Skip to main content
sharethis

 

กรณีความขัดแย้งล่าสุดระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่ยกเลิกข้อตกลงด้านความร่วมมือข่าวกรอง GSOMIA ทำให้มีการวิเคราะห์ว่าจะส่งผลเสียกับทั้งสองฝ่ายในการช่วยกันแจ้งเตือนการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ขณะเดียวกันนักวิชาการชาวญี่ปุ่นก็กล่าววิจารณ์รัฐบาลชินโซ อาเบะ ที่สร้างความบาดหมางกับเกาหลีใต้ โดยที่นักวิชาการเกาหลีใต้ได้พูดถึงต้นตอความขัดแย้งนี้และเสนอทางออกร่วมกัน

ที่มา: วิกิพีเดีย

29 ส.ค. 2562 หลังรัฐบาลเกาหลีใต้ยกเลิกข้อตกลงด้านความมั่นคงและข่าวกรองการทหารทั่วไป (General Security of Military Information Agreement หรือ GSOMIA) กับญี่ปุ่นเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความกังวลต่อประสิทธิภาพของทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นในการติดตาม สอดส่อง และวิเคราะห์เรื่องภัยขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือ นักประวัติศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ฮารุกิ วาดะ ก็กล่าววิจารณ์รัฐบาลญี่ปุ่นที่ปฏิบัติไม่ดีต่อเกาหลีใต้

นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ลีนักยอน แถลงต่อสภาฯ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมาว่า ข้อตกลงด้านความมั่นคงและข่าวกรองการทหารทั่วไป (GSOMIA) ที่ทำไว้กับญี่ปุ่นจะถูกยกเลิกใช้ภายในวันที่ 23 พ.ย. ที่จะถึงนี้ โดยที่ทางการเกาหลีใต้แจ้งต่อทางการญี่ปุ่นแล้วในเรื่องที่พวกเขาต้องการยกเลิกข้อตกลงนี้ 

ลีนักยอนแถลงอีกว่าการตัดสินใจของพวกเขาเป็นการโต้ตอบกรณีที่ญี่ปุ่นแปะป้ายพวกเขาว่าเป็นประเทศที่ "เชื่อถือไม่ได้ในเรื่องความมั่นคง" รวมถึงเรื่องที่ญี่ปุ่นมีมาตรการกีดกันทางการค้าเกาหลีใต้ โดยในถ้อยแถลงระบุว่าถ้าหากญี่ปุ่นยกเลิก "มาตรการที่ไม่เหมาะสม" เหล่านี้พวกเขาก็จะพิจารณาดำเนินข้อตกลง GSOMIA ใหม่อีกครั้ง

ทางการญี่ปุ่นและสหรัฐฯ วิจารณ์การตัดสินใจยกเลิกข้อตกลงว่ามันจะกลายเป็นการลดทอนความสามารถในการแลกเปลี่ยนข่าวกรองระหว่างกันและกันในช่วงที่ทั้ง 3 ประเทศ (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐฯ) กำลังพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องการพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ 

ทาเคชิ อิวายะ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่นกล่าวว่าการข่าวกรองของญี่ปุ่นจะระบุได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีการยิงขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือ และบอกอีกว่าการประกาศยกเลิก GSOMIA จะไม่มีผลกับญี่ปุ่นเอง โดยเมื่อมีการยิงขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือกองทัพสหรัฐฯ จะสามารถตรวจได้อย่างรวดเร็วด้วยดาวเทียมแจ้งเตือนของพวกเขา โดยที่ทางการสหรัฐฯ จะแลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องนี้กับกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น (SDF) ขณะที่ SDF จะทำการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธโดยอาศัยเรือลาดตระเวนเอกิส (Aegis cruiser) บนทะเลและเรดาร์จากบนภาคพื้นดินของญี่ปุ่น

ถึงแม้ว่าทางการญี่ปุ่นจะบอกว่าการที่เกาหลีใต้ไม่แชร์ข้อมูลจะไม่ส่งผลกระทบต่อการยิงขีปนาวุธพิสัยไกล แต่ถ้าหากมีการยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้หรือขีปนาวุธที่ยิงในระดับความสูงไม่มาก เรดาร์ของญี่ปุ่นก็จะไม่สามารถตรวจจับหรือระบุพิสัยกับข้อมูลอื่นๆ ของขีปนาวุธนั้นๆ ได้ ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายเกาหลีใต้เองก็มักจะไม่สามารถตรวจจับขีปนาวุธที่ยิงในพิสัยไกลด้วยเรดาร์ของตัวเองได้ ข้อตกลง GSOMIA จึงมีประโยชน์กับทั้งสองประเทศในแง่นี้ และจากข้อมูลของรัฐบาลเกาหลีใต้เองก็ระบุว่าเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเรื่องขีปนาวุธกันมาแล้ว 29 ครั้ง

สำหรับปีนี้ ทางการญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเหตุยิงขีปนาวุธให้กันละกันแล้ว 7 ครั้ง โดยในช่วงเดือน ก.ค. ที่่ผ่านมาเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้สองครั้งซึ่งเป็นเกาหลีใต้ที่สามารถตรวจจับและคำนวนระยะพิสัยการตกของขีปนาวุธได้ เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในญี่ปุน่กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า "การยุบข้อตกลง GSOMIA จะส่งผลเสียต่อทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และจะให้ผลดีกับเกาหลีเหนือและจีนเท่านั้น"

นักวิชาการณี่ปุ่นวิจารณ์ 'อาเบะ' สร้างความร้าวฉานกับเกาหลีใต้

ฮารุกิ วาดะ ศาตราจารย์กิตติคุณจากมหาวิทยาลัยโตเกียวกล่าวในที่ประชุมวิชาการกรุงโซลเมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมาโดยวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ที่มีนโยบายไม่เป็นมิตรกับเกาหลีใต้ วาดะเปิดเผยว่าผู้เชี่ยวชาญในรัฐบาลเคยบอกให้มีการขีดเส้นตัดความสัมพันธ์ทำให้เกาหลีใต้โดดเดี่ยวแล้วหันไปเน้นพยายามสร้างความสัมพันธ์กับไต้หวัน และสหรัฐฯ แทน แต่การตัดสัมพันธ์กับมิตรตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเกาหลีใต้เช่นนี้เสี่ยงต่อการทำให้ญี่ปุ่นสิ้นสุดการเป็นรัฐสันติ

วาดะเปิดเผยว่ารัฐบาลอาเบะมีท่าทีก้าวร้าวต่อความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้มาก ไม่ว่าจะเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับหญิงบำเรอในสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเรื่องมาตรการปิดกั้นการค้ากับเกาหลีใต้ วาดะมองว่าเรื่องที่ทำให้รัฐบาลอาเบะไม่พอใจเกาหลีใต้น่าจะเป็นเพราะในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้รัฐบาลเกาหลีใต้เข้าหารัฐบาลบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ทำให้โอบามาหันมากำชับกับญี่ปุ่นให้ดำเนินการเกี่ยวกับประเด็นหญิงบำเรอ จนบีบให้รัฐบาลอาเบะดำเนินการหารือลับๆ กับเกาหลีใต้ในเรื่องนี้ช่วงปลายปี 2557

วาดะตั้งข้อสังเกตว่า 1 ปีหลังจากนั้นคือปี 2558 ในหนังสือปกน้ำเงินด้านนโยบายการทูตของญี่ปุ่นมีการตัดวลีที่ว่าเกาหลีใต้และญี่ปุ่น "มีค่านิยมร่วมกันในด้านเสรีภาพ, ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน" และในปลายปีเดียวกันก็มีการเสนอข้อตกลงเรื่องหญิงบำเรอกับเกาหลีใต้ในแบบที่ซ่อนเสี้ยนหนามเอาไว้และบีบให้รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องยอมรับข้อตกลงที่ระบุไม่ให้เกาหลีใต้นำเรื่องหญิงบำเรอเป็นประเด็นในเวทีนานาชาติ ทั้งยังปฏิเสธการขอโทษอีกด้วย

แต่ในปี 2561 รัฐบาลมุนแจอินของเกาหลีใต้ก็ทำในเรื่องที่อาเบะแปลกใจโดยการที่สามารถเป็นตัวกลางเจรจาวิกฤตนิวเคลียร์ระหว่างเกาหลีเหนือกับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยอมรับที่จะประชุมเจรจากับคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือทันทีโดยไม่ผ่านการปรึกษากับอาเบะก่อน ซึ่งขัดกับการพยายามกดดันเกาหลีเหนือของอาเบะในเรื่องที่เกาหลีเหนือลักพาตัวชาวญี่ปุ่น และในโต๊ะเจรจาครั้งนั้นก็ไม่มีการพูดถึงประเด็นการลักพาตัวที่อาเบะอยากจะยกขึ้นมาพูดถึงทำให้อาเบะอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ทั้งนี้ยังมีนักเศรษฐศาสตร์ที่เคยทำงานให้กับรัฐบาลเกาหลีใต้ คิมฮยุนชุล กล่าวว่าการที่ญี่ปุ่นวางมาตรการปิดกั้นการค้าเกาหลีใต้จะไม่เป็นผลดีต่อญี่ปุ่นเองและกลับจะกลายเป็นโอกาสสำหรับเกาหลีใต้เอง เพราะบรรษัทในเกาหลีใต้อย่างซัมซุงและไฮนิกซ์ที่มีลักษณะเป็นบรรษัทระดับโลกและมีกำลังซื้อสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมขนาดกลางด้านการผลิตชิ้นส่วนและวัตถุดิบของญี่ปุ่น นั่นทำให้บริษัทในญี่ปุ่นไม่พอใจรัฐบาลและพยายามหาทางออกด้วยการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในเกาหลีใต้และพยายามเปลี่ยนช่องทางการส่งออกผ่านโรงงานอุตสาหกรรมนอกประเทศแทน

นัมกีจองนักวิชาการเกาหลีใต้อีกคนหนึ่งจากสถาบันญี่ปุ่นศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซลกล่าวว่าวิกฤตความขัดแย้งญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ในปัจจุบันมีรากฐานมาตั้งแต่สนธิสัญญาเมื่อปี 2508 ที่ญี่ปุ่นมีลักษณะถือครองอาณานิคมยึดครองเกาหลี ซึ่งสองชาติมีการตีความสนธิสัญญานี้ต่างกันโดยที่ญี่ปุ่นมองว่าการถือครองอาณานิคมนั้นเป็นไปตามหลักกฎหมาย แต่ฝ่ายเกาหลีใต้มองว่าเป็นการอาศัยช่องโหว่ของระบบในการยึดครองอาณานิคมอย่าางผิดกฎหมาย จนกลายเป็นเรื่องที่เถียงกันไม่จบและถูกพักไว้ในฐานะที่ "ต่างฝ่ายต่างยอมรับว่าตกลงกันไม่ได้"

อย่างไรก็ตามนัมกีจองเสนอหนทางแก้ไขความขัดแย้งว่าควรจะมีการแก้ไขสนธิสัญญาให้มีการอุดช่องโหว่ โดยถ้าหากฝ่ายเกาหลีใต้ยอมรับความพยายามขอโทษของญี่ปุ่นที่ผ่านมาในอดีตและรัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับว่าการยึดครองอาณานิคมนั้นผิดกฎหมายพวกเขาก็จะสามารถหากระบวนกรฟื้นฟูความสัมพันธ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียกร้องค่าชดเชยใดๆ อีก

เรียบเรียงจาก

“Abe’s refusal to engage with S. Korea marks end of Japan’s status as peaceful country,” says Haruki Wada, Hankyoreh, Aug. 27, 2019

S. Korea’s Lee: GSOMIA can stay if Japan retracts trade measures, The Asahi Shimbun, Aug. 27, 2019

Japan – S Korea rift may risk national security issues, The Japan News (via Asia News Network), Aug. 26, 2019

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net