ซื้อยา" มากที่สุด กฎหมายดังกล่าวชื่อ "เมนเรซีเป" เสริมพลังให้มลรัฐในการต่อรองราคายากับบริษัทเพื่อให้ได้ยาถูกสำหรับผู้ไม่มีประกันสุขภาพ มลรัฐสามารถเข้าไปจัดการกำหนดเพดานราคา หากบริษัทไม่ยอมลดราคาอาจถูกพิจารณาตัดชื่อยาของบริษัทออกจากเภสัชตำรับของมลรัฐ ยังไม่ทันที่หมึกลงนามผ่านกฎหมายจะแห่ง สมาคมผู้ผลิตและวิจัยยาของอเมริกาก็ท้าท้ายกฎหมายนี้โดยการฟ้องศาลของรัฐบาลกลางว่าละเมิดรัฐธรรมนูญบัญญัติที่ว่าด้วยการค้า หลังจากต่อสู้กันนาน 3 ปี คดีนี้ก็ถึงศาลฎีกา โดยศาลฎีกาปฏิเสธที่จะยับยั้งกฎหมายนี้ และส่งคดีกลับมาที่ศาลชั้นต้นใหม่ และยังต่อสู้กันจนปัจจุบัน มีอีกหลายมลรัฐที่ทำคล้ายๆ กันนี้และทนายของ PHaMA ก็ได้ฟ้องร้องเพื่อยับยั้งกฎหมายทุกฉบับ
ฯลฯ
- - - - - - - - - - - -
หนังสือเล่มนี้น่าจะทำให้เห็น "ความเป็นธรรม" ในระดับที่กว้างขวางขึ้น
และยังทำให้เห็นด้วยว่า ถึงสุดแล้ว สถานการณ์ขับเคี่ยวในประเทศไทยหลังจากประกาศใช้ซีแอล คงไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการต่อรอง ต่อสู้ ระหว่างมวยคนละรุ่น
ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าอนาคตของ "มวยเล็กแต่ใจใหญ่" อย่างประเทศไทยจะเป็นเช่นไร
"วันฟ้าใส" ของคนป่วยที่ยากจนจะมีกับเขาบ้างหรือไม่
ไม่ว่าในยุคสมัยของรัฐบาลหน้าไหนก็ตาม ....
เชิงอรรถ (1) การบังคับใช้สิทธิ ซึ่งเป็นมาตรการที่กำหนดไว้ในข้อตกลงว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก มี 2 ลักษณะ คือ การบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (Government Use) และการบังคับใช้สิทธิโดยเอกชน (Compulsory Licensing) กรณีที่ไทยใช้อยู่นี้อันที่จริงไม่ใช่ CL แต่เป็น Government Use ทำได้ภายใต้ภาวะฉุกเฉินของประเทศ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ รัฐต้องแจ้งให้ผู้ทรงสิทธิทราบ และสามารถบังคับใช้สิทธิได้ทันที โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ทรงสิทธิ ทั้งนี้ รัฐต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างเหมาะสมให้กับผู้ทรงสิทธิด้วย (2) กระทรวงสาธารณสุข ในสมัยของ น.พ.มงคล ณ สงขลา ได้ออกประกาศบังคับใช้สิทธิ 3 ฉบับดังนี้ ฉบับแรกเป็นประกาศเรื่อง การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยาและเวชภัณฑ์ ประกาศเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 เพื่อผลิตยาต้านไวรัส Efavirenz ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Stocrin ภายใต้เงื่อนไข - ให้ใช้สิทธิตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 - เพื่อจัดให้มียาชื่อสามัญดังกล่าวจำนวนที่เพียงพอในการให้บริการแก่ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยานี้จำนวนไม่เกินกว่า 200,000 คนต่อปี ไว้บริการเฉพาะผู้มีสิทธิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 ผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม 2533 และผู้มีสิทธิในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและลูกจ้างของทางราชการ - กำหนดค่าตอบแทนให้แก่ผู้ทรงสิทธิบัตร จำนวนร้อยละ 0.5 ของมูลค่าการจำหน่ายยาชื่อสามัญดังกล่าวโดยองค์การเภสัชกรรม ฉบับที่ 2 เป็นประกาศเรื่องการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยาและเวชภัณฑ์ กรณียาโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) หรือภายใต้ชื่อทางการค้าว่า Plavix เป็นยารักษาโรคเส้นเลือดอุดตันทั้งในสมองและในหัวใจ ประกาศเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2550 ภายใต้เงื่อนไข - ให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะหมดระยะเวลาของสิทธิบัตรหรือหมดความจำเป็นต้องใช้ยานี้ - เพื่อจัดให้มียาชื่อสามัญดังกล่าวจำนวนเพียงพอในการให้บริการแก่ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยานี้เฉพาะผู้มีสิทธิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 ผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม 2533 และผู้มีสิทธิในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและลูกจ้างของทางราชการ ทั้งนี้ไม่จำกัดจำนวนผู้ที่จะใช้ยานี้ โดยให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ - กำหนดค่าตอบแทนให้แก่ผู้ทรงสิทธิบัตร จำนวนร้อยละ ๐.๕ ของมูลค่าการจำหน่ายยาชื่อสามัญดังกล่าวโดยองค์การเภสัชกรรม ฉบับที่ 3 เป็นประกาศเรื่อง การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยาและเวชภัณฑ์ กรณียาสูตรผสมระหว่างโลพินาเวียร์และริโทนาเวียร์ ( Lopinavir & Ritonavir ) หรือภายใต้ชื่อทางการค้า Kaletra เป็นยาต้านไวรัสฯ ชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิผลสูงในสูตรการรักษาผู้ป่วยที่ดื้อยา ภายใต้เงื่อนไข - ให้ใช้สิทธิตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2555 - เพื่อจัดให้มียาชื่อสามัญดังกล่าวจำนวนที่เพียงพอในการให้บริการแก่ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยานี้จำนวนไม่เกินกว่า 50,000 คนต่อปี ไว้บริการเฉพาะผู้มีสิทธิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545ผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม 2533และผู้มีสิทธิในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและลูกจ้างของทางราชการ - กำหนดค่าตอบแทนให้แก่ผู้ทรงสิทธิบัตร จำนวนร้อยละ 0.5 ของมูลค่าการจำหน่ายยาชื่อสามัญดังกล่าวโดยองค์การเภสัชกรรม (3) ข้อมูลอ้างอิงจาก หนังสือ "สิทธิบัตรยา : ยาใจคนรวย" เขียนโดย กรรณิการ์ กิจติเวชกุล (4) หนังสือ "กระชากหน้ากากธุรกิจยา" แปลโดย นพ.วิชัย โชควัฒน, รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์, ภก.สรชัย จำเนียรดำรงการ, ผศ.สุนทรี วิทยานารถไพศาล, รศ.ดร.ภิญญุภา เปลี่ยนบางช้าง, ดร.ปิยะรัตน์ นิ่มพิทักษ์พงศ์ จัดพิมพ์เมื่อ มีนาคม 2549 สนับสนุนการพิมพ์โดย สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ราคา 200 บาท |