Skip to main content
sharethis
28 ก.ค. 2561 สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน รายงานว่าไม่เคยมีหลักประกันใดที่จะมารองรับให้ชาวบ้านที่เป็นเพียงเกษตรกรคนธรรมดา ดำเนินชีวิตทำกินอยู่กับป่าได้ด้วยความปกติสุข โดยเฉพาะในช่วง 4 ปี ของ คสช.เพราะสิงที่เกิดขึ้นหลังจากหัวหน้าคณะ คสช.มีนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” กลับมาตกอยู่บนความทุกข์ยากของชาวบ้านอย่างหนักหน่วง เช่น ชาวบ้านบ้านซับหวาย ต.วังตะเฆ่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ผลักดันให้ออกจากที่ดินทำกิน และในขณะที่พื้นที่พิพาทอยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขปัญหา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติไทรทองกลับอ้างความชอบธรรมอาศัยอำนาจทางกฎหมาย แจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้าน จำนวน 14 ราย 19 คดี
 
ท่ามกลางบรรยากาศการต่อสู้เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาปมพิพาทของชาวบ้านที่ให้ปากคำในห้องพิจารณาคดีความตามที่ศาลจังหวัดชัยภูมินัดสืบพยานฝ่ายโจทก์และจำเลย นับแต่วันที่ 3 พ.ค.61 เป็นต้นมา จนวาระสุดท้ายของการสืบพยานในชั้นกระบวนการยุติธรรม สิ้นสุดลงเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2561 กระทั่งถึงกำหนดวันที่ศาลจังหวัดชัยภูมินัดฟังคำพิพากษาจำเลย 3 รายแรก จากทั้งหมด 14 รายนั้น ศาลมีคำสั่งจำคุก โดยไม่รอลงอาญา พร้อมปรับค่าเสียหายทั้ง 3 ราย และให้ออกจากพื้นที่ทำกิน ตามรายละเอียดดังนี้
 
วันที่ 17 ก.ค.2561 ศาลพิพากษานางสีนวล พาสังข์ มีคำสั่งจำคุก 5 เดือน 10 วัน โดยไม่รอลงอาญา ปรับค่าเสียหายจำนวนเงิน 1,50000
 
วันที่ 25 ก.ค.2561 ศาลพิพากษานางปัทมา โกเม็ด (ถูกแจ้งความ 2 คดี แต่สามารถรวมคดีได้) มีคำสั่งจำคุก 8 เดือน ปรับค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 2,50000 บาท
 
วันที่ 25 ก.ค.2561 ศาลพิพากษานายสมพิตร แท่นนอก มีคำสั่งจำคุก 10 เดือน ปรับค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 1,00000 บาท
 
ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 3 ราย ต้องออกจากพื้นที่ทำกิน ตามคำสั่งศาล ส่วนจำนวนเงินค่าปรับนั้นทางทนายความจำเลยได้ยื่นคำร้องกับกองทุนยุติธรรมจังหวัดชัยภูมิ เพื่อขอความช่วยเหลือในการประกันตัวออกมา ต่อสู้คดีความในชั้นอุทธรณ์
 
จำเลยทั้ง 14 ราย ที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง แจ้งความดำเนินคดี
 
ส่วนจำเลยรายต่อไปศาลจังหวัดชัยภูมิ นัดอ่านคำพิพากษาคดีของนางสาวนิตยา ม่วงกลาง ในวันที่ 8 ส.ค. 2561 ซึ่งนางสาวนิตยา ถูกแจ้งความรวม 2 คดี โดยคดีที่ 1 ศาลนัดอ่านคำพิพากษา ในเวลา 9.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 1 และอีก 1 คดี ที่ห้องพิจาณาคดี 2 โดย นางสาวนิตยา ม่วงกลางได้ยื่นคำร้องในการใช้ประกันตัวกับทางกองทุนยุติธรรมไว้แล้วทั้ง 2 คดี เป็นจำนวนเงินในคดีความละ 1,50000 บาท
 
นางสาวนิตยา ม่วงกลาง ศาลนัดอ่านคำพิพากษา ในวันที่ 8 ส.ค. 2561
 
เป็นอีกมุมหนึ่งของความไม่เป็นธรรมที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากข้อกล่าวหาที่อุทยานแห่งชาติไทรทองแจ้งความดำเนินคดีทางอาญา ฐานความผิดบุกรุกป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ 2507 และ พ.ร.บ.อุทยานฯ 2504 ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจของชาวบ้านที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ต้องมาทรุดหนักกว่าเดิมจากการที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐกระทำ เพราะต้องเสียเวลาทำมาหากิน เสียค่าเอกสาร ภาระในครอบครัว รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการดำรงชีพ
 
มาตรฐานเหล่านี้ เป็นเพียงอีกหนึ่งในปัญหาข้อพิพาทที่ดินระหว่างรัฐกับประชาชน ที่สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมที่เป็นภัยคุกคามต่อความเป็นธรรม เหล่านี้คือวงจรเดิมๆที่เกิดขึ้นเป็นซ้ำซาก ที่ไม่เคยมีหลักประกันใดที่จะมารองรับให้ชาวบ้านดำเนินชีวิตทำกินอยู่กับป่าได้ด้วยความปกติสุข เป็นเพราะความล่าช้า การเพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา หรือการไม่ยินยอมในความร่วมมือของหน่วยงานรัฐในการแก้ปัญหาทางนโยบาย  หรือเป็นการมองเพียงมุมเดียวมาตลอดว่าชาวบ้านเป็นเพียงเกษตรกรคนธรรมดา ที่ไร้เกียรติฐานะทางสังคม ไม่มียศตำแหน่งใดๆ ทั้งๆที่พวกเขาก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีภูมิปัญญา มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านสูงกว่าบางบุคคลที่มองตัวเองและจำพวกที่ชอบยกตัวเองว่าเป็นชนชั้นที่มีเกียรติทางสังคม
 
ท้ายที่สุดแล้ว โดยเฉพาะกรณีพิพาทเขตอุทยานแห่งชาติไทรทอง ทั้งที่ชาวบ้านถือครองทำประโยชน์มาก่อนการประกาศเขตป่าทับซ้อน เมื่อผู้เดือดร้อนร่วมกันเรียกร้องความเป็นธรรม ได้มีแนวทางร่วมประชุมกับหน่วยงานรัฐหลายครั้ง กระทั่งมีข้อตกลงในการที่จะยุติการคุกคาม การดำเนินคดีใดๆ รวมทั้งมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหา กลับถูกดำเนินคดีความ ซ้ำเติมชีวิตให้ทุกข์ยากหนักยิ่งขึ้น
 
ฉะนั้นรัฐหรือหน่วยงานใดก็ตามที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณา ควรดำเนินการด้วยความชำนาญอย่างรอบด้าน เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนด้วยความถูกต้อง เป็นธรรม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net