'ปิยบุตร' อธิบายต่อ ปม 'ตั๋วช้าง' ชี้ ตร.-ปชช.ล้วนเป็นเหยื่ออธรมของโครงสร้างอยุติธรรม ชวนร่วมสู้เคียงข้างกัน

'ปิยบุตร' ย่อสรุป 'โรม' อภิปรายกรณี 'ตั๋วช้าง' ชี้ ตร.-ปชช.ล้วนเป็นเหยื่ออธรมของโครงสร้างอยุติธรรม ชวนร่วมสู้เคียงข้างกัน

  • แนะ ตร.ถูกแซงคิวไม่เป็นธรรม ใช้ “ตั๋วตำรวจ” เป็นหลักฐานประกอบฟ้องศาลปกครองได้
  • ชวนคิดกรณี “ตั๋วช้าง” ฉงนใจ ทำไมต้องไปขอพระปรมาภิไธย ทั้งที่ ผบ.ตร.ก็มีอำนาจ
  • ชี้ กรณี 97 นาย ตร.ถูกดองเหตุไม่ย้ายไป “904” เป็นเรื่องน่าเศร้า - แนะเปิดเรื่องสู่สาธารณะ-ใช้ช่อง กม.-สภาฯ เดินเรื่องทวงคืนความเป็นธรรม
  • จี้ “กูรู” ปฏิรูปตำรวจขยายต่อ งงใจหลายคนปิดปากเงียบ หรือมีเพดานการปฏิรูปไม่สุดทาง
  • ย้ำ ตร.-ปชช. ล้วนเป็นเหยื่ออธรรมโครงสร้างกดขี่ - แนะ ไม่เลิกเดินตามนายมาอยู่ข้าง ปชช.ก็ต้องถูกกดขี่ต่อไป

 

19  ก.พ.2564 ทีมสื่อคณะก้าวหน้า รายงานว่า ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า จัดไลฟ์เฟซบุคบนช่องทางเพจ คณะก้าวหน้า - Progressive Movement เกี่ยวกับกรณีที่ รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจนอกห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในกรณี “ตั๋วช้าง” หรือกรณีนายตำรวจผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจพร้อมกับดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งการธำรงวินัยผู้ที่ปฏิเสธคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย

ปิยบุตร ได้สรุปถึงสิ่งที่รังสิมันต์ได้อภิปรายมาทั้งหมดทั้ง 4 กรณี ไม่ว่าจะเป็น 1) การแต่งตั้ง พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล และการแต่งตั้ง พล.ต.ต.จักรภพ ภูริเดช โดยยกเว้นหลักเกณฑ์แต่งตั้งในเรื่องของความอาวุโสและระบบคุณธรรม (merit system) ส่งผลให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้ามหัวตำรวจคนอื่นๆ ติดต่อกันต่อเนื่องหลายปี 2) กรณีบันทึกข้อความจากส่วนราชการ ลงนามโดยตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาในแวดวงตำรวจ และส่งเวียนไปส่วนราชการต่างๆในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอรับการสนุบสนุนให้นายตำรวจเป็นกรณีๆ ไปดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือที่เรารู้กันในแวดวงตำรวจว่า “ตั๋วตำรวจ” โดยเฉพาะในกรณีที่ออกโดย พล.ต.ท.ต่อศักดิ์, พล.ต.ต.จิรภพ, และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)

3) กรณีหนังสือลงนามโดย พล.อ.อ.สถิตพงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการ ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คัดเลือกข้าราชการไปรับการบรรจุในกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภ รักษาพระองค์ (904) ให้ย้ายออกมาเป็นข้าราชบริพาร รวมทั้งกรณีการธำรงวินัยตำรวจ 97 นาย ที่ไม่ยินยอมรับการแต่งตั้งโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งข้าราชบริพาร

และ 4) กรณีหนังสือบันทึกข้อความจากสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ 904 เรื่อง ขอรับพระมหากรุณาธิคุณ แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงนามกำกับโดย พล.อ.อ.สถิตพงษ์, พล.อ.หญิง สุดทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา, และลายเซ็นที่วงเล็บไว้ว่า (๙๐๔) โดยบันทึกข้อความนี้เป็นที่รู้จักกันในเวดวงตำรวจว่าเป็น “ตั๋วช้าง”

ปิยบุตรกล่าวต่อไป ว่าทั้ง 4 ประเด็นมีประเด็นที่ต้องขบติดกันต่อในทางกฎหมาย ผลทางกฎหมาย และสถานะทางกฎหมายของหนังสือต่างๆ เหล่านี้

แนะ ตร.ถูกแซงคิวไม่เป็นธรรม ใช้ “ตั๋วตำรวจ” เป็นหลักฐานประกอบฟ้องศาลปกครองได้

ประการแรก ในเรื่องของสถานะทางกฎหมาย ใครก็ตามที่เรียนกฎหมายมหาชนและกฎหมายปกครองมา จะมีสิ่งที่เรียกว่าการกระทำทางปกครอง ซึ่งก็คือการกระทำต่างๆ ที่องค์กรหรือเจ้าหน้าที่ทั้งหลายออกประกาศคำสั่งต่างๆออกมา ทั้งหมดจะส่งผลในทางกฎหมาย เรียกรวมๆว่า “การกระทำของฝ่ายปกครอง”

หลายกรณีเป็นกฎระเบียบที่ออกมาใช้กับบุคคลทั่วไป บุคคลภายนอก หรือใช้ในส่วนราชการภายใน บางครั้งเป็นคำสั่งที่ใช้ในเฉพาะเรื่อง เฉพาะกรณีไป แต่ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เราล้วนเรียกว่าการกระทำขององค์กรเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง

ที่ต้องคิดกันต่อจากกรณีนี้ คือบันทึกข้อควาที่เราเรียกกันว่า “ตั๋วตำรวจ” เหล่านี้มีสถานะทางกฎหมายอย่างไร? คำตอบก็คือบรรดาบันทึกข้อความเหล่านี้ ไม่ใช่การกระทำที่ส่งผลในทางกฎหมาย เป็นเพียงบันทึกข้อความที่ส่งจากส่วนราชการหนึ่งไปส่วนราชการหนึ่ง ในฐานะเครื่องมือการทำงานของส่วนราชการภายใน ทำให้ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย

สิ่งที่น่าสนใจ คือบันทึกข้อความเหล่านี้แม้ไม่ส่งผลทางกฎหมาย ขอเพิกถอนคำสั่งกับศาลปกครองไม่ได้ แต่บรรดา “ตั๋ว” แบบนี้สามารถเป็นเอกสารพยานหลักฐานที่นำไปประกอบการพิจารณา ว่าการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และกฎหมายที่กำหนดเอาไว้ เช่น คดีที่ข้าราชการฟ้องไปทางศาลปกครอง กรณีถูกลงโทษทางวินัยไม่เป็นธรรม การแต่งตั้งโยกย้าย ที่ตลอดเวลาก็มีการฟ้องกันเต็มไปหมด เพื่อให้ศาลวินิจฉัยเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย

ดังนั้น บรรดาข้าราชการตำรวจทั้งหลายที่อาจได้รับผลกระทบจากตั๋วตำรวจเหล่านี้ จึงมีช่องทางในการฟ้องคดี ว่าตั๋วตำรวจเหล่านี้ในท้ายที่สุด ส่งผลให้ตำรวจคนหนึ่งแซงคิวไปดำรงตำแหน่งที่สูงกว่า จนผิดกับหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้าย ตำรวจที่เสียหายก็อาจจะนำบันทึกข้อความและตั๋วเหล่านี้ไปเป็นพยานหลักฐานได้ ว่าถูกเลือกปฏิบัติจากผู้บังคับบัญชา

“การอภิปรายของคุณรังสิมันต์ โรม เนี่ย มีการขึ้นชื่อตำรวจหลายคนที่ถูกคุณต่อศักดิ์ สุขวิมล แซงคิว เขามีการอภิปรายว่ามีตำรวจจำนวนมากที่ถูกคุณจิรภพ ภูริเดช แซงคิว ตำรวจดหล่านี้ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรม ท่านไปฟ้องศาลปกครอง แล้วเอาตั๋วพวกนี้ไปเป็นหลักฐาน เช่นกันครับ มีอีกหลายคนถูกข้ามหัวกันเต็มไปหมด ตั้งแต่ระดับนายพัน นายพล นายร้อยยังมีเลยครับ ลองเอาเอกสารเหล่านี้ไปใช้ประกอบเป็นพยานหลักฐาน ว่านี่เป็นการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม” ปิยบุตรกล่าว

ชวนคิดกรณี “ตั๋วช้าง” ฉงนใจ ทำไมต้องไปขอพระปรมาภิไธย ทั้งที่ ผบ.ตร.ก็มีอำนาจ

ปิยบุตรยังกล่าวต่อไป ถึงกรณีที่นายรังสิมันต์อภิปรายเรื่อง “ตั๋วช้าง” โดยระบุว่าปัญหาคือบันทึกข้อความจากส่วนราชการราชเลขานุการในพระองค์ (904) ดังกล่าวนี้ ถ้าลองไล่อ่านดูเอกสารทั้งหมดดู สามรถสรุปใจความสำคัญได้ว่า ผบ.ตร.ในขณะนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ได้ทำเรื่องขึ้นมาขอรับ “ขอรับพระมหากรุณาธิคุณ แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ” 16 ราย และขอรับ “พระมหากรุณาธิคุณ ให้ดำรงตำแหน่งใหม่” อีก 4 ราย

หากไปตรวจสอบดูย้อนหลัง จะพบได้ว่าทั้ง 20 รายที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ขอมา ได้ตามที่ขอทุกคน ทุกวันนี้หลายคนขึ้นตำแหน่งสูงกว่าเดิมแล้วด้วย เพราะฉะนั้นบันทึกข้อความนี้จึงเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นที่เรียบร้อย

สิ่งที่ตนสงสัย คือเหตุใดต้องมีเอกสารบันทึกข้อความเช่นนี้ บักทึกข้อความนี้ช่วยอะไรในการแต่งตั้งโยกย้าย ทั้งๆที่ผู้บังคับบัญชา อย่าง ผบ.ตร.เองมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายอยู่แล้ว แล้วจะต้องไปขอพระราชทานทำไม? นี่คือสิ่งที่น่าฉงนใจมาก ในเมื่อ ผบ.ตร.รวมทั้งผู้บังคับบัญชาในลำดับรองลงมามีอำนาจตามกฎหมายในการแต่งตั้งโยกย้ายอยู่แล้ว สั่งการลงมาได้เลยในระบบกฎหมายที่ถูกต้อง แล้วจะไปขอให้ พล.อ.อ.สถิตพงทำหนังสือบันทึกข้อความออกมาทำไม

“คนก็ต้องคิดต่อ ว่าแล้วระบบการบริหารราชการแผ่นดินประเทศนี้จะเอาอย่างไร? ระบบการแต่งตั้งโยกย้ายประเทศนี้จะเอาอย่างไร? ทุกส่วนราชการเป็นแบบนี้หมดหรือเปล่า หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เดียว? กองทัพเป็นไหม? กระทรวงมหาดไทยเป็นไหม? กรมราชทัณฑ์เป็นไหม? คนก็ต้องถามต่อว่าไอ้ส่วนราชการอื่นๆมันมีบันทึกข้อความแบบนี้หรือเปล่า? ทั้งๆที่ผู้บังคับบัญชา คุณก็มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายอยู่แล้ว แล้วไปทำหนังสือนี้ให้ท่านสถิตพงษ์ลงนามทำไม? ดังนั้นก็เลยงง ว่าระบบบริหารราชการแผ่นดิน ใครเป็นผู้บังคับบัญชากันแน่? แล้วผลที่มันเลวร้ายต่อเนื่องไปกว่านั้น ก็คือว่านี่คือการขอพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อใช้ปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เพื่อสนับสนุนในการแต่งตั้งโยกย้ายหรือไม่ อย่างไร?” ปิยบุตรกล่าว

ชี้ กรณี 97 นาย ตร.ถูกดองเหตุไม่ย้ายไป “904” เป็นเรื่องน่าเศร้า - แนะเปิดเรื่องสู่สาธารณะ-ใช้ช่อง กม.-สภาฯ เดินเรื่องทวงคืนความเป็นธรรม

ปิยบุตรกล่าวต่อไป ถึงกรณีของนายตำรวจที่ไม่ยอมย้ายไปรับการบรรจุ ในกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภ รักษาพระองค์ (904) โดยระบุว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากที่สุดสำหรัการอภิปรายวันนี้ โดยเฉพาะเมื่อได้อ่านดูหนังสือที่ออกมาโดย “กลุ่มผู้เข้ารับกาธำรงวินัยหนองสาหร่าย” เรื่อง “ขอความเมตตา” หลังจากที่ไปธำรงวินัย ฝึกหลักสูตรพิเศษต่างๆจนครบมาแล้ว

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดอยู่ในหน้าที่ 3 คือการขอความเมตตา 3 เรื่อง ได้แก่ 1) ขอให้บำรุงขวัญกำลังใจ ให้สามารถเลื่อนขั้นเงินเดือนตามความเป็นจริงแต่ละปีงบประมาณ หากประพฤติปฏิบัติดีมีผลงานควรส่งเสริม หากประพฤติชั่วให้ลงโทษตามระเบียบรายบุคคล 2) ขอให้ได้โอกาสนำความรู้ความสามารถไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ให้คุ้มค่ากับงบประมาณที่ได้สูญเสียไป และ 3) หากมีคำสั่งห้ามมิให้ไปดำรงตำแหน่งอื่นหรือเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น จะนับเป็นความไม่เป็นธรรม

เนื้อหาใจความ ก็คือนายตำรวจกลุ่มนี้ ถูกธำรงวินัยไป 9 เดือน ผ่านหลักสูตรมาแล้ว แต่กลับมาไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนตามความเป็นจริงในแต่ละปี ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นตามระเบียบปกติ หรือก็คือการถูก “ดอง” เอาไว้ในตำแหน่งและเงินเดือนเดิมนั่นเอง จึงมาร้องขอความเมตตาจากผู้บังคับบัญชา

ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก ตนคิดว่าตำรวจทั้ง 97 นายไม่ต้องไปขอความเมตตาอีกต่อไปแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชาเมตตากับท่านจริง จะไม่เซ็นหนังสือส่งท่านไปธำรงวินัย 9 เดือน แต่จะต้องแอ่นอกออกมาปกป้องท่าน ต้องหาวิธีการช่วยเหลือท่าน มิใช่ให้พวกท่านไปธำรงวินัย 9 เดือน ถ้าเขาจะเมตตากับท่านจริงเขาไม่ดองท่านไว้แบบนี้

“ผู้บังคับบัญชาของพวกท่านเขาจะใจไม้ใส้ระกำหรือไม่ผมไม่อาจจะทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ไม่มีความกล้าหาญที่จะปกป้องพวกท่านแน่ๆ ถ้าเขากล้าหาญได้เพียงสักครึ่งหนึ่งของพวกท่าน เขาต้องทำได้ดีกว่านี้ เขาต้องปกป้องพวกท่านได้ดีกว่านี้” ปิยบุตรกล่าว

ปิยบุตรยังกล่าวต่อไป ว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ที่คนตั้งใจเป็นตำรวจสุดท้ายกลับมาถูกปฏิบัติแบบนี้เพียงเพราะว่าไม่อยากออกจากอาชีพข้าราชการตำรวจ เรื่องนี้ตนคิดว่ากลไกลในทางกฎหมายช่วยท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกรรมาธิการกฎหมาย-กรรมาธิการตำรวจของสภาผู้แทนราษฎร ที่ท่านสามารถร้องเรียนไปที่กรรมาธิการเหล่านี้ได้ แม้จะไม่มีอำนาจแม้จะทำได้เพียงรายงาน แต่ก็สามารถเรียกผู้บังคับบัญชาของท่านมาสอบข้อเท็จจริง อย่างน้อยเอาเข้าสู่ระบบกฎหมาย

นอกจากนี้ ท่านยังสามารถใช้กลไกในหน่วยงานได้ เช่นกรรมการตำรวจ (กตร.) ซึ่งถ้าผู้บังคับบัญชาของท่านปฏิเสธไม่ยอมดำเนินการอีก ท่านก็สามารถนำเรื่องไปฟ้องศาลปกครองได้ว่าถูกกระทำอย่างไร ศาลปกครองเป็นศาลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ถูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ข่มเหงรังแกเช่นนี้อยู่แล้ว

เพราะถ้าเรื่องนี้ไม่ปรากฏออกสู่สาธารณะ ท่านก็จะได้แต่นั่งเศร้าใจ ประชาชนจะไม่รู้ว่าท่านถูกกระทำอะไร ดังนั้น ตนจึงขอเรียกร้องให้ท่านออกมาส่งเสียง มาเล่าให้ประชาชนให้สื่อมวลชนฟัง ร้องเรียนไปยังช่องทางตามกฎหมายต่างๆ

ถ้าท่านเงียบแบบนี้ ทำหนังสือขอความเมตตาอีกร้อยพันครั้งก็ไม่ได้รับความเมตตา ท่านต้องออกมาส่งเสียงให้ประชาชนฟัง ถ้าท่านยอมอยู่แบบนี้ต่อไป นายตำรวจรุ่นต่อๆไปก็มีโอกาสที่จะโดนเหมือนท่าน และประชาชนคนไทยก็มีโอกาสที่จะโดนเหมือนพวกท่านได้ด้วยเช่นกัน

จี้ “กูรู” ปฏิรูปตำรวจขยายต่อ งงใจหลายคนปิดปากเงียบ หรือมีเพดานการปฏิรูปไม่สุดทาง

ปิยบุตรกล่าวต่อไป ว่าที่ผ่านมาตนตนได้รับฟังเสียงเรียกร้องจากประชาชนจำนวนมากให้มีการปฏิรูปตำรวจ ได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน เราพูดกันมาตลอดเวลา การชุมนุมของ กปปส.ก็พูดถึงเรื่องนี้ และนำมาซึ่งการรัฐประหาร 2557 ที่มาพร้อมกับแผนยุทธศาสตร์ชาติในการปฏิรูปตำรวจ ส.ว.หลายคนพูดเรื่องปฏิรูปตำรวจตลอดเวลา ส.ส.หลายคนก็สนใจเรื่องตำรวจ สื่อมวลชนหลายสำนักก็เรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจ

ณ เวลานี้ ประเด็นสำคัญของการปฏิรูปตำรวจมาอยู่ต่อหน้าทุกคนที่ตนว่ามาข้างต้นแล้ว ถ้าท่านยังจงใจละเว้น ไม่พูดถึงกรณีตั๋วตำรวจ, ตั๋วช้าง, กรณี 97 นายตำรวจ ท่านพูดไม่ได้หรอกว่าต้องการปฏิรูปตำรวจ ประเด็นสำคัญของการปฏิรูปตำรวจ อุปสรรคของการปฏิรูปตำรวจ มากองอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว

“คุณรังสิมันต์ โรม วันนี้เสียสละเอาตัวเข้าไปเสี่ยง ที่จะอภิปรายเรื่องนี้ในสภา ก็ถูกคนขัดขวาง แล้วมันก็น่าเศร้าที่ ส.ส.ที่ประท้วงบ่อยๆเป็นคนพูดเรื่องตำรวจบ่อยๆด้วย เขาเสียสละ เอาตัวเข้าไปเสี่ยงที่จะอภิปรายเรื่องนี้ต่อสาธารณะ พี่น้องตำรวจจะไม่สนับสนุนเขาหรือ? พี่น้อง เพื่อน ส.ส.และ ส.ว.ที่สนใจเรื่องการปฏิรูปตำรวจจะไม่สนับสนุนนายเขาหรือ? สื่อมวลชนที่พูดทุกวันว่าต้องปฏิรูปตำรวจจะไม่สนับสนุนรังสิมันต์ โรม หรือ? จะไม่สนับสนุนเรื่อง ที่เขาเอาออกมาเปิดเผย จะไม่สืบค้นต่อไปหรือว่าอะไรมันเป็นอะไร? จะเงียบอยู่เฉยๆหรือ? หรือคำว่า ‘ปฏิรูตำรวจ ‘ของพวกท่านมีเพดานจำกัด?” ปิยบุตร กล่าว

ย้ำ ตร.-ปชช. ล้วนเป็นเหยื่ออธรรมโครงสร้างกดขี่ - แนะ ไม่เลิกเดินตามนายมาอยู่ข้าง ปชช.ก็ต้องถูกกดขี่ต่อไป

สุดท้าย ปิยบุตรได้กล่าวฝากข้อคิดไปยังตำรวจทุกคนในประเทศนี้ ว่าพี่น้องตำรวจหลายคน ท่านตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ตั้งใจรับราชการ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความต้องการเป็นตำรวจที่ดี เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลทุกข์สุขประชาชน หวังว่าจะได้รับความเจริญก้าวหน้าทางอาชีพตามระบบคุณธรรม ไม่ใช่ถูกตำรวจที่เป็นลูกท่านหลานเธอแซงคิว

เมื่อรับราชการไปเรื่อยๆ ระบบแบบนี้ก็ได้มาบีบให้พวกท่านวิ่งเต้น หาซื้อตั๋วตำรวจให้ได้รับการสนับสนุนแต่งตั้งโยกย้าย สุดท้ายก็ถูกบีบบังคับให้ต้องไปทุจริต เพื่อเอาเงินมาหาทางได้ตั๋วกับเขาบ้าง วันดีคืนดีฉุกคิดขึ้นได้ ตัดสินใจเลิกรับใช้ประชาชนหันมารับใช้นายแทน

วันดีคืนดีนายสั่งให้ท่านมาควบคุมฝูงชน มาปราบปรามผู้ชุมนุม นอนกลางดินกินกลางทราย ทิ้งงานในท้องที่มาอยู่ที่กรุงเทพ แล้ววันดีคืนดีก็เอาพวกท่านย้ายไปสู่ส่วนราชการอื่น ไม่ไปก็ถูกธำรงวินัย กลับมาก็ถูกดองเค็มไว้อีก

พี่น้องตำรวจทุกคนรับรู้ดีถึงความอยุติธรรมที่ตัวเองต้องเผชิญอยู่ ท่านเป็นหนึ่งในผู้ถูกกระทำ ท่านไม่ต่างอะไรกับประชาชนเราที่ถูกโครงสร้างกระทำ ท่านเป็นตำรวจแต่ท่านก็เป็นประชาชน ที่ถูกกระทำย่ำยีจากระบบโครงสร้างที่อยุติธรรมแบบนี้มาตลอด

“ท่านกลัวเขาเพราะคิดว่าเขามีอำนาจ แต่อำนาจมันเป็นภาพลวงตา มันเป็นสิ่งสมมุติ อำนาจบางทีมันก็เหมือนกับเงาที่ฉายแสงไป ทำให้คนตัวใหญ่กว่าความเป็นจริง ท่านคิดอยู่เสมอว่าผู้อยู่เหนือท่านนั้นเขามีอำนาจ ท่านไม่กล้าสู้เขา ท่านไม่กล้ากระทำอะไรต่อเขา ท่านต้องงยอม ยอมทุกอย่าง ยอมอยู่กันไปแบบนี้ เพราะท่านกลัวเขา แต่ถ้าท่านวันนี้ตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นมา แล้วลองมองใหม่ อำนาจจริงๆอยู่ที่ประชาชน อยู่ที่เยาวชนอนาคตของชาติที่เขาออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ประเทศนี้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ออกมายืนอยู่กับเขา แล้วท่านจะรู้ว่าคนที่ตัวใหญ่จริงๆคือประชาชน และประชาชนต้องการตำรวจน้ำดีแบบพวกท่าน ออกมายืนอยู่เคียงข้างกัน หยุดได้แล้วครับ พอกันที ท่านต้องร่วมกันออกมายุติระบบปรสิตที่กัดกินชีวิตจิตใจของพี่น้องพลเมืองชาวไทยมาต่อเนื่องหลายสิบปี ออกมายืนอยู่ข้างประชาชนครับ แล้วมาร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วยกัน อนาคตของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่านี้ ตำรวจและประชาชนร่วมมือกัน เปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปด้วยกันได้” ปิยบุตรกล่าวทิ้งท้าย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท