Skip to main content
sharethis
คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ซึ่งมีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุดเป็นประธาน สรุปข้อเสนอแนะ 5 ข้อ เกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความ รุนแรงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เพื่อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553

มีใจความสำคัญดังนี้  

           คอป.ขอกราบเรียนว่าในการดำเนินการตามบทบาทและอำนาจหน้าที่ที่ คอป.ได้รับในช่วงเวลาที่ผ่านมา คอป.ได้ พูดคุย ปรึกษาหารือ และรับฟังความคิดเห็นจากบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกฝ่าย รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรจากต่างประเทศ ได้ข้อสรุปเบื้องต้นตรงกันว่า ปัญหาสำคัญที่อาจเป็นประเด็นที่นำไปสู่ความขัดแย้งและส่งผลให้เกิดความ รุนแรงในอนาคตคือ แนวคิด ทัศนคติ และความเชื่อของคนในสังคมบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่ร่วมในเหตุการณ์ชุมนุมที่มีความเคลือบแคลงสงสัยและไม่เชื่อ มั่นในกระบวนการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์         
          โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกปฏิบัติต่อผู้ถูกกล่าวหาการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกิน ความเป็นจริง การจับกุมคนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ความรุนแรง การถูกควบคุมตัวในระยะเวลาที่ยาวนาน รวมทั้งกลไกการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม ความเชื่อมั่นดังกล่าวแม้จะมิได้มีข้อพิสูจน์ว่าเป็นความจริงแต่ก็อาจส่งผล ให้ประชาชนโดยทั่วไปเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและมีการขยายไปในวงกว้าง ของสังคมมากยิ่งขึ้น นำไปสู่ความเสื่อมความศรัทธาในระบบการปกครองของรัฐและกระบวนการยุติธรรม         
          ด้วยเหตุนี้ คอป.จึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับแนวทางของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีได้ริเริ่มให้มีการ แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของผู้ที่ถูกดำเนินคดีอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรง โดยสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการตรวจสอบการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกควบ คุมตัวจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยมีการอนุมัติการใช้จ่ายเงินจากกองทุนยุติธรรมเพื่อเป็นหลักประกันในการ ปล่อยชั่วคราวบางส่วน แม้การปฏิบัติเช่นนี้อาจจะไม่สอดคล้องกับหลักการทางวิชาการ เพราะตามกฎหมายไม่ได้เรียกร้องหลักประกันแต่อย่างใด แต่ คอป.ก็เข้าใจดีในการกระทำดังกล่าวเพราะในทางปฏิบัติยังมีการเรียกร้องหลักประกันกันอยู่

          เพื่อ เป็นการส่งเสริมแนวทางการคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาอัน สืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี คอป.จึงเสนอข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้

          1.สิทธิ ที่จะได้รับการปล่อยตัวและสิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวเป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาที่ได้รับการยอมรับเป็นสากล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 40 (7) ก็กล่าวถึง"สิทธิได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว" ทั้งนี้เพราะตามมาตรา 39 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่า "ในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิด" การปล่อยชั่วคราวจึงเป็นข้อยกเว้นอันสืบเนื่องมาจาก "หลักยกประโยชน์แห่งความสงสัย" (in dubio pro reo) ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 การเอาตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ในความควบคุมหรือในอำนาจรัฐจึงเป็นการจำกัดสิทธิ ของผู้ถูกกล่าวหาซึ่งนอกจากจะกระทบต่อเสรีภาพของบุคคลอันเป็นสิทธิพื้นฐาน ที่สำคัญแล้วยังกระทบถึงโอกาสในการต่อสู้คดีและส่งผลกระทบต่อครอบครัวและญาติพี่น้องของผู้ถูกกล่าวหาอีกด้วย

          ด้วยเหตุนี้ คอป.จึงเห็นว่าหากไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือจะก่ออันตรายประการอื่นแล้ว ก็จะต้องปล่อยตัวหรือปล่อยชั่วคราวในทุกกรณี เหตุนี้รัฐบาลจึงพึงให้ความสำคัญสูงสุดกับการกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อศาลเพื่อนำไปสู่โอกาสในการได้รับการปล่อยตัวหรือการ ปล่อยชั่วคราวผู้ถูกกล่าวหาในคดีที่สืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อความรุนแรงโดยตรง เว้นแต่จะมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนที่สามารถพิสูจน์ถึงเหตุที่จะสามารถควบคุมตัวได้ดังกล่าว

          อนึ่ง การเรียกหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติของประเทศไทยที่ไม่สอดคล้องกับหลักการทางวิชาการนั้น การเรียกหลักประกันดังกล่าวควรมีจำนวนน้อยที่สุด

          2.คอป.เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการปล่อยชั่วคราวแกนนำบางส่วนที่ถูกควบ คุมตัวไว้ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อหรือสนับสนุนความรุนแรงในระหว่างการชุมนุม โดยตรงเพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำแนวทาง สันติวิธีมาใช้ในการแสวงหาทางออกให้กับบ้านเมือง การปล่อยตัวหรือการปล่อยชั่วคราวแกนนำดังกล่าวจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ จะส่งสัญญาณว่าทุกฝ่ายให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับกระบวนการสร้างความ ปรองดองในชาติ

          นอกจากนี้ยังเป็นการลดกระแสความเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ความไม่เชื่อถือในระบบการปกครองของรัฐอันอาจสร้างความร้าวฉานและความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่อีกด้วย

          นอกจากนี้ ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขส่วนหนึ่งให้แกนนำดังกล่าวได้มีส่วนร่วมกับ คอป.องค์กร สถาบัน และบุคคลต่างๆ ในการสร้างความเชื่อมั่นในแนวทางสันติวิธีกับกลุ่มที่มีความคิดต่างในทางการเมือง อันเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างความปรองดองที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งใน การแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

          ทั้งนี้ ทุกฝ่ายพึงตระหนักว่าการปล่อยตัวหรือการปล่อยชั่วคราวไม่มีผลให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นไปจากการถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด อีกทั้งศาลยังอาจสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวหรือการปล่อยชั่วคราวได้เสมอหากผู้ได้รับการปล่อยตัวหรือการปล่อยชั่วคราวกระทำผิดเงื่อนไข

          3.คอป.ตระหนัก ดีว่าดุลพินิจในการปล่อยตัวหรือปล่อยชั่วคราวบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลเป็นของ ศาลยุติธรรม แต่ในการที่ศาลจะวินิจฉัยไปในทางหนึ่งทางใดย่อมขึ้นอยู่กับข้อมูลที่องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในฝ่ายบริหารเป็นผู้นำเสนอ เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 72 (2)บัญญัติว่า "หมายปล่อยผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งต้องขังอยู่ตามหมายศาล ให้ออกเมื่อพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนขอให้ปล่อย โดยเห็นว่าไม่จำเป็นต้องขังไว้ในระหว่างการสอบสวน"
         

          ด้วยเหตุ นี้รัฐบาลอาจสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐในฐานะพนักงานสอบสวน เช่น ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือแม้แต่สำนักงานอัยการสูงสุด รายงานข้อเท็จจริงและความเห็นเพิ่มเติมที่ชัดเจนว่าการปล่อยหรือการปล่อยชั่วคราวดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการในการสร้างความปรองดองในชาติ อย่างไร ทั้งนี้เพื่อให้ศาลมีข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาว่าสมควรที่จะ สั่งปล่อยหรือปล่อยชั่วคราวหรือไม่

          4. คอป.ได้ ส่งบทความเรื่อง "การเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐและการปล่อยชั่วคราว" มาพร้อมนี้ โดยผู้เขียนบทความดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึงสภาพปัญหาในการนำกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญามาใช้โดยไม่สอดคล้องกับหลักการทางวิชาการ และแนวปฏิบัติดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกกล่าวหาโดยตรง

          สำหรับเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อต้นปี พ.ศ.2553 นั้น คอป.เชื่อ ว่าหากมีการปฏิบัติโดยสอดคล้องกับหลักกฎหมายตามแนวทางที่เขียนในบทความดัง กล่าวแล้วจะมีผู้ต้องหาจำนวนไม่น้อยที่สมควรได้รับการปล่อยชั่วคราวเพราะ กรณีไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี ไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะก่ออันตรายประการอื่นอันเป็น "เหตุหลัก" ในการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐ ซึ่งเมื่อกรณีมีเหตุหลักดังกล่าวมาแล้วก็จะปล่อยชั่วคราวไม่ได้ แต่การเอาตัวผู้ต้องหาเหล่านั้นไว้ในอำนาจรัฐที่เกิดจากเหตุแห่งความร้ายแรง ของความผิดซึ่งเป็นเพียงเหตุเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐที่เป็น "เหตุรอง" นั้น สามารถพิจารณาไปในทางปล่อยชั่วคราวได้แต่ก็ปรากฏว่าผู้ต้องหาซึ่งมีส่วน เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบหลายรายยังถูกควบคุมหรือขังอยู่ในชั้นการ ดำเนินคดีของเจ้าพนักงานบ้าง ในชั้นการดำเนินคดีของศาลบ้าง

          คอป.เห็นว่า ปรากฏการณ์ของการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐดังกล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่เอื้อต่อการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติตามภารกิจของ คอป. และ คอป.เห็น ต่อไปว่าทางปฏิบัติของเจ้าพนักงานและศาลในปัจจุบันนั้น หากพิจารณาตามความเห็นทางกฎหมายในบทความที่ส่งมาแล้ว กรณีมีหนทางที่จะปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหลายคนไปเลยหรือปล่อยชั่วคราวได้ เพราะเหตุเอาตัวไว้ในอำนาจรัฐสำหรับบุคคลหลายคนเป็นเพียงเหตุรองเท่านั้น

          แม้ในส่วนที่เกี่ยวกับศาลนั้น กรณีเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินการใดๆ ได้โดยตรงเพราะกรณีเกี่ยวข้องกับความเป็นอิสระของอำนาจตุลาการซึ่งเป็นเรื่องที่พึงระมัดระวัง แต่ในส่วนของเจ้าพนักงานนั้นไม่ว่าจะเป็นพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจก็ดี พนักงานสอบสวนคดีพิเศษก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี คอป.เห็น ว่าน่าจะได้ทบทวนทำความเข้าใจกฎหมายว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวกันเสียใหม่ตาม นัยแห่งความเห็นทางกฎหมายดังกล่าว ซึ่งหากพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการจักได้ศึกษาความเห็นดังกล่าวอย่างเข้าใจและปฏิบัติได้ถูก ต้องสอดคล้องกับหลักกฎหมายแล้ว ย่อมจะส่งผลให้เกิดความเป็นธรรมในการดำเนินคดีตามนัยแห่ง มาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ เพราะมาตรา 40 (7) ที่บัญญัติว่า "ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม"

          นอกจากนี้ คอป.เห็น ต่อไปอีกว่าพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจก็ดี พนักงานสอบสวนคดีพิเศษก็ดี และพนักงานอัยการก็ดี มีช่องทางที่จะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในชั้นการดำเนินคดีของตนและของศาลได้ โดยการพิจารณาให้ปล่อยตัวไปเลยหรือให้ปล่อยชั่วคราวเมื่อผู้ต้องหาอยู่ใน อำนาจตน หรือแสวงหาโอกาสที่จะแถลงให้ศาลทราบเหตุผลและความเห็นทางวิชาการดังกล่าว สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกขังโดยอำนาจศาลทั้งนี้ เพื่อศาลจักได้พิจารณาให้เป็นไปตามนัยแห่ง"สิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่ว คราว" ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40 (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

          5.นอกจากประเด็นเรื่องการปล่อยตัวหรือการปล่อยชั่วคราวซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนแล้ว รัฐบาลควรให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ  ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานตามหลักนิติธรรมและหลักสิทธิ มนุษยชน เช่นสิทธิพื้นฐานที่ควรได้รับในการต่อสู้คดี อาทิ การจัดหาทนายความ การให้ความช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัวอันสืบเนื่องมาจากการต้องถูกดำเนินคดี เป็นต้น

          โดยรัฐบาลควรจัดให้มีกองทุนที่เพียงพอและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง อันจะเป็นการป้องกันและลดประเด็นไม่ให้ถูกนำไปขยายผลให้เกิดความเข้าใจผิดใน หมู่ประชาชนและลดความขัดแย้งและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นด้วย

 
 
ที่มา:มติชน ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553     
 
สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net