Skip to main content
sharethis

ประชาสังคมชายแดนใต้ระดมสมอง เสนอ สังคมปรารถนาสันติภาพ เน้นการมีส่วนร่วม ยอมรับสถานะคู่เจรจา เปิดพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย ให้สังคมเรียนรู้และหนุนเสริม พร้อมข้อเรียกร้องต่อรัฐ-ขบวนการ-ประชาชนและสื่อ ลุยวางกรอบเวลาจากพูดคุยสู่โต๊ะเจรจา แนะตั้งที่ปรึกษาทีมเจรจา-กรรมการสอบละเมิดกฎ จี้ BRN เปิดช่องให้ประชาชนบอกความต้องการ

วันที่ 10 มิถุนายน 2556 ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSW) ร่วมกับสภาประชาสังคมชายแดนใต้ และภาคีเครือข่ายประชาสังคมชายแดนใต้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำร่างแผนที่นำทาง หรือ โรดแมป(Road Map)สันติภาพโดยภาคประชาสังคม ที่ห้องมะเดื่อ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี มีตัวแทนเครือข่ายประชาสังคมในพื้นที่เข้าร่วมกว่า 100 คน

ในการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้เป็นกระบวนการพิจารณาร่างโรดแมปสันติภาพโดยภาคประชาสังคมชายแดนใต้/ปาตานี โดยเป็นการระดมความคิดเห็นต่อข้อเสนอในการจัดทำร่างโรดแมปดังกล่าว อันเป็นข้อเสนอเบื้องต้นที่ได้จากการระดมเครือข่ายประชาสังคมชายแดนใต้กว่า 25 คน เมื่อวันที่ 4 และ 8 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา

ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ กล่าวถึงความเป็นมาของร่างโรดแมปดังกล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกันมาก่อนหน้านี้ว่าจะทำอย่างไรให้กระบวนการสันติภาพมีความยั่งยืน เพราะประชาชนมีความคาดหวังกับการพูดคุยเพื่อสันติภาพที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก โดยที่ผ่านมามีการพูดคุยกันของเครือข่ายประชาสังคมและประชาชนในพื้นที่ถึงกรอบแนวคิดของการมีโรดแมปของกระบวนการสันติภาพว่า ควรจะเป็นอย่างไร เนื่องจากเกินครึ่งของกระบวนการสันติภาพทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จล้วนมีโรดแมปทั้งสิ้น

 

5 ข้อเบื้องต้นก่อนลงสู่ร่างโรดแมปสันติภาพ

สำหรับข้อเสนอเบื้องต้นที่มีการนำเสนอในการประชุมครั้งนี้ มี 5 ข้อ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมกันระดมความเห็นและปรับปรุงเพิ่มเติมก่อนจะร่างเป็นโรดแมป ดังนี้

ข้อแรก ด้วยความมุ่งมั่นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ประชาสังคมและประชาชนในพื้นที่ปรารถนาให้การเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐไทยกับขบวนการ BRN และกลุ่มที่เห็นต่างจากรัฐกลุ่มอื่นๆ เกิดประโยชน์สูงสุด

ข้อที่สอง เป็นการเสนอหลักการแก้ปัญหาในแนวทางสันติวิธี 5 ข้อ ได้แก่ 1.กระบวนการสันติภาพต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนและสังคมสาธารณะ 2.ทุกฝ่ายต้องยอมรับสถานะของคู่เจรจาอย่างเท่าเทียมกัน 3.เสนอการเปิดพื้นที่ปลอดภัยในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ 4.ภาคประชาสังคมจะเป็นฝ่ายเชื่อมประสานกับทุกฝ่ายพร้อมสร้างตัวชี้วัดในการลดความรุนแรง และ 5.ให้สังคมเรียนรู้และหนุนเสริมกระบวนการพูดคุยและการเจรจา

 

ข้อเสนอต่อรัฐ ขบวนการ ประชาชนและสื่อ

ข้อที่สาม เป็นข้อเสนอเพื่อให้การพูดคุยสามารถเดินหน้าจนบรรลุเป้าหมาย โดยมีข้อเสนอต่อฝ่ายต่างๆ คือ

ข้อเสนอต่อขบวนการ BRN ว่าต้องสื่อสารและเปิดพื้นที่ทำความเข้าใจให้รัฐและประชาชนในเรื่องความไม่เป็นธรรมที่ฝ่ายขบวนการเสนอ และต้องการให้มีสำนักงานของ BRN ในการติดต่อประสานงานทั้งในและนอกประเทศ

ข้อเสนอต่อรัฐไทย ให้ตั้งอนุกรรมการเพื่อศึกษาวิเคราะห์ข้อเสนอของ BRN พร้อมกับเปิดพื้นที่/สร้างพื้นที่ในการสร้างบรรยากาศให้เป็นรูปธรรมในทุกระดับ

ข้อเสนอต่ออประชาชน คือ เรียนรู้ ติดตาม ตรวจสอบและการเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการสร้างสันติภาพด้วยตัวเองและเปิดพื้นที่การพูดคุยและเชื่อมโยงกับภาคประชาสังคมด้วยเครื่องมือที่สร้างสรรค์

ข้อเสนอต่อสื่อ เสนอให้สื่อต้องมีองค์ความรู้ในกระบวนการสันติภาพภาคใต้ เพื่อให้การรายงานข่าวเป็นการหนุนเสริมกระบวนการพูดคุย/การเจรจา รวมทั้งการรายงานข่าวที่สอดรับกับกระบวนการสันติภาพที่ดำเนินการอยู่

ข้อที่สี่ เป็นข้อเสนอต่อบทบาทของภาคประชาสังคมกับการสนับสนุนและหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพ โดยบางส่วนของข้อเสนอในส่วนนี้ เช่น เสริมสร้างและพัฒนาวัฒนธรรมสันติภาพ พัฒนาทักษะการทำงานของแต่ละองค์กรให้เชื่อมโยงกับกระบวนการสันติภาพ ติดตามและประเมินผลกระบวนการสันติภาพให้เป็นรูปธรรม องค์กร/ภาคประชาสังคมต้องกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัดและสร้างความเชื่อมั่นแก่เครือข่ายในการสร้างสภาวะผู้นำในกิจกรรมสันติภาพและการเชื่อมโยงกับสาธารณะ อีกทั้งการสร้างกระบวนการวิพากษ์ตนเองอย่างสร้างสรรค์ เป็นต้น

 

วางกรอบเวลา จากระยะการพูดคุยสู่ขั้นตอนการเจรจา

ข้อที่ห้า ข้อเสนอกรอบเวลา 3 ปี นับจากเดือนกรกฎาคม 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2559 เพื่อให้การพูดคุย/เจรจาสันติภาพเป็นไปในทางลึกและกว้าง โดยแบ่งระยะเวลาเป็น 3 ช่วง คือ 2 ปีแรกเป็นระยะของกระบวนการพูดคุย และการยกระดับไปสู่การเจรจา

ทั้งนี้ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีในกระบวนการนี้ โดยในช่วง 6 เดือน – 1 ปีแรก เป็นระยะของการสร้างความเข้าใจกระบวนการ ประเด็นการเจรจา การตอบคำถาม 5 ข้อของขบวนการ BRN การขยายความ “ความไม่เป็นธรรม” ที่ BRN เรียกร้อง และการเปิดพื้นที่ ขยายพื้นที่และเปิดเวทีพูดคุยกระบวนการสันติภาพที่ประชาชนสามารถนำเสนอประเด็นและความคิดเห็นต่อรัฐและต่อโต๊ะเจรจา

 

ตั้งที่ปรึกษาคณะเจรจา-กรรมการตรวจสอบละเมิดกฎ

ในระยะของการยกระดับสู่การเจรจา ได้มีข้อเสนอให้กำหนดกลไกคณะทำงาน กลไกที่ปรึกษาโดยตั้งคณะที่ปรึกษาร่วมอย่างเป็นทางการต่อกลุ่มที่ดำเนินการเจรจาทั้งสองฝ่าย พร้อมกับหารือข้อตกลงหรือประเด็นเจรจา

ในส่วนขั้นตอนการเจรจาที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อง 2 ปีนั้น ได้มีข้อเสนอให้มีคณะทำงานย่อยในแต่ละประเด็นที่มีการเจรจาเพื่อนำไปการบรรลุข้อตกลง เช่น การลดความรุนแรง เกิดข้อตกลงหยุดยิง การสร้างความเป็นธรรม การปฏิรูปฝ่ายความมั่นคง การเมืองและสิทธิทางการเมือง เป็นต้น

ทั้งนี้อาจจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเปลี่ยนแปลงในประเด็นการศึกษา ภาษา อัตลักษณ์ จนนำไปสู่การได้กรอบข้อตกลงสันติภาพที่ครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญ

ในช่วงเวลา 1 ปีหลังมีกรอบข้อตกลงเจรจา ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการละเมิดกฎการเจรจา การปฏิบัติและติดตามให้ข้อตกลงสันติภาพเป็นรูปธรรม และเกิดพื้นที่ปลอดภัยจากฝ่ายคู่ขัดแย้งทุกพื้นที่

 

สร้างหลักประกันความปลอดภัยในการแสดงความเห็น

ส่วนในการเปิดเวทีระดมความเห็นและปรับเพิ่มข้อเสนอดังกล่าว มีการแบ่งกลุ่มย่อยผู้เข้าร่วมออกเป็น 6 กลุ่ม เพื่อให้เกิดความหลากหลายและการร่วมกันคิดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีข้อสรุปว่า ทุกกลุ่มเห็นพ้องต้องกันในแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และประชาชนทั้งประเทศ

ส่วนประเด็นการเปิดพื้นที่ปลอดภัยในการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมในการพูดคุยเพื่อสันติภาพนั้น มีการนำเสนอและแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง โดยต้องการให้มีหลักประกันในความปลอดภัยจากการแสดงความคิดเห็นสาธารณะ โดยเชื่อว่าการเปิดพื้นที่ปลอดภัย จะทำให้ประชาชนกล้าแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้

 

ให้ BRN เปิดช่องทางให้ประชาชนสื่อถึงความต้องการ

ขณะที่ ข้อเสนอที่ให้ BRN จัดให้มีสำนักงานในการติดต่อประสานงาน มีการถกเถียงถึงความเป็นไปได้หรือไม่ โดยส่วนใหญ่เห็นว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการมีสำนักงานคือการมีช่องทางการสื่อสารที่ประชาชนหรือฝ่ายต่างๆ สามารถที่จะสื่อสารความต้องการสู่ขบวนการได้อย่างง่ายและเปิดกว้าง

ข้อเสนอในประเด็นที่เกี่ยวกับบทบาทของภาคประชาสังคมกับการหนุนเสริมสันติภาพนั้นมีหลากหลายตั้งแต่ต้องการให้ข้อเสนอของภาพประชาสังคมเป็นนโยบายที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ การผนึกกำลังขององค์กรประชาสังคมในพื้นที่ให้เข้มแข็งและต้องการให้องค์กรมีการรณรงค์อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การมีแถลงการณ์แสดงเจตจำนง เป็นต้น

ส่วนข้อเสนออื่นๆ เช่น สื่อต้องนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือน เป็นกลางและรอบด้าน อีกทั้งข้อเสนอต่อมาเลเซียที่ต้องมีความเป็นกลาง ไม่มีผลประโยชน์และต้องการให้มาเลเซียมีบทบาทเป็นตัวกลาง(mediator) ในกระบวนการเจรจา

 

หวังเป็นโรดแมปจากข้างล่างเสนอต่อทุกฝ่าย

ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เป็นความคิดเห็นและข้อเสนอที่ขึ้นมาจากข้างล่าง โดยจะมีคณะทำงานรวบรวมความเห็นและข้อเสนอข้างต้น เพื่อนำไปปรับแก้ตามที่ประชุมได้ให้ความเห็น และจะนำเสนอโรดแมปฉบับนี้ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเจรจา อีกทั้งจะเสนอต่อประชาชนในพื้นที่ องค์กรประชาสังคม รวมทั้งจะเสนอต่อฝ่ายขบวนการที่เห็นต่างจากรัฐด้วย และเชื่อว่าเนื้อหาข้อเสนอที่ได้ในครั้งจะสามารถสื่อสารถึงทุกฝ่ายได้

ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งได้เข้าร่วมการประชุมในช่วงบ่าย กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้เห็นการระดมความเห็นของภาคประชาสังคมในพื้นที่ที่มีต่อกระบวนการสันติภาพ ซึ่งจากที่ตนได้รับรู้จากประชาชนโดยเฉพาะจากผู้นำชุมชนในพื้นที่นั้น ทุกคนคาดหวังว่าการพูดคุยสันติภาพจะต้องประสบความสำเร็จ และประชาชนในพื้นที่ต้องการความสงบต้องการให้ยุติความรุนแรงโดยเร็ว

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net