เดอะสเตรทไทม์รายงานว่าทางการมาเลเซีย "ไม่มีแผนการจะเดินตามรอยไทย" จากการที่พวกเขาจะไม่ยอมออกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพื่อปกป้องพระราชาธิบดีของมาเลเซีย
สุลต่านอาหมัดชาห์ (ซ้าย) สุลต่านแห่งรัฐปาหัง สาบานตนเป็นพระราชาธิบดีพระองค์ปัจจุบันของมาเลเซีย เมื่อ 15 มกราคม 2562 (ที่มา: Bernama)
เลียววุยเคียง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียเปิดเผยว่ามาเลเซียมีกฎหมายที่เหมาะสมพอในการคุ้มครองพระราชาธิบดีหรือ "ยังดีเปอร์ตวนอากง" และผู้ปกครองคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีผู้นี้ก็ไม่ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลมาเลเซียจะไม่แก้กฎหมายหรือออกกฎหมายอื่นๆ ที่จะเป็นการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์มาเลเซียมากขึ้น
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พวกเขามีระบบการเมืองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยมีรัฐสภา ขณะที่กษัตริย์มาเลเซียจะมีพระราชอำนาจสูงสุดตามที่ระบุไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญ เลียววุยเคียงกล่าวอีกว่า "ประชาชนมีเสรีในการที่จะแสดงความคิดเห็นของตัวเอง แต่ความคิดเห็นเหล่านี้จะต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดและไม่ละเมิดกฎหมายด้วยการกล่าวให้ร้ายหรือหมิ่นประมาทผู้เป็นประมุขของพวกเรา"
ความคิดเห็นที่ถือว่าผิดกฎหมายในมาเลเซียนั้นรวมถึงความคิดเห็นที่ "สร้างความไม่พอใจหรือเอาใจออกห่างในหมู่อาณาประชาราษฎร์ของยังตีเปอร์ตวนอากงหรือของสุลต่านรัฐใดๆ ก็ตาม" ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายนี้จะต้องโทษปรับเป็นเงิน 5,000 ริงกิต (ราว 38,000 บาท) หรือจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
สเตรทไทม์ระบุว่าถึงแม้ประมุขของมาเลเซียจะมีบทบาทจำกัดทั้งในระดับรัฐต่างๆ และในระดับส่วนกลาง พวกเขาก็ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจทางการเมืองมาเลเซียและเป็นผู้ปกป้องศาสนาอิสลามซึ่งเป็นศาสนาที่คนส่วนใหญ่ในมาเลเซียนับถือ ทั้งนี้กษัตริย์ของมาเลเซียยังมีอำนาจตัดสินใจพิเศษอย่างการให้นายกรัฐมนตรีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งและอำนาจในการให้อภัยโทษผู้ต้องโทษ
ที่ลิววุยเคียงพูดถึงเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในครั้งนี้เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวไว้เมื่อช่วงต้นปีว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายใหม่และแก้กฎหมายเดิมเพื่อปกป้องประมุขจากการถูกให้ร้าย เขาพูดไว้เช่นนี้หลังมีกรณีการจับกุมประชาชน 3 ราย ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสุลต่านมูฮัมหมัดที่ 5 แห่งรัฐกลันตัน หลังจากที่สุลต่านมูฮัมหมัดที่ 5 สละราชสมบัติจากตำแหน่งพระราชาธิบดี เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2562
เรียบเรียงจาก
Malaysia has no plans to emulate Thailand and enact lese majeste law, The Strait Times, 14-02-2019