รวมภาพ-ถอดคำ งานรำลึก 2 ปีเหตุการณ์ราชประสงค์

 

 

 

19 พ.ค.55  ที่สี่แยกราชประสงค์ คนเสื้อแดงจำนวนมากทยอยมาชุมนุมกันตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อรำลึกครบรอบ 2 ปี โดยมีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สลับกันขึ้นเวทีปราศรัย  ขณะที่บริเวณสวนลุมพินี มีการจัดเวทีย่อยเกี่ยวกับนักโทษการเมืองที่เรียกร้องให้มีการปล่อยตัว รวมถึงมาตรา 112

เวลาประมาณ  20.00 น. แกนนำ นปช. และประชาชนที่มาร่วมงานได้ร่วมกันร้องเพลงนักสู้ธุลีดิน และจุดเทียบรำลึกผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเม.ย. - พ.ค. 2553 

‘ทักษิณ’ แจงเหตุคดีล่าช้า ขอให้อดทนรอ
เวลาประมาณ  21.00 น. ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงค์จากสาธารณรัฐประชาชนจีนมายังที่ชุมนุมโดยกล่าวว่าขอแสดงความยินดีกับจตุพร ที่ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของจิตใจอีกครั้ง และการตัดสินลงโทษโดยปกติต้องเป็นการจงใจ กรณีนี้ถือว่าแปลกและเป็น “แบบไทย” อย่างไรก็ตาม เราควรเริ่มต้นใหม่ในสิ่งที่ดี นั่นคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำลังจะผ่านวาระสามในเร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นการทำหน้าที่ตามที่สัญญาไว้แล้วว่าจะนำประชาธิปไตยกลับคืนมา ต่อไปก็จะมี สสร.มาเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยแท้จริงและนำไปสู่การแก้ไขกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม

 

ทักษิณกล่าวอีกว่า วันนี้ครบรอบ 2 ปีของความสูญเสีย นอกจากพวกเราต้องเสียอกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เชื่อว่านักประชาธิปไตย ผู้รักความยุติธรรม และนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยังไม่นับคนที่ติดคุกอยู่ แม้แต่ไทยมุงก็ติดคุกไม่รู้กี่สิบปี จึงเห็นได้ว่าไม่มีครั้งไหนที่กระบวนการยุติธรรมจะเสียหายขนาดนี้  ทฤษฎีที่เรียนกันมาทั้งหมดถูกบิดเพี้ยนไปหมด

อดีตนายกฯ ยังกล่าวถึงคดีอากงว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิด กระบวนการยุติธรรมเสียหาย เพราะการคิดไม่เป็น คิดว่าสิ่งเหล่านี้เลวร้าย เลยใช้กระบวนการยุติธรรมที่เกินกว่าเหตุ ตนเคยถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างน้อยก็ 6 ปี รู้ว่าคดีอากงนี้ไม่ทรงสบายพระทัยแน่นอน เป็นคดีที่ไม่เชื่อว่าเจ้านายของเราจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งถูกต้อง เจ้านายของเราไม่เคยชอบในเรื่องนี้เลย หลายครั้งตนเคยเสนอมาตรา 112 กับนักวิจารณ์บางคน ยังทรงรับสั่งว่าอย่าไปยุ่งเลย เพราะไม่ได้ทรงติดพระทัยเรื่องเหล่านี้เลย

ทักษิณกล่าวถึงความล่าช้าในคดี 91 ศพ ว่า สมัยที่เพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาลในเวลานั้นเป็นเผด็จการ มีกระบวนการรองรับทำให้ไม่ต้องปฏิบัติตามหลักนิติธรรมได้ ทำอะไรก็ได้ ตัดสินยังไงก็ได้ ฟ้องคดีอย่างไรก็ได้ ปั้นพยานอย่างไรก็ได้ เมื่อเราเป็นรัฐบาลและเป็นประชาธิปไตย มีซีซีทีวีจ้องเราหมดทุกทางว่าเราจะทำอะไร เราจึงต้องอาศัยหลักนิติธรรมอย่างชัดเจน อาศัยกระบวนการพิจารณาคดีอย่างถูกต้อง ซึ่งต้องใช้เวลาและความอดทน ทราบว่าเรื่องนี้อยู่ในขั้นไต่สวนมูลฟ้อง ฝ่ายประชาธิปไตยต้องอดทนต่อกติกาที่จะให้ความเป็นธรรมดังที่หลายประเทศก็ใช้เวลานับสิบๆ ปีที่จะลงโทษคนผิด

‘ทักษิณ’ ลั่นถึงเวลาเริ่มต้นใหม่ เดินหน้าไทยสู่การแข่งขัน
“สิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีต 6 ปีนี้ก็เพื่ออย่างเดียวคือ เพื่อไล่ล่าผม แลผู้สนับสนุน โดยไม่คำนึงว่าผมนั้นเจ็บน้อยกว่าคนไทยทั้งประเทศ ที่ต้องตกอยู่ในภาวะบ้านเมืองย่ำแย่ ถามว่ามีใครได้ดีบ้าง ไม่มีใครได้ดีนกอกจากผู้ถือโอกาส คนที่เป็นฝ่ายขัดแย้งเจ็บปวดทั้งคู่ ในยามสงครามทุกครั้ง ผู้ที่รบกันบาดเจ็บทั้งคู่ แต่ผู้ได้ประโยชน์คือคนค้าอาวุธ ทั้งสองฝ่ายมีคนค้าอาวุธทั้งสิ้น วันนี้เราต้องกลับมาคิดกันใหม่ว่าบ้านเมืองนี้จะขัดแย้งกันไปอีกหรือ 6 ปีมากพอแล้ว เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ สถานะของประเทศไทยก็ย่ำแย่ เปรียบเทียบกับหลายประเทศที่ได้โอกาสในเอเชีย...ลูกหลานเราจะหมดโอกาส เพราะโลกมีการแข่งขันสูง ทุกวันนี้ เศรษฐกิจก็ไม่ใช่จะง่ายดายในการทำมาหากินกัน การเรียนการศึกษา การรักษาพยาบาลทั้งหลาย ต้องพัฒนาไปทุกวัน แต่ความขัดแย้งชะลอสิ่งเหล่านี้หมด” ทักษิณกล่าวและว่า หากเราเลิกขัดแย้ง หันหน้าเข้าหากัน รักษาสถาบันทุกฝ่ายไว้รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะคนไทยไม่เคารพกฎ กติกา มีแต่พระองค์ที่เป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติ  

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คำนึงถึงความปรองดอง ไม่ชี้นิ้วใส่กัน ก็ต้องค้นหาความจริง เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก นอกจากนี้ต้องมีการชดเชยผู้ได้รับความเสียหายทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม เพราะเป็นก้าวแรกของการนำไปสู่การปรองดองเช่นกัน  

เขากล่าวอีกว่า อย่ามัวพะวงกับสิ่งที่เราไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ พูดอย่างนี้ไม่ได้ให้ยอมแพ้ แต่วันนี้เราเป็นรัฐบาล เราจะคืนความยุติธรรมให้พี่น้องทุกฝ่าย จะเป็นรัฐบาลที่ดี สร้างความกินดีอยู่ดี ให้ประเทศไทยมีศักดิ์ศรี ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้เราต้องผนึกกำลังกันมากกว่าการเอากันให้ตายไปข้าง

“ถ้าจะโกรธผม เพราะท่านไม่เข้าใจ พี่น้องกลับไปทบทวนดีๆ ในเมื่อผมผ่านสิ่งเหล่านี้มาเยอะ และทำงานถวายเบื้องพระยุคลบาทมา ผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมพูดได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยังไม่พูดบ้าง แต่ทั้งหมดผมทำด้วยความปรารถนาดี และรักประเทศชาติ อาจไม่พอใจใครหลายคน แต่ในที่สุดทุกฝ่ายจะพอใจว่าสิ่งที่ผมคิดไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่คิดถึงประเทศไทยในภาพรวม”

“วันนี้เราเจ็บ แต่เราควรจะต้องคิดกันให้ดีว่าจะเริ่มต้นกันใหม่ไหม” ทักษิณกล่าว

‘ธิดา’ เตือนรัฐบาลอย่าลืมค้น ‘ความจริง’ อย่าหลงกลปรองดอง ‘หลอก’
ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. ขึ้นกล่าวปราศรัย ว่า การปรองดองต้องคู่กับความจริง ทุกชาติที่เขาปรองดอง ฆ่ากันตายนับพัน นับหมื่น นับแสน เขาต้องทำความจริงให้ปรากฏแล้วจึงมาตกลงกันว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป เป็นไปไม่ได้เลยที่ไม่เริ่มต้นที่ความจริง คอป. ทำงานมาดีพอสมควร แต่ขอเรียกร้องท่านว่า ท่านลืมชื่อของท่านไปคำหนึ่งคือ “ความจริง” อาจพูดเรื่องปรองดองได้ดีพอสมควร แต่อย่าลืมว่าที่ศึกษาทุกประเทศเขาเริ่มต้นที่ความจริง โปรดทำหน้าที่ให้ครบ ในยุคอภิสิทธิ์ไม่มีใครค้นหาความจริง แต่ในรัฐบาลนี้มาจากประชาชน ความจริงต้องปรากฏให้ได้ ไม่ใช่ไม่ต้องการปรองดอง แต่ต้องการการปรองดองที่แท้จริง เพราะการปรองดองแบบเล่นๆ หลอกๆ มันก็จะหลอกๆ เล่นๆ ต่อไป แต่ของจริงที่เกิดขึ้นคือ จตุพรต้องหลุดจากส.ส. และต่อไปก็ยุบพรรคเพื่อไทย นั่นแหละของจริง และที่ติดคุกไม่ได้ประกันตัวก็ของจริงเหมือนกัน ฉะนั้น เราต้องแยกระหว่างจริง หลอก เล่น ให้ได้

ธิดากล่าวว่า ในวันนี้มาเพื่อรำลึกวีรกรรม เราต้องการบอกคนที่ตายไปว่า เราไม่ลืมเขา เราจะจดจำวีรกรรมที่เขาได้ต่อสู้ รวมถึงคนบาดเจ็บ และมีชีวิตอยู่ทุกคน

ธิดายังกล่าวถึงความยุติธรรมด้วยว่า เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และกฎหมายทั้งปวงจะเป็นก้าวย่างสำคัญของนิติรัฐและนิติธรรม ซึ่งเราต้องทำให้ได้ภายในปีนี้ ปีหน้า เพราะเรามีเวลาไม่มาก อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่ก้าวหน้า แม้นว่าเราแก้ได้ แต่ถ้าเครือข่ายอำมาตย์หรือคนใช้กฎหมายยังล้าหลัง เขาก็ต้องหาวิธีจัดการให้ได้ ฉะนั้น แก้กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ ต้องแก้ความคิดคนที่ล้าหลังให้ก้าวหน้าด้วย นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด บางเรื่องเราจำเป็นต้องอดทน เราต้องการชนะหัวใจเขา เป็นความเข้าใจผิดหากคิดว่าแค่มีรัฐบาลแล้วจะทำได้ทุกอย่าง

ประธาน นปช.กล่าวถึงรัฐธรรมนูญว่า เราเคยมีรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดคือ ปี 2489 ซึ่งปรีดี พนมยงค์ เขียนเอง แต่มันดีเกินไปปีต่อมาก็ถูกทำรัฐประหาร นับจากนั้นรัฐธรรมนูญของไทยก็เลวลงๆ แม้แต่ฉบับปี 2517 , 2540 ก็รับมรดกความเลวของปี 2490 มาเป็นลำดับ

 

            

 

“บางคนบอกอยากแก้ 112 สมมติแก้ 112 มันก็ไปเอามาตราอื่นๆ มาทำจนได้ มันเป็นเรื่องลูกแกะกับหมาป่า ฉะนั้น เราต้องอดทนที่จะเปลี่ยนความคิดของคนในประเทศนี้ให้ยอมรับความแตกต่าง มีความคิดวิทยาศาสตร์ มีความคิดก้าวหน้า นำพาประเทศให้เจริญได้ ฉะนั้น ความยุติธรรมตรงนี้จึงต้องเป็นความยุติธรรมที่ประกอบกันทั้งเนื้อหา รูปแบบ และวิธีการที่เหมาะสม เราจึงสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้” ธิดากล่าว

ธิดา กล่าวทิ้งท้ายว่า ภาระหน้าที่ของเราต่อไปนี้คือการทวงความยุติธรรมให้พี่น้องที่ยังถูกคุมขัง เฉพาะกรณีที่เสียชีวิตซึ่งมีการไต่สวนการตายกันอยู่ 16 คดีส่วนที่เหลืออื่นๆ ของให้ผู้เสียหายฟ้องเองไม่ต้องรอรัฐบาลเลย เพื่อให้เร็วขึ้น  อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมเราไม่ได้ทวงให้เฉพาะคนเสื้อแดงแต่สำหรับคนไทยทั้งประเทศ เราต้องการให้รัฐธรรมนูญนี้เป็นของคนทั้งประเทศ ถ้าพูดถึง 112 การแก้ 112 ไม่ใช่เรื่องสีเสื้อใด ต้องทำให้เป็นของประชาชนทั้งประเทศ

‘จตุพร’ ฉะ ปชป.อย่าหวังยุบเพื่อไทย-เปิดกรณี 1 ล้านอีสวอเตอร์
นายจตุพร พรมพันธ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เพิ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งถอดออกจากความเป็น ส.ส. กล่าวถึงกรณีนี้ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยว่าตนรู้อยู่แล้วว่าผลต้องออกมาเป็นเช่นนี้ เพราะเปรียบเสมือนเอาตัวเองไปให้ศัตรูพิพากษา

"รู้ว่านี่เป็นกลไกรากเหง้าของเผด็จการอำมาตย์ ผมเป็นศัตรูกับเขาทุกคนที่นั่งอยู่ในบัลลังก์นั้น ที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ และในวงประชุมที่มีการเผยแพร่ภาพเท็จ เรียกผมว่า ไอ้ ทุกคำ เพราะฉะนั้น เมื่อเรื่องส่งไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผมไม่คิดว่าคดีจะเป็นคุณ เพราะเอาผมไปให้ศัตรูพิพากษา ผมจึงคิดถึงตอนสุดท้ายปลายทางแล้วว่าก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ผมกับเขาเป็นปฏิปักษ์กัน"

"จะเห็นว่ากลไกอันนี้ไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลง มองประชาชนที่มีความเห็นต่างเป็นศัตรูเหมือนเดิม...เราชี้ให้เห็นว่า ทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นกระบวนการเดียวกัน ฉะนั้น ในอนาคต หลังจากผมก็อาจจะมีคนอื่นอีก"

เขากล่าวเสริมว่า ถึงแม้จะมีการพูดกันว่าจะมีการยุบพรรคเพื่อไทย แต่ก็คงทำไม่ได้แน่นอน เพราะการขาดคุณสมบัติของตนนั้นเป็นเพียงเรื่องวันเลือกตั้ง ซึ่งอยู่เหนือความรับผิดชอบของพรรคเพื่อไทย แต่ตนกำลังจะเปิดประเด็นเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องการรับเงินบริจาคของบริษัทอีสต์ วอเตอร์ จตุพรชี้ว่า บริษัทดังกล่าวมีสัมปทานกับการประปา ซึ่งรับทุนร่วมเกินร้อยละ 50 ฉะนั้นการรับเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์เกิน 1 ล้านบาท จะเป็นเหตุถึงการยุบพรรคและเป็นการดำเนินคดีทางอาญา

"ฉะนั้น การเป็นผู้แทนผมจบแล้ว จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า เส้นทางต่อจากนี้ ไม่มีหน้าที่ตำแหน่งทางการเมือง ก็เป็นตำแหน่งทางประชาชนคนอยู่ในขบวนการคนเสื้อแดงต่อไป"

จากนั้นเขากล่าวปราศรัยบนเวทีว่า กรณีของเขาและคนอื่นๆ จะเป็นการปลุกคนเสื้อแดงให้ไม่สามารถยอมรับให้ประเทศอยู่ในสภาพนี้ได้ ซึ่งจะต้องนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ สร้างกติกาประชาธิปไตยให้บังเกิด

“หน้าที่ของเราคือประคับประคองรัฐบาลให้ครบสี่ปี เราจะได้มีโอกาสแก้สิ่งที่มันอยุติธรรม ผมไม่เชื่อว่าผมจะเป็นรายสุดท้ายที่ได้รับความยุติธรรมจากศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ มันจะเตือนสติเราว่า ตราบใดไม่สร้างกติกาที่ยุติธรรม และหาคนมีจิตใจยุติธรรมมาทำหน้าที่ บ้านเมืองจะหาความสงบไม่ได้” จตุพรกล่าวและว่าที่สำคัญไม่ว่าจะอย่างไรฆาตกรที่ฆ่าประชาชนต้องถูกลงโทษ

 

จตุพร ยังกล่าวถึงการเผาห้าง CTWด้วยว่า ที่แกนนำตัดสินใจยุติการชุมนุมในวันที่ 19 พ.ค.เวลา 13.30 น. เพราะในแต่ละนาทีได้รับแต่รายงานว่า มีคนตายที่นั่น มีคนตายทีนี่ ขณะที่ดูแววตาพี่น้องที่อยู่หน้าเวที ทุกคนพร้อมสู้ตายทั้งหมด แต่ก็จำเป็นต้องพูดทั้งน้ำตานองหน้า เพราะคนที่ตายไม่ใช่พวกตน

“ความจริงไม่ควรมี 6 ศพในวัดปทุม ทันที่ที่พวกเรามอบตัว เพราะไม่ต้องการให้มีใครตาย  เขารู้ว่าถ้าจบลงแบบนั้นจะจบด้วยการเป็นฆาตรกรของรบ.อภิสิทธิ์ ห้าง CTWจึงถูกล็อกเป้า ทำไมต้องเผา เพราะต้องการอธิบายว่า พวกที่ตายทั้งหมดเป็นผู้ก่อการร้าย ล้มสถาบันและเผาบ้านเผาเมือง มันจึงสมควรตาย”

“พวกผมส่งเสียงเรียกร้องมายาวนาน  บอกเสื้อแดงไม่ได้เผา ท้ายสุดไปถึงหูชุดผจญเพลิงห้าง CTW ซึ่งแท้ที่จริงพวกเขารู้เต็มอกว่าคนเผาห้างฯ ไม่ใช่คนเสื้อแดง จึงประสานงานผ่านพิชิต ชื่นบาน นัดพวกผมไปฟัง เอาภาพปรากฏ กล้องทุกห้างไขว้ไปมา ชายชุดดำมีจริง แต่ใส่รองเท้าคอมแบต มันเผาก็จุดไม่ติด”

“ท้ายสุดชุดผจญเพลิงต้องถอยร่น เพราะมีการใช้ระเบิดเพื่อข่มขวัญให้พวกนั้นออก เวลาเดียวกันนั้น สำหรับการลั่นกระสุนใส่ที่วัดปทุมฯ เขารู้ว่าการจุดไฟไม่สำเร็จ ตัดสินใจใช้ระเบิดเพลิง แลกกับ 6 ชีวิตที่วัดปทุม  ดีเอสไอทำสำนวนด้วยความเจ็บปวด เพราะพบว่าศพหนึ่งตาย เพราะช่วยศพสอง ศพที่สองตายเพราะช่วยศพที่สาม ศพที่สามตายเพราะช่วยศพที่สี่ ศพที่สี่ตายเพราะช่วยศพที่ห้า ศพที่ห้าตายเพราะช่วยศพที่หก นี่คือ ความยิ่งใหญ่ในหัวใจของคนเสื้อแดง”


‘ณัฐวุฒิ’ เตือนสถานการณ์ยังไม่ปกติ เสื้อแดงอย่าเพิ่งขัดกันเอง

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ขึ้นเวทีปราศรัยในเวลาเกือบเที่ยงคืน กล่าวว่า เวลานี้ไม่มีใครโค่นล้มคนเสื้อแดงได้ นอกจากคนเสื้อแดงกันเองเท่านั้น ดังนั้นคนเสื้อแดงต้องอดทน หนักแน่น หากมีอะไรไม่พอใจระหว่างทางควรคุยกันไม่ใช่ให้สัมภาษณ์หรือโพสต์ในโซเชียลมีเดียให้เขาเอาไปเป็นเครื่องมือโจมตี เราอาจทำภารกิจเหมือนหรือแตกต่างกันแต่ควรมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน การทำงานมากเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่เหตุผลให้ไปเบียดคนที่เราคิดว่าเขาทำน้อยหรือไม่ทำงาน ใครจะไปรู้ว่าในกระบวนการต่อสู้ที่ใหญ่และยาวนานนี้ใครทำภารกิจอะไรบ้าง บางอย่างประกาศได้ บางอย่างประกาศไม่ได้ ขอให้คนในขบวนต้องมีสติ ไว้วางใจและเชื่อมั่นในกันและกัน ทั้งนี้ไม่ได้บอกให้เชื่อแกนนำ เพราะแกนนำก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าท่านที่นั่งข้างหน้า แต่อยากให้เราศรัทธาในความเป็นคนเสื้อแดงของกันและกัน ศรัทธาในสิ่งที่เราต่อสู้ร่วมกัน

เขาย้ำว่า ขบวนนี้มันใหญ่เกินกว่าจะเคลื่อนได้เท่ากัน  นปช.เคลื่อนได้ช้าหน่อย แต่มั่นคง ไม่ล้มง่ายๆ  เขายังชี้ว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ก็ไม่ใช่ว่าปกติแล้ว เช่น กรณีของจตุพร ถูกถอดจาก ส.ส.หนึ่งวันก่อนมีการชุมนุมใหญ่ ไม่ใช่สถานการณ์ปกติแน่ อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าไม่มีการทรยศกันเด็ดขาด หัวใจคนข้างบนและคนข้างล่างนั้นเท่ากัน

ขณะที่โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความอดีตนายกฯ ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีในวันนี้ด้วย โดยเขากล่าวว่า จะยังคงเดินหน้าเรื่องคดีคนเสื้อแดงต่อไป และย้ำว่านักโทษการเมืองต้องได้รับการปล่อยตัว

ต่อเรื่องความคืบหน้าเรื่องคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) อัมสเตอร์ดัมกล่าวว่า จะมีการตัดสินในอีกสองสามเดือนข้างหน้าว่า ศาลจะรับและทำการสืบสวนสอบสวนคดีที่ส่งฟ้องไปหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรต่อกรณีการเสียชีวิตของ 'อากง' ผู้ต้องขังคดีหมิ่นฯ อัมสเตอร์ดัมระบุว่า เขาจะส่งเรื่องคดีอากงไปประกอบการยื่นคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย รวมถึงกรณีของจตุพรที่ถูกศาลตัดสิทธิการเป็นส.ส. เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาด้วย

"มันก็เห็นชัดอยู่แล้วว่ามันไม่มีความยุติธรรมในประเทศนี้ ผมก็ไปที่งานศพอากง ผมก็ทราบอยู่ และไปที่เรือนจำ ผมก็ได้เจอเขา มันเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก เราไม่สามารถจะยอมให้ผู้ต้องขังถูกปฏิบัติเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว ผมได้มาเยือนที่นี่ ไปเยือนเรือนจำ และได้รับการบอกว่าเขาจะปรับปรุงสภาพเรือนจำให้ดีขึ้น และถ้ามันยังไม่ดีขึ้น ผมจะนำเรื่องนี้ของไทยไปแจ้งที่กาชาดสากลแน่นอน" อัมสเตอร์ดัมกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท