Skip to main content
sharethis

"ช่อ พรรณิการ์" เผยหลังมีชื่อติดใน Watchlist ของ ตม.ว่าปกติก็ถูกเจ้าหน้าที่ตามอยู่แล้วและเพิ่งถูกติด GPS ที่รถด้วย ทั้งนี้ไม่ได้กังวลอะไรแต่มองว่าการที่รัฐบาลทำเรื่องแบบนี้ก็แสดงว่ารัฐบาลกลัวประชาชนของตัวเอง รัฐบาลที่กลัวประชาชนของตัวเองก็เป็นรัฐบาลที่ไม่มีอนาคตอยู่แล้ว ส่วนทางด้านเลขาฯ พรรคก้าวไกลเผยว่าอาจมีการฟ้องคดี ม.157 ต่อกรณี Watchlist

10 ส.ค.2564 พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ของเธอด้วยว่า ประเด็นเรื่องรู้ตัวเรื่องถูกติดตามมาก่อนแล้ว เนื่องจากเมื่อหลายเดือนก่อนได้นำรถไปซ่อมแล้วช่างซ่อมพบอุปกรณ์ติดตามตัวแบบ GPS ติดอยู่ที่ใต้ท้องรถ โดยในอุปกรณ์ดังกล่าวใส่ซิมโทรศัพท์ที่ยังใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน

อุปกรณ์ส่งสัญญาณ GPS ที่พบอยู่ใต้ท้องรถของพรรณิการ์ วานิช ภาพจากทวิตเตอร์ Pannika Wanich 

ประชาไทสัมภาษณ์พรรณิการ์เพิ่มเติมทราบว่าเหตุการณ์ที่เอารถไปซ่อมแล้วพบเครื่องติดตามตัวนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน และเธอยังบอกอีกว่าการถูกเจ้าหน้าที่ติดตามถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วโดยเฉพาะเวลาไปต่างจังหวัด แต่เวลาอยู่ในกรุงเทพฯ ก็จะไม่ค่อยมียกเว้นไปที่ชุมนุมก็จะมีนอกเครื่องแบบตามอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติชีวิต

“ไปต่างจังหวัดก็จะชัดเจน ตำรวจที่ตามก็จะไม่ค่อยปิดบังขับรถตามเลยแล้วก็ส่งต่อเป็นทอดแต่ละพื้นที่ พอส่งเสร็จรถคันนี้ก็จะวนกลับ แล้วก็จะมีอีกสองคันมารอรับเป็นทอดๆ บางทีก็เข้าไปคุยกันตรงๆ ด้วยซ้ำเวลามีงานที่เป็นงานเสวนาเป็นกิจกรรมก็จะมีเจ้าหน้าที่มานั่งฟังเราก็จะเห็นแหละเขาก็ไม่ปิดบังอะไร”

“แต่กรณีเครื่องติดตามมันเป็นเรื่องใหม่เพราะว่าเวลาไปต่างจังหวัดก็จะเห็นเป็นคนตาม แต่ว่าพอเจอไอ้เครี่องนี้ก็เลยรู้ว่าเวลาอยู่กรุงเทพที่จะไม่ค่อยเห็นตัวก็จะตามผ่านเครื่อง แล้วก็เพิ่งทราบจากที่คุยกับผู้เชี่ยวชาญเครื่องนี้ก็คืออัดเสียงได้ด้วยติดตามตำแหน่งด้วย”

พรรณิการ์กล่าวต่อว่าหลังจากพบอุปกรณ์ดังกล่าวแล้วก็มีการคุยกันว่าจะดำเนินการต่ออย่างไรบ้างกับคนในคณะก้าวหน้า ก็มีทั้งแนะนำให้ดำเนินการให้ถึงที่สุดแต่ทางฝ่ายกฎหมายก็บอกว่าการเอาผิดทางกฎหมายเรื่องนี้เป็นเพียงความผิดลหุโทษเท่านั้นคือเป็นข้อหาก่อความเดือดร้อนรำคาญ ไม่มีข้อหาละเมิดว่าดักฟังหรือติดตามตัว แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าถูกเอาเครื่องมาติดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่จะตรวจสอบกล้องวงจรปิดก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หรือถ้าจะติดตามจากซิมการ์ดก็อาจจะเช็คชื่อเจ้าของซิมการ์ดได้แต่คนที่ทำอะไรแบบนี้ก็คงไม่เอาชื่อตัวเองมาลงทะเบียนซิมหรือบางทีอาจจะมีการลงทะเบียนมาแล้วจากผู้จำหน่ายอุปกรณ์ เธอคิดว่าคงเป็นการเสียเวลาถ้าจะไปดำเนินคดี

“แต่พอมีเรื่อง Watchlist ขึ้นมาก็เลยยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่าการติดตามแบบนี้มันมีจริง” พรรณิการ์บอกถึงเหตุผลที่เปิดเผยเรื่องนี้และกล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้ยังไม่พบว่ามีคนอื่นในคณะก้าวหน้าถูกติดเครื่องส่งสัญญาณแบบนี้อีก แต่การถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบติดตามตัวก็เป็นเรื่องปกติประจำอยู่แล้วอย่างเช่น ปิยบุตร แสงกนกกุลก็โดนหนักสุดคือมีการไปเฝ้าหน้าหมู่บ้านประจำเลย หรือกรณีของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและรังสิมันต์ โรมที่โดนคล้ายๆ กันคือมีตำรวจไปถึงที่บ้านโดยที่ไม่จำเป็นคือไปถามหาคนในบ้านบอกว่ามีเอกสารมาให้ทั้งที่ตำรวจก็ไม่ต้องมาส่งเองก็ได้ แล้วก็ถ้ามีการเดินทางไปต่างจังหวัดก็มีเจ้าหน้าที่ตามทุกคน ถูกตามบ่อยจนรู้ว่าใครบ้างเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ

“ทำงานการเมืองโดยเฉพาะตอนที่เริ่มตั้งพรรคอนาคตใหม่ เราเปิดหน้าตรงๆ ว่าเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ คสช. ทุกคนที่ตัดสินใจมาทำก็ทราบอยู่แล้วว่าต้องเจอกับเรื่องอะไรเราก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่จะคิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องสวยงามไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร ถามว่ากังวลไหมก็ไม่ได้กังวลอะไร ติดตามแล้วยังไงเราไมได้ไปก่ออาชญากรรมอะไร ช่อก็อยู่บ้านมาออฟฟิศไปทำกิจกรรมตามที่ต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นความลับคอขาดบาดตายอะไรอยู่แล้ว”

“แน่นอนว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคลมั้ย มันก็ละเมิดแน่ แต่สิ่งที่เราทำได้มากที่สุดก็คือทำให้เห็นว่าเราไม่แคร์ การที่รัฐบาลทำเรื่องแบบนี้ก็แสดงว่ารัฐบาลกลัวประชาชนของตัวเอง รัฐบาลที่กลัวประชาชนของตัวเองก็เป็นรัฐบาลที่ไม่มีอนาคตอยู่แล้ว” พรรณิการ์กล่าวทิ้งท้าย

โตโต้พบอุปกรณ์ดักฟัง-ติดตามตัวใต้ท้องรถ เตือนนักกิจกรรมเพิ่มความระมัดระวัง

ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบย้อนกลับไป พบว่าอุปกรณ์ลักษณะดังกล่าวเคยถูกใช้กับรถของปิยรัฐ จงเทพมาก่อนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ด้วย หลังจากเขาได้นำรถเข้าตรวจซ่อมบำรุงตามระยะทางที่ศูนย์บริการ ก่อนช่างจะแจ้งว่าพบอุปกรณ์กล่องพลาสติกสีดำขนาดประมาณ 10x5x4 เซนติเมตร ติดแม่เหล็กและพันเทปไว้บริเวณล้อหลัง เหนือคัสซี (chassis) ของรถยนต์ คาดว่าอยู่ในสภาพใช้งานได้ และพบซิมโทรศัพท์อยู่ในอุปกรณ์ดังกล่าวด้วย

จากการสืบค้นพบว่าเป็นอุปกรณ์ที่ชื่อ GPS tracker Fashion มีฟังก์ชันติดตามตำแหน่งตามเวลาจริงออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านแอปพลิเคชัน ดูประวัติเส้นทางย้อนหลังได้ 60 วัน และสามารถดักฟังได้

คลิปวิดีโอบรรยายฟังก์ชั่นของอุปกรณ์ส่งสัญญาณ GPS จากร้านอุปกรณืติดรถยนต์ Navamin Shop

เอกสาร “ลับที่สุด” หลุดนักกิจกรรม นักการเมือง ทนายสิทธิ 183 รายถูก ตม.จับตาเข้าออกประเทศ

เลขาฯ ก้าวไกลชี้ รัฐมองประชาชนเป็นศัตรู ย้อน ‘ประยุทธ์ - ประวิตร’ ต่างหากที่เป็นภัยความมั่นคง

10 ส.ค.2564 ทีมสื่อพรรคก้าวไกลรายงานว่า ที่ห้องแถลงข่าวพรรคก้าวไกล อาคารอนาคตใหม่ ชัยธวัช​ ตุลาธน​ เลขาธิการพรรคก้าวไกล​ แถลงความเห็นต่อกรณี เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 มีเอกสาร ‘บัญชีความมั่นคง’ ถูกเผยแพร่ทาง social media โดยในเอกสารดังกล่าวปรากฏรายชื่อผู้ที่ถูกขึ้นบัญชี watchlist หรือให้ ‘จับตา’ จำนวน 183 คน รวมถึงบัญชี social media อีก 19 ราย บันทึกล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 โดยสารวัตรกองกำกับการสืบสวนปราบปรามกองบัญชาการตรวจคนเข้าเมือง 2 และประทับตราว่าเป็นเอกสาร ‘ลับที่สุด’ พรรคก้าวไกลได้ตรวจสอบและพิจารณาเอกสาร watchlist ดังกล่าวแล้วมีความเห็นและข้อสังเกตดังต่อไปนี้

หนึ่ง รายชื่อบุคคลที่ถูกจับตาในบัญชีความมั่นคงนี้ ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยประชาชนและนักกิจกรรมที่ออกมาแสดงออกทางการเมืองวิพากษ์วิจารณ์และขับไล่รัฐบาล รวมทั้งบุคคลที่ออกมาเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่อายุไม่เกิน 30 ปี และมีเยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปี อย่างน้อย 2 ราย นอกจากนี้ยังมี สื่อมวลชน ศิลปิน เอ็นจีโอ นักกฎหมาย และนักสิทธิมนุษยชนหลายราย เช่น ประวิตร โรจนพฤกษ์ สื่อมวลชน ,ปรัชญา สุรกำจรโรจน์ และ ทักษกร มุสิกรักษ์ จากวง RAD, บารมี ชัยรัตน์ จากสมัชชาคนจน, เยาวลักษ์ อนุพันธุ์ และ ภาวินี ชุมศรี จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ และ ณัชปกร นามเมือง จาก iLaw

สอง ในบัญชีความมั่นคงนี้ ยังมีนักการเมืองอีก 8 คน ซึ่ง 7 คนอยู่ในพรรคก้าวไกลและอดีตพรรคอนาคตใหม่ ได้แก่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค, อมรัตน์ โชคปมิตกุล กรรมการบริหารพรรค, รังสิมันต์ โรม รองเลขาธิการพรรค , ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล, และพรรณิการ์ วานิช ซึ่งปัจจุบันคือแกนนำคณะก้าวหน้า

“พรรคก้าวไกลพิจารณาลักษณะของเอกสารดังกล่าวแล้วเห็นว่า บัญชีความมั่นคงนี้น่าจะเป็นเอกสารจริง ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับพวกเราในช่วงที่ผ่านมา เช่น กรณีของ อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งเพิ่งเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเยี่ยมภรรยา เมื่อไปที่เคาน์เตอร์ออกตั๋วที่สนามบินก็เกิดปัญหาไม่สามารถเช็คอินน์ได้ในทันที จนต้องประสานกับเจ้าหน้าที่ว่าตนเองไม่ได้มีหมายจับหรือคำสั่งศาลห้ามเดินทางออกนอกประเทศ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาอาจารย์ปิยบุตรก็ถูกเจ้าหน้าในเครื่องแบบติดตามตลอดเวลา ทั้งจอดรถรถเฝ้าหน้าหมู่บ้านหรือการขับรถติดตาม กรณีของคุณพรรณิการ์ วานิช พบว่ามีคนแอบเอาเครื่อง gps ติดตามไว้ใต้รถซึ่งพบโดยบังเอิญเมื่อนำรถไปล้างแล้วเจอแผ่นโลหะสีดำติดอยู่ใต้ท้องรถ ขณะที่คุณธนาธร คุณพิธา คุณรังสิมันต์ คุณอมรัตน์ และผมก็ถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบติดตามเป็นประจำ”

เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวต่อไปว่า จากพฤติการณ์ที่กล่าวมาเห็นชัดว่า การติดตามบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีเฝ้าระวังไม่ได้จำกัดเฉพาะที่ ตม. เท่านั้น เอกสารของ ตม. ที่ปรากฏออกมานั้นเป็นแค่ปลายทาง แต่เชื่อว่าบัญชีความมั่นคงเหล่านี้ถูกส่งมาจากหน่วยงานความมั่นคงที่เหนือกว่านั้นและกระจายไปยังกลไกต่างๆ ของทั้ง ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง จะต้องมีส่วนรู้เห็นและรับผิดชอบต่อเรื่องนี้

“พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ. ประวิตร จะต้องตอบคำถามต่อสาธารณะให้ชัดเจนว่า ท่านใช้กฎเกณฑ์อะไรในการกำหนดชื่อของประชาชนที่เป็นภัยต่อความมั่นคง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามและมีพฤติการณ์คุกคามต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหล่านั้นอย่างชัดเจนและไม่อาจที่จะยอมรับได้ นอกจากนี้ ในการกำหนดบัญชีรายชื่อความมั่นคงเหล่านี้ เป็นการใช้อำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หรือนี่เป็นการใช้อำนาจนอกกฎหมายเพื่อคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนและนักการเมืองที่ท่านมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของพวกท่าน

“รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเป็นรัฐบาลทรราชย์โดยสมบูรณ์ เพราะแทนที่ท่านจะรีบแก้ไขวิกฤติการระบาดของโควิด 19 ที่เกิดจากความผิดพลาดร้ายแรงของพวกท่าน กลับมองประชาชน คนรุ่นใหม่ หรือกระทั่งเยาวชนอายุ 15 ปี สื่อมวลชน นักสิทธิมนุษยชน ศิลปิน และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู ซึ่งต้องย้ำว่า มีเพียงพรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียวที่ถูกกำหนดเป็นภัยมั่นคงของท่าน มีการดำเนินคดีต่างๆโดยใช้ข้อหาร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการควบคุมสื่อมวลชน ในการปิดหู ปิดตา และปิดปากประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการพยายามที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง ให้กับความผิดร้ายแรงของพวกท่านในการแก้ปัญหาโควิด 19 โดยแอบอ้างเรื่องการปกป้องบุคลากรทางการแพทย์เป็นเรื่องบังหน้า และล่าสุดสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวานและวันนี้ก็คือการลิดรอนสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชนอย่างร้ายแรง ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว โดยไม่มีเหตุผลทางกฎหมายรองรับ นอกจากเหตุผลทางการเมือง”

จากนั้น ชัยธวัช ย้ำว่า ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยุติพฤติกรรมทรราชย์เหล่านี้โดยเด็ดขาด ยุติการมองว่าประชาชนเป็นภัยความมั่นคง เพราะท่านต่างหากที่เป็นภัยความมั่นคงของชาติสูงสุดขณะนี้ ยิ่งพยายามอยู่ในอำนาจต่อไปเท่าไหร่ ความเสียหายต่อบ้านเมืองจะยิ่งร้ายแรงมากขึ้น กระทั่งท่านและพวกพ้องจะไม่สามารถชดใช้ได้ในที่สุด

ในการตอบคำถามสื่อมวลชนว่าจะมีการพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายหรือไม่ ชัยธวัชตอบว่า เบื้องต้นได้สอบถามไปยังบุคคลอื่นนอกพรรคก้าวไกลว่าคิดเห็นอย่างไร ถ้าพบหลักฐานชัดเจนว่า เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบจะดำเนินการทางกฎหมายทันที ซึ่งตรงนี้ศาลทุจริตสามารถดำเนินการได้ แต่ยอมรับว่ามีความยากในการหาหลักฐานเพราะส่วนใหญ่เป็นการใช้เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ ขณะนี้มีเพียงเอกสารลับของ ตม.ที่หลุดออกมาเพียงชิ้นเดียว อย่างไรก็ตามก็มีกรณีชัดเจน เช่น การติดตามคุณรังสิมันต์ ที่มีการบันทึกภาพได้โดยกล้องวงจรปิด

“การมีชื่อในบัญชีและถูกติดตามเชื่อว่าเชื่อมโยงกันหมดโดยมีต้นทางจากหน่วยงานความมั่นคง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดแค่ที่สนามบิน แต่ไม่ว่าหน้าบ้าน ที่ทำงาน หรือที่อื่นๆก็พบพฤติกรรมเหล่านี้ ซึ่งนอกจากเป็นคุกคามสิทธิเสรีภาพยังทำให้หวาดกลัวด้วย เราเป็นนักการเมืองยังรู้สึกได้ แล้วประชาชนจะหวาดกลัวแค่ไหน สมมติผมขับรถไปรอลูกสาว พล.อ.ประยุทธ์ ที่หน้าบ้านทุกวัน แล้วขับรถตามตลอดเวลาจะรู้สึกอย่างไร แต่ถ้าทำอย่างนั้นผมก็คงจะถูกดำเนินคดีไปแล้ว ดังนั้น จึงต้องถามว่ารัฐใช้หน้าที่อะไรมาทำแบบนี้กับพวกเราหรือกับประชาประชาชน ซึ่งต้องบอกว่าไม่มีนักการเมืองจากพรรคพลังประชารัฐอยู่ในบัญชีรายชื่อนี้เลย ทั้งที่บางคนเคยเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดด้วยซ้ำ เราเป็นฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวที่โดนแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จะต้องมีคำอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น”

นอกจากนี้ ชัยธวัช ยังกล่าวได้ถึงความล้มเหลวของกลไกการดูแลสิทธิเสรีภาพของประชาชนภายใต้ของรัฐบาลประยุทธ์ว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราไม่มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่ทำหน้าที่นี้จริงๆตั้งแต่หลังการรัฐประหารเป็นต้นมา ที่ชัดเจนคือ การใช้กำลังสลายการชุมนุมเกินกว่าเหตุก็ไม่มีท่าทีอะไร เช่นเดียวกับการที่ประชาชนไม่ได้รับการประกันตัวทั้งที่เขาไม่มีพฤติกรรมหลบหนี้หรือยุ่งเหยิงพยาน ยิ่งกลไกคณะกรรมาธิการสิทธิฯ สภาผู้แทนราษฎรยิ่งแย่ใหญ่ หลังจากเปลี่ยนประธานมาเป็น นายสิระ เจนจาคะ จากพรรคพลังประชารัฐ ยิ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็น คณะกรรมาธิการละเมิดสิทธิแทนคุ้มครองสิทธิหรือไม่ เรื่องนี้ประชาชน นักฎหมาย นักสิทธิฯคงต้องร่วมมือกันเอง หวังพึ่งกลไกระบอบประยุทธไม่ได้ อาจเป็นการฟ้องตามมาตรา 157 ต่อศาลทุจริต แต่คงต้องรวมหลักฐานต่อไป ซึ่งเมื่อสื่อมวลชนถามไปยังเจ้าหน้าที่ ตม. ที่มีชื่อในเอกสาร ขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการชี้แจงใดๆ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net