เจรจาปิดเหมืองหิน 'ดงมะไฟ' เหลว-ชาวบ้านลั่นจะปิดเหมืองเอง

13 ส.ค. 63 ที่ศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู ภายหลังจากชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู เข้าประชุมเจรจากับรองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภูและคณะ เพื่อขอให้ยกเลิกประทานบัตรการทำเหมืองแร่และไม่ให้ต่ออายุประทานบัตรการทำเหมืองแร่ อย่างไรก็ตามเจรจาไม่สำเร็จ แต่ทางจังหวัดระบุว่าไม่มีอำนาจในการสั่งปิดเหมือง ทำให้ในเวลา 14.00 น. หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันชาวบ้านได้ประกาศจะกลับไปปิดเหมืองหินและโรงโม่ด้วยตัวเอง

ที่มา: Facebook/เหมืองแร่หนองบัว

ชาวบ้านได้ประกาศคำขวัญ "ปิดเหมืองหินและโรงโม่ ฟื้นฟูภูผาป่าไม้ และพัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยว" โดยหลังจากนั้นชาวบ้านได้นำหินที่เก็บมาจากพื้นที่และหน่อไม้ 1 หน่อ ไปวางไว้ที่หน้ารูปภาพผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู และรูปภาพวราวุธ ศิลปอาชา รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่ตั้งไว้บนเก้าอี้ จากนั้นได้เดินทางกลับไปปิดเหมืองหินและโรงโม่ด้วยสองมือสองเท้าของตัวเอง

กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได จ่อเข้าเจรจาให้ปิดเหมืองหินถาวรกับผู้ว่าฯ หนองบัวลำภู 13 ส.ค.นี้, 10 ส.ค. 63

ก่อนหน้านี้รายงานในเพจ The Story of แม่หญิงไฟ้ท์ รายงานว่า 13 ส.ค. นี้กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได จะเดินทางจากตำบลดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา ไปยังศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อเจรจากับผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตการประทานบัตรเพื่อการทำเหมืองแร่ และเรียกร้องให้มีคำสั่งปิดและฟื้นฟูเหมือง

กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ระบุว่า ตลอดระยะเวลา 26 ปีที่ผ่านมา ประชาชน กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ต.ดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา 6 หมู่บ้าน ประมาณ 4 พันคน จำนวนประมาณ 1,089 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบจากความเสียหายของการประกอบกิจการเหมืองหินในพื้นที่ และประชาชนได้ต่อสู้กับบริษัทเหมืองมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น ผ่านการสูญเสีย ทั้งที่ดิน ที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำมาหากิน และสูญเสียชีวิตของนักปกป้องสิทธิฯ แล้วถึง 4 คน  

กลุ่มดังกล่าวยังแจ้งด้วยว่า หากการเจรจาเป็นไปไม่เป็นผล ประชาชน ทั้งหมดจะร่วมอ่านข้อเรียกร้อง แสดงเจตนารมณ์ ที่ศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู และใช้วิธีการอารยะขัดขืน (civil disobedience) ด้วยการเดินทางต่อไปยังบริเวณหน้าทางเข้า-ออกเหมืองแร่ ที่ต.ดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู เพื่อปิดเหมืองด้วยตนเอง จนกว่าหน่วยงานที่มีอำนาจจะเดินทางลงมาเจรจาและมีคำสั่งให้ปิดและฟื้นฟูเหมือง

สำหรับการเจรจาที่ศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู วันนี้ประกอบด้วยการเจรจาโต๊ะกลมระหว่างตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได กับผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ  สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 2 จังหวัดอุดรธานี อุตสาหกรรมจังหวัดหนองบัวลำภู เวทีเปิดใจนักสู้ดงมะไฟ ทำอย่างไร #ให้เหมืองจบที่รุ่นเรา และความล้มเหลวของกลไกรัฐในการปกป้องประชาชน โดยมีตัวแทนจากประชาชนที่สู้มาแล้ว 3 รุ่น เป็นต้น

ต่อมากลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ต.ดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา ได้รายงานเพิ่มเติมดังนี้

บรรยากาศการประชุมเริ่มต้นด้วยนายสมควร เรียงโหน่ง นักปกป้องสิทธิฯกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ที่ได้เริ่มประเด็นการเจรจาว่าที่พวกเรามาในวันนี้ก็เพื่อมาทวงถามถึงคำตอบที่ผู้ว่าราชการฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีให้กับเราในการออกคำสั่งให้มีการปิดเหมืองดงมะไฟถาวร และให้มีการฟื้นฟูพื้นที่ที่ถูกทำลายไปจากการทำเหมือง เพราะตลอดการต่อสู้ 26 ปีที่ผ่านมาของเราจะต้องผ่านความเจ็บปวดและการสูญเสียกันมามากมาย วันนี้ความสูญเสียและความเจ็บปวดของชาวบ้านจะต้องได้รับการเยียวยาด้วยคำสั่งปิดเหมือง

นักปกป้องสิทธิฯกล่าวว่า ที่ผ่านมาการทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรกินเนื้อที่กว่า 175 ไร่ และยังมีพื้นที่โรงโม่หินอีก 50 ไร่ ที่ตั้งอยู่บนภูผาฮวกซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับแหล่งป่าน้ำซับซึมที่อยู่ในถ้ำต่าง  ๆ ในภูผาฮวก โดยน้ำจากแหล่งน้ำซับต่าง ๆ  เป็นต้นกำเนิดของลำห้วยที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขง นอกจากนี้แล้วถ้ำบนภูเขาหินปูนเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางโบราณคดีและเป็นแหล่งประวัติศาสตร์บ่งบอกถึงความเป็นมาของชาวสุวรรณคูหาและชาวหนองบัวลำภู ซึ่งในถ้ำผายาได้มีการค้นพบภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏตามผนังถ้ำ นอกจากนี้ยังค้นพบโบราณวัตถุในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์อีกมากมาย ในพื้นที่ถ้ำศรีธน ถ้ำน้ำลอด และถ้ำบาดาล ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับขอบเขตประทานบัตรทำเหมืองแร่หินปูนที่มีหมุดเขตประทานบัตรทำเหมืองอยู่บนถ้ำ ได้มีการค้นพบภาชนะดินเผาที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งขณะนี้กลุ่มถ้ำเหล่านี้กำลังถูกดำเนินการขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504

“แรงระเบิดและการสั่นสะเทือนจากการทำเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หินได้ส่งผลกระทบให้แหล่งโบราณคดีถ้ำศรีธน แหล่งภาพเขียนสีภูผายา และแหล่งโบราณคดีถ้ำผาโขง เกิดรอยแยกและผังถ้ำถล่มลงมา ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก” นายสมควรระบุ

ทวงถามความยุติธรรม 4 นักปกป้องสิทธิฯ ต่อสู้คัดค้านเหมืองถูกสังหารแต่ยังจับกุมคนร้ายไม่ได้

นักปกป้องสิทธิฯยังกล่าวเพิ่มเติมว่านอกจากประเด็นเรื่องผลกระทบทางด้านโบราณสถานและโบราณวัตถุ ยังมีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอีก 4 ชีวิตที่ลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านการทำเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หิน ซึ่งประกอบด้วย นายบุญรอด ด้วงโคตะ นายสนั่น สุวรรณ กำนันทองม้วน คำแจ่ม และนายสม หอมพรมมา ถูกลอบยิงเสียชีวิตและไม่สามารถจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้มาจนถึงปัจจุบันนี้  ผู้กระทำผิดยังลอยนวลพ้นผิด นอกจากนั้นยังมีชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาคัดค้านเหมืองหินจำนวน 12 คนถูกจับกุมดำเนินคดี ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชนอย่างร้ายแรงจนเกินกว่าที่พวกเราจะรับได้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้อย่างน้อยที่สุดผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งให้มีการยกเลิกประทานบัตรการทำเหมืองโดยทันที

นางสาว ปรานม สมวงศ์ องค์กรโพรเทคชั่นอินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า ในกรณีนี้อยากให้หน่วยงานรัฐ เช่น ผู้ว่าฯ กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฯลฯและสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำตามข้อเสนอของคณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีปี 2560 ว่าให้เลือกใช้มาตรการต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพและให้นำไปปฏิบัติโดยไม่ชักช้า ในการคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ เพื่อให้พวกเธอสามารถทำงานด้านสิทธิฯได้อย่างเสรี ปราศจากความหวาดกลัวหรือถูกคุกคามด้วยการฟ้องร้องคดี การคุกคาม ความรุนแรงหรือการ ข่มขู่  โดยการปรึกษาหารือกับผู้หญิงนักป้องสิทธิฯ และเพื่อให้มีการปกป้องภาคประชาสังคมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งหญิงและชาย เราเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและภาคธุรกิจ ปฏิบัติตามหน้าที่และความรับผิดชอบที่ระบุไว้ตามหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เพื่อรักษาพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมและปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกคนได้สามารถทำหน้าที่โดยชอบธรรมของตนได้

แฉประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องแหล่งหินเพื่ออุตสาหกรรมเป็นประกาศที่ทับซ้อนกับป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได

ขณะที่นางสาวจุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ ตัวแทนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ทางเครือข่ายเรายังพบอีกว่าประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องแหล่งหินเพื่ออุตสาหกรรมในอำเภอสุวรรณคูหา ซึ่งที่ตั้งบนภูเขาผาจันได และพื้นที่อื่น ๆ ในตำบลดงมะไฟกว่า 500 ไร่ เป็นประกาศที่ทับซ้อนกับป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของคนในชุมชนและยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิดที่ชาวบ้านในพื้นที่ได้ร่วมกันอนุรักษ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2536

เปิดข้อมูลการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายของของหน่วยงานรัฐ4องค์กรเอื้อการต่ออายุสัมปทานเหมืองโดยมิชอบให้กับบริษัทเอกชน

นางสาววิลัย  อนุเวช ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได กล่าวเพิ่มเติมในการเจรจาว่า ยังมีประเด็นที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรงของหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการอนุมัติ อนุญาต ในการทำเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หิน ไม่ว่าจะเป็นสภาองค์การบริหารส่วนตำบลดงมะไฟที่ได้มีการจัดประชุมเพื่อมีมติเห็นชอบต่ออายุใบอนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติของบริษัทเอกชนไปอีก 10 ปี เป็นการกระทำที่ขัดต่อ พรบ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 อย่างร้ายแรง นอกจากนี้การมีมติเห็นชอบดังกล่าวโดยไม่ได้มีการทำประชาคมหมู่บ้านรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จำนวน 6 หมู่บ้านก่อนการมีมติเห็นชอบนั้น ยังเป็นการกระทำที่ขัดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 ซึ่งการดำเนินโครงการใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นนั้น ๆ ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเสียก่อน

ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากการประชุมได้มีการจัดทำข้อมูลรายงานการประชุมที่เป็นข้อมูลเท็จบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หินไม่มีผลกระทบใด ๆ ไม่มีเรื่องร้องเรียนและไม่มีความขัดแย้งกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งส่วนทางกับข้อเท็จจริงในพื้นที่อย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 2 จังหวัดอุดรธานี และเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดหนองบัวลำภูยังละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายในการตรวจชอบการทำเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หินของบริษัทเอกชน

ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนกรณีพบว่า มีการทำเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หินตลอด 24 ชั่วโมง จนชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเดือนร้อนเสียหายจากเสียงรบกวน แรงสั่นสะเทือน ฝุ่นละออง และเศษหินกระเด็นลงสู่หลังคาบ้านเรือนและไร่นา ซึ่งจากการร้องเรียนของชาวบ้านทราบมาว่าได้มีเจ้าหน้าที่แอบอ้างลงมาตรวจสอบพื้นที่ และมีการจัดทำบันทึกถ้อยคำอันเป็นเท็จ ซึ่งเนื้อหาในบันทึกไม่สอดคล้องกับถ้อยคำที่ชาวบ้านในพื้นที่ให้การ โดยมีการบันทึกแก้ต่างให้บริษัทว่า ไม่มีความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง

“โดยการกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 คน ชุมชนมองว่าเป็นการขัดขวางชาวบ้านออกจากกระบวนการตรวจสอบการทำเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หินของบริษัท ธ.ศิลาสิทธิ จำกัด อย่างเห็นได้ชัด และบิดเบือนข้อเท็จจริงในการเอื้อผลประโยชน์ให้บริษัทอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรงเกินกว่าที่จะยอมรับได้” นางสาววิลัย  อนุเวช กล่าว

ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ในขณะที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดหนองบัวลำภู และนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 จังหวัดอุดรธานี ก็ได้มีการจัดทำรายงานผลการตรวจสอบสภาพป่าและทำความเห็นผลการตรวจสอบสภาพป่าที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง รายงานได้ระบุว่าพื้นที่นี้มีความเหมาะสมกับเหตุผลและความจำเป็นในการอนุญาตเพื่อการข้ออนุญาตในการเหมืองแร่  ในความเป็นจริงชาวบ้านได้ร้องเรียนคัดค้านการทำเหมืองแร่และโรงโม่หินมาโดยตลอด ด้วยเหตุผลทุกข้อที่กล่าวมานี้ วันนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกองค์กรที่อยู่ในห้องเจรจาในครั้งนี้จะต้องมีคำสั่งทันทีให้ยกเลิกประทานยกเลิกประทานบัตรการทำเหมืองแร่ และไม่ให้ต่ออายุประทานบัตรการทำเหมืองแร่ให้กับบริษัทเอกชนที่จะหมดอายุในวันที่ 24 ก.ย.นี้ รวมถึงให้มีการฟื้นฟูพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของบ้านที่ได้รับผลกระทบในทันทีด้วย

การเจรจาไม่เป็นผล ชาวบ้านเดินหน้าปิดทางเข้าเหมืองด้วยตนเองพร้อมมอบหินบางส่วนจากการระเบิดหินจนส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชาวบ้านให้เป็นของที่ระลึกแก่ผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตามภายหลังจากรับฟังเหตุผลของตัวแทนชาวบ้านแล้วนายเวียงชัย แก้วพินิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นประธานในการนำเจรจาในครั้งนี้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ  ได้พยามยกข้อกล่าวอ้างมาโต้แย้งกับตัวแทนชาวว่าไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องของชาวบ้านได้ จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ชาวบ้านนำเสนอตามขั้นตอนให้ละเอียดเสียก่อน ถึงจะมีคำสั่งใดๆออกไปได้ ซึ่งตัวแทนชาวบ้านได้แย้งกลับว่า หลายข้อเสนอที่กล่าวไปหลายหน่วยงานสามารถมีคำสั่งให้ปิดเหมืองในระหว่างที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ โดยเฉพาะหน่วยงานหลักอย่างอุตสาหกรรมจังหวัดที่สามารถใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 129  ระบุอำนาจให้หน่วยงานหลักอย่างกระทรวงอุตสาหกรรมสามารถระงับเพื่อตรวจสอบกิจการเหมืองแร่ได้หากมีการร้องเรียน

ตัวแทนของชาวบ้านยังได้ถามย้ำไปยังรองผู้ว่าราชการจังหวัดว่าข้อเรียกร้อง 3 ข้อของชาวบ้านคือ ปิดเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หิน ฟื้นฟูภูผาป่าไม้ และพัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมและแหล่งอารยธรรมโบราณคดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดจะดำเนินการให้เลยได้หรือไม่เพราะเป็นหน่วยงานจังหวัดที่มีอำนาจโดยตรงและความฉ้อฉลของการต่ออนุญาตให้ทำเหมืองก็มีออกมาอย่างชัดเจนแล้ว  ซึ่งนายเวียงชัยได้ตอบกลับชาวบ้านว่า ในเรื่องของประทานบัตรใบเดิมนั้นอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลตนไม่อาจก้าวล่วงและใช้มาเป็นประเด็นในการพิจาณาตามข้อเรียกร้องของชาวบ้านในครั้งนี้ได้ และคนที่จะมีอำนาจยกเลิกก็คือคนที่เป็นคนออกคำสั่งคือกระทรวงอุตสาหกรรม

ในขณะที่นายอุทัย สอนเทศ อุตสาหกรรมจังหวัดหนองบัวลำภูได้กล่าวชี้แจงในห้องประชุมว่า ถ้าเสนอให้ปิดเหมืองตนอาจจะไม่ผิด แต่อธิบดีอาจจะมีความผิดเพราะอาจจะโดนบริษัทเอกชนฟ้องได้ ถ้าจะเสนอให้ปิดก็ต้องตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนอีกครั้งเสียก่อน  ซึ่งตัวแทนชาวบ้านระบุว่าหากเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องดูแลเรื่องนี้โดยตรงตอบแบบนี้ก็ไม่เห็นทางที่จะเจรจากันไปต่อได้ พวกตนไม่เห็นประโยชน์ของการเจราครั้งนี้ เพราะครั้งนี้เราไม่ได้ขนมาเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านให้เห็นแต่เราได้นำทางออกมาเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาได้โดยตรง แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ดำเนินการอะไรเลย เราจึงขอยุติการเจรจาในครั้งนี้ และขอพึ่งตนเองด้วยการไปปิดเหมืองด้วยสองมือสองเท้าของพวกเราเอง

หลังจากนั้นตัวแทนชาวบ้านที่ร่วมเจรจากับหน่วยงานของรัฐได้เดินลงไปสมทบกับชาวบ้านที่รอฟังคำตอบอยู่ด้านหน้าศาลากลางจังหวัด พร้อมทั้งสรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับชาวบ้านฟัง ซึ่งชาวบ้านไม่พอใจต่อท่าทีที่ปัดความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐทั้งๆที่แก้ปัญหาที่ชาวบ้านประสบมา 26 ปี และพร้อมใจกันเดินทางไปปิดทางเข้าเหมือง จนกว่าหน่วยงานรัฐจะดำเนินการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ก่อนเดินทางกลับไปปิดทางเข้าเหมืองชาวบ้านได้ร่วมกันตะโกนข้อเรียกร้อง 3 ข้อเรียกร้องของเครือข่าย คือ  ปิดเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หิน  ฟื้นฟูภูผาป่าไม้ และพัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมและแหล่งอารยธรรมโบราณคดี นอกจากนี้ชาวบ้านยังได้เตรียมเศษหินจากการระเบิดเหมืองที่กระเด็นลงสู่บ้านและที่นาของชาวบ้านมาเป็นของฝากให้กับรูปผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภูที่ไม่เคยมาตามนัดของชาวบ้านเลยสักครั้งและส่งตัวแทนมาทุกครั้งแล้วยังนำหินจากโรงโม่ไว้หน้ารูปรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องโรงโม่หินโดยตรง รวมทั้งหน้ารูปของนายวิษณุ ทับเที่ยงอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ซึ่งเป็นผู้เซ็นอนุมัติให้ต่ออายุประทานบัตร รูปพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยงานอีกด้วย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท