จากข้อมูลการสำรวจกำลังแรงงานและระดับการศึกษาในกว่า 130 ประเทศ ILO ประมาณการว่ามีคนทำงานเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่มีงานทำเหมาะสมกับระดับการศึกษา ส่วนที่เหลือมีทั้งการศึกษาสูงเกินไปหรือต่ำเกินสำหรับงานที่กำลังทำอยู่ ปัญหานี้อาจส่งผลเสียในด้านค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายทั้งสำหรับคนทำงานและนายจ้าง รวมทั้งผลสัมฤทธิ์จากการลงทุนด้านการศึกษาของรัฐที่ลดลง
ที่มาภาพประกอบ: ILO (CC BY-NC-ND 2.0)
- ข้อมูลการสำรวจกำลังแรงงานและระดับการศึกษาในกว่า 130 ประเทศ ILO ประมาณการว่ามีคนทำงานเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่มีงานทำสอดคล้องกับระดับการศึกษา
- คนทำงานในประเทศรายได้สูง (High income) มีแนวโน้มมีงานที่ตรงกับระดับการศึกษา 60%, ประเทศรายได้ปานกลางระดับบน (Upper-middle income) 52%, ประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง (Lower-middle income) ร้อยละ 43%, ประเทศรายได้ต่ำ (Low income) 25%
- 'ระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงาน' อาจส่งผลให้คนทำงานได้รับค่าจ้างต่ำลง ความพึงพอใจในงานลดลง สูญเสียแรงจูงใจ อัตราว่างงานสูงขึ้น และผลตอบแทนจากการลงทุนด้านการศึกษาของรัฐลดลง
- 'ระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน' อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อผลิตภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม เป็นอุปสรรคขัดขวางคนทำงานจากการย้ายจากอุตสาหกรรมที่ได้รับค่าจ้างต่ำไปสู่งานที่ได้ค่าตอบแทนดีกว่า และมีความเสี่ยงที่จะตกงานมากในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
- 'ผู้หญิง' ในกลุ่มประเทศรายได้สูงมีแนวโน้มระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงาน ส่วนในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำมีแนวโน้มระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน
- การระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้มีแนวโน้มสัดส่วนการจับคู่งานที่เหมาะสมกับระดับการศึกษาสำหรับผู้หญิงลดลง ผู้หญิงจำนวนมากยังต้องย้ายไปทำงานนอกเวลา ตกงาน หรือออกจากตลาดแรงงานโดยสิ้นเชิง
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีความพยายามในการปรับปรุงระบบการศึกษาทั่วโลก และมีความก้าวหน้าในการส่งเสริมการศึกษาให้กับผู้หญิงและเด็ก แต่ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องผลสัมฤทธิ์จากการศึกษาที่สอดคล้องกับตลาดแรงงานในภาพรวมอยู่
คนทำงานหลายต่อหลายคนทำงานที่ไม่ตรงกับระดับการศึกษา ในขณะเดียวกันนายจ้างจำนวนมากอ้างว่ามีปัญหาในการสรรหาแรงงานที่มีทักษะจำเป็นในการขยายธุรกิจและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ปรากฏการณ์เช่นนี้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างโลกแห่งการศึกษากับโลกแห่งการทำงาน
ข้อมูลการสำรวจกำลังแรงงานและระดับการศึกษาในกว่า 130 ประเทศ ILO ประมาณการว่ามีคนทำงานเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ที่มีงานทำสอดคล้องกับระดับการศึกษา ส่วนที่เหลือมีทั้งการศึกษาสูงเกินไปหรือต่ำเกินสำหรับงานที่กำลังทำอยู่
คนทำงานในกลุ่มประเทศรายได้สูง (High income) มีแนวโน้มมีงานที่ตรงกับระดับการศึกษา ประมาณร้อยละ 60, กลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน (Upper-middle income) ร้อยละ 52, กลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง (Lower-middle income) ร้อยละ 43, ส่วนกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ (Low income) มีเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น ที่คนทำงานมีระดับการศึกษาตรงกับงานของพวกเขา
แบบแผนในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ระดับต่าง ๆ
ที่มาภาพประกอบ: ILO (CC BY-NC-ND 2.0)
แม้ว่าระดับการศึกษาที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปไม่ตรงกับงานพบได้ในทุกประเทศ แต่ก็มีแบบแผนที่แตกต่างกันเมื่อจำแนกกลุ่มประเทศตามระดับรายได้ โดย 'ระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน' (มีระดับการศึกษาต่ำกว่าที่จำเป็นสำหรับงานของตน) พบได้แพร่หลายในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ ในขณะที่ 'ระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงาน' (มีระดับการศึกษาสูงกว่าที่จำเป็นสำหรับงานของตน) มักจะแพร่หลายในกลุ่มประเทศรายได้สูง
ในกลุ่มประเทศรายได้สูงและรายได้ปานกลางระดับบน ประมาณร้อยละ 20 ของคนทำงานทั้งหมดมีระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงาน ส่วนกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับล่างอยู่ที่ประมาณร้อยละ 12.5 ในขณะที่กลุ่มประเทศรายได้ต่ำจะน้อยกว่าร้อยละ 10 ทั้งนี้สัดส่วนคนทำงานที่มีระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงานในกลุ่มประเทศรายได้สูงมีแนวโน้มว่าจะถูกขับเคลื่อนโดยกำลังแรงงานที่ได้รับการศึกษาในระดับที่ค่อนข้างสูง
ILO พบว่าระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงานในระดับหนึ่งจะเกิดขึ้นเสมอ เนื่องจากคนทำงานยอมทำงานที่ต่ำกว่าระดับการศึกษา ในด้านหนึ่งคนทำงานเลือกทำเพราะมีข้อดีสำหรับตนเองเช่น ปริมาณงานและความเครียดเกี่ยวกับงานน้อยลง ความสมดุลในการใช้ชีวิตกับการทำงานที่เพิ่มขึ้น การคุ้มครองทางสังคมที่ดีขึ้น เวลาเดินทางสั้นลง เป็นต้น แต่ในด้านหนึ่งคนทำงานต้องยอมทำงานที่ต่ำกว่าระดับการศึกษาเพราะขาดประสบการณ์ในการทำงาน สำหรับคนทำงานเหล่านี้บางคน ระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงานนั้นอาจเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ที่กำลังแรงงานมีระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงาน มาจากการบิดเบือนของตลาดแรงงานที่สร้างความต้องการคนทำงานที่มีการศึกษาระดับสูงเกินความต้องการ มีแนวโน้มที่อาจจะเป็นปัญหาในระยะยาวได้ ILO แนะนำว่ารัฐบาลควรมีนโยบายแทรกแซงเพื่อแก้ปัญหานี้
ส่วนระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำมีสัดส่วนสูงถึงประมาณร้อยละ 70 สัดส่วนนี้คล้ายคลึงกับกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง ที่ประมาณร้อยละ 46 ในขณะที่กลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบนและรายได้สูงจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20
ข้อมูลของ ILO ยังแสดงให้เห็นว่าคนทำงานที่ถูกว่าจ้าง (มีนายจ้าง) มีแนวโน้มทำงานที่เหมาะสมกับระดับการศึกษามากกว่าผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ โดยผู้ประกอบอาชีพอิสระมีสัดส่วนระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงานที่สูงขึ้นมาก
ปัญหาจากระดับการศึกษาที่สูงและต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน
ที่มาภาพประกอบ: ILO (CC BY-NC-ND 2.0)
สาเหตุหลักของระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน คือจำนวนแรงงานที่เป็นที่ต้องการและมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการในตลาดแรงงานมีจำนวนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีรายได้ต่ำ แต่คนทำงานที่ระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงานเหล่านี้บางคนอาจยังคงสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง เพราะพวกเขาได้รับทักษะที่จำเป็นผ่านการฝึกอบรม ประสบการณ์ และการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นต้น
ทั้ง 'ระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน' และ 'ระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงาน' อาจส่งผลเสียในด้านค่าตอบแทนและค่าใช้จ่าย ทั้งสำหรับคนทำงาน นายจ้าง และสังคมโดยรวม โดยระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงานอาจส่งผลให้คนทำงานได้รับค่าจ้างต่ำลง ความพึงพอใจในงานลดลง สูญเสียแรงจูงใจ อัตราว่างงานสูงขึ้น และผลตอบแทนจากการลงทุนด้านการศึกษาของรัฐลดลง ในทางกลับกันระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อผลิตภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม
นอกจากนี้คนทำงานที่ระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงานจำนวนมากยังต้องดิ้นรนเพื่อเปลี่ยนจากการทำงานในเศรษฐกิจนอกระบบไปสู่เศรษฐกิจในระบบ เนื่องจากขาดคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับงานในภาคส่วนเศรษฐกิจในระบบ ระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงานยังเป็นอุปสรรคขัดขวางคนทำงานจากการย้ายจากอุตสาหกรรมที่ได้รับค่าจ้างต่ำไปสู่งานที่ได้ค่าตอบแทนดีกว่าในภาคบริการอีกด้วย และจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทั้งระบบอัตโนมัติและระบบดิจิทัล คนทำงานที่ระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงานมีความเสี่ยงที่จะตกงานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
'ผู้หญิง' ในกลุ่มประเทศรายได้สูงมีแนวโน้มระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงาน ส่วนในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำมีแนวโน้มระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน
ที่มาภาพประกอบ: ILO (CC BY-NC-ND 2.0)
เมื่อพิจารณาข้อมูลแยกตามเพศ จะพบว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างประสบปัญหาในการหางานที่ตรงกับระดับการศึกษาเหมือนกัน อย่างไรก็ตามในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองเพศในแง่ของการจับคู่ระหว่างงานที่เหมาะสมกับระดับการศึกษา ส่วนผู้หญิงในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่านั้นมีโอกาสน้อยกว่าผู้ชายที่จะมีงานที่สอดคล้องกับระดับการศึกษาของพวกเธอ
ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง สัดส่วนคนทำงานที่มีระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงานของผู้หญิงจะสูงกว่าผู้ชาย ส่วนในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบนไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำ ผู้หญิงมักจะมีระดับการศึกษาต่ำเกินไปไม่ตรงกับงาน
ทั้งนี้แบบแผนในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่างกันนั้นเป็นไปอย่างเฉพาะตัว โดยเมื่อประเทศใด ๆ มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากขึ้น ผู้หญิงที่มีการศึกษาดีจำนวนมากมักจะจบลงด้วยการทำงานที่ต่ำกว่าระดับการศึกษาของพวกเธอ อย่างไรก็ตามผู้หญิงบางคนอาจยอมรับงานดังกล่าวเพราะมีข้อดีเฉพาะ (ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เช่น ปริมาณงานและความเครียดเกี่ยวกับงานน้อยลง ความสมดุลในการใช้ชีวิตกับการทำงานที่เพิ่มขึ้น การคุ้มครองทางสังคมที่ดีขึ้น เวลาเดินทางสั้นลง เป็นต้น) ILO แนะนำว่าเพื่อลดจำนวนผู้หญิงที่มีระดับการศึกษาสูงเกินไปไม่ตรงกับงานในตลาดแรงงาน ภาครัฐอาจจำเป็นต้องมีนโยบายส่งเสริมการกระจายความรับผิดชอบสำหรับงานบ้านและการดูแลครอบครัวอย่างเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง ปรับปรุงการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการดูแลเด็ก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น
ILO ระบุว่าการระบาดใหญ่ของ COVID-19 อาจมีผลกระทบต่อสัดส่วนการมีงานทำที่ไม่ตรงกับระดับการศึกษาของผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่มีระดับการศึกษาต่ำ เนื่องจากพวกเธอมักจะกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมบริการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 เนื่องจากมีแนวโน้มที่พวกเธอจะต้องดูแลเด็กมากกว่าผู้ชาย
แม้จะมีแนวโน้มว่าสัดส่วนการจับคู่งานที่เหมาะสมกับระดับการศึกษาสำหรับผู้หญิงจะลดลง แต่ผู้หญิงจำนวนมากยังต้องย้ายไปทำงานนอกเวลา ตกงาน หรือออกจากตลาดแรงงานโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา สัดส่วนของผู้หญิงที่มีงานเหมาะสมกับระดับการศึกษาลดลงจาก ร้อยละ 60.2 ในปี 2562 เหลือ ร้อยละ 57.1 ในปี 2563 ส่วนในสาธารณรัฐโดมินิกันซึ่งอาศัยภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก ก็พบว่าสัดส่วนของผู้หญิงที่มีงานเหมาะสมกับระดับการศึกษาลดลงในปี 2563 ในขณะผู้ชายกลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)