5 ส.ค.51 - คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ ออกแถลงการณ์คัดค้านกรณีนายสมัครบอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 63ชี้เป็นการการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน และจะทำให้เกิด"รัฐอาชญากร"
โดยในแถลงการณ์ระบุว่า ตามที่นาย
1.เราขอคัดค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ตามข้อเสนอของนายสมัครฯ เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าว จะทำให้เกิดการลิดรอนในการใช้เสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะทำให้ใช้สิทธิเสรีภาพในชุมนุมทำได้ยากและถูกจำกัดสิทธิ์มากยิ่งขึ้น
2.เราเห็นว่า การชุมนุมของประชาชนที่ผ่านมา หากมีการพูดข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือ มีการวิพากษ์วิจารณ์แล้วทำให้ผู้อื่นเสียหาย ก็มีกฎหมายเฉพาะจัดการอยู่แล้ว เช่น กฎหมายหมิ่นประมาท หรือกรณีการชุมนุมปิดกั้นทางจราจร ก็มีกฎหมายจราจรรองรับอยู่แล้ว ดังนั้น หากมีการแก้ไขตามข้อเสนอของนายสมัครฯ แล้วก็ยิ่งทำให้เกิดความซ้ำซ้อนทางกฎหมาย และอาจขัดขวางการรวมกลุ่มเพื่อแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน ในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และการใช้สิทธิเสรีภาพพิทักษ์รัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้
3.กรณีพรรคพลังประชาชน ได้นำเสนอ "ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ..." ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ ห้ามชุมนุม หรือ ตั้งเวทีบนผิวจราจร หากต้องการชุมนุมก็ต้องขออนุญาตกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตชุมนุมในที่สาธารณะ ในเขตกรุงเทพฯ โดยมีผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นประธานกรรมการ ส่วนคณะกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตชุมนุมในที่สาธารณะ ในจังหวัดอื่นๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ซึ่งผลการพิจารณาของคณะกรรมการให้ถือเป็นที่สุด ประธานกรรมการยังมีอำนาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม สลายการชุมนุมได้ โดยเจ้าหน้าที่หรือผู้ที่ใช้อำนาจในการสลายการชุมนุมไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และยังกำหนดโทษผู้ที่ฝ่าฝืนจัดชุมนุม และเกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือมีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย มีโทษหนักสุดจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากสาระดังกล่าว เราเห็นว่า นี่เป็นกฎหมายเผด็จการที่รัฐประหารอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ทั้งนี้เพราะ
3.1 เราเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ จะทำให้เกิดการจัดตั้ง "รัฐอาชญากร" เนื่องด้วยได้ให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถจัดตั้งกองกำลังและใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมได้ ในกรณีที่เห็นว่าการชุมนุมเป็นภัยต่อรัฐ หรือมีความเห็นที่แตกต่างกันกับรัฐบาล โดยไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย
3.2การที่กฎหมายกำหนดให้"คณะกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตชุมนุมในที่สาธารณะ" ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหมด โดยประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่า เจ้าหน้าที่เหล่านี้มีอคติต่อการชุมนุมและเป็นบุคคลที่ไม่เข้าใจในการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานในการชุมนุมของประชาชนและอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาดูแลโดยตรงของรัฐบาล
ดังนั้นแม้นกฎหมายจะให้สิทธิแก่คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการใช้ดุลยพินิจเพื่อแก้ไขปัญหาได้ แต่ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็ไม่มีทางใช้ดุลยพินิจได้อย่างอิสระ เพราะต้องฟังนโยบายจากรัฐส่วนกลาง หรือรัฐบาลอยู่ดี รวมทั้งการใช้เหตุผลหรือดุลยพินิจของคณะกรรมการฯ ก็ย่อมเป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึกของรัฐบาลในขณะนั้นๆ ว่าเห็นด้วยกับการชุมนุมหรือไม่
ในขณะเดียวกันกฎหมายฉบับนี้ก็มีสภาพบังคับทางอาญามีโทษทั้งจำทั้งปรับแก่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่กลับไม่มีสภาพบังคับทางอาญากับคณะกรรมการฯ กรณีหากพบว่า คณะกรรมการฯ ใช้เหตุผล หรือดุลยพินิจผิดพลาด หรือขัดต่อสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งบัญญัติเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่มีความกล้าในการใช้ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะมีกฎหมายรับรอง และยิ่งจะทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเสียสิทธิเสรีภาพหรือถูกลิดรอนสิทธิ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งกฎหมายแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกฎหมายความมั่นคง หรือ พ.ร.ก. ประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือ กฎอัยการศึก ที่ให้อำนาจแก่รัฐแต่ประการใด
3.2 เราขอยืนยันว่า สิทธิในการรวมกลุ่มและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวเพื่อตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งบางเรื่องภาคประชาชน ไม่อาจใช้กลไกอื่นในการตรวจสอบได้โดยตรง นอกจากการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมเคลื่อนไหว อันเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งองค์กรของรัฐจะละเมิดมิได้
การที่รัฐได้ออกกฎหมายเพื่อสร้างกลไกทำลายสิทธิลิดรอนเสรีภาพของบทบัญญัติดังกล่าว โดยใช้เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเครื่องมือสกัดกั้นการชุมนุมตรวจสอบผู้ใช้อำนาจรัฐ ทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจเยี่ยงอาชญากรสามารถก่อความรุนแรง ต่อประชาชนในชาติ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐโจร
4.เราเห็นว่า การชุมนุมของประชาชนไม่ว่ากลุ่มใดๆ มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างแรงกดดันเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสนใจมารับฟังปัญหา และสนองตอบเพื่อให้เกิดการแก้ในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
ประการสุดท้าย เราเห็นว่า ความพยายามของนายสมัครฯ และพรรคพลังประชาชนที่ต้องการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ออกมา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราต่างๆ มีเจตนาที่ส่อให้เห็นว่า รัฐ ต้องการสร้างปฏิกิริยาให้เกิดความขัดแย้งและความสับสนทางสังคม ระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล และกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้าน เช่น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมมากยิ่งขึ้นและอาจนำไปสู่การสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลสามารถใช้กฎหมายฉบับนี้จัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม หรือกลุ่มบุคคลที่ไม่เห็นด้วยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เรา ขอยืนยันว่า สิทธิเสรีภาพของประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น การรวมกลุ่มจัดตั้งสมาคมเพื่อเรียกร้องให้รัฐ ลงมาแก้ไขปัญหาปากท้องความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่ฉ้อฉล และการใช้สิทธิเสรีภาพพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพื่อปกป้องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คือ หัวใจของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งองค์กรหรือสถาบันใดๆ จะละเมิดมิได้ และเราจักคัดค้านการกระทำดังกล่าวถึงที่สุด
ด้วยความเชื่อมันในระบอบประชาธิปไตยและศรัทธาในอำนาจของประชาชน
แถลงการณ์โดยคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ
5 สิงหาคม 2551
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)