การศึกษาชิ้นใหม่แสดงความเชื่อมโยงระหว่าง 'ความรุนแรงในครอบครัว-การตกงาน-แรงกดดันทางเศรษฐกิจ' ช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 พบผู้หญิงออสเตรเลียมักจะเผชิญความรุนแรงในครอบครัวซ้ำเติมเมื่อคู่ครองของพวกเธอตกงาน
ที่มาภาพประกอบ: Marco Verch Professional Photographer (CC BY 2.0)
21 ก.พ. 2565 การสำรวจออนไลน์ผู้หญิงออสเตรเลีย 10,000 คน จากองค์กรวิจัยความปลอดภัยสตรีแห่งชาติของออสเตรเลีย (National Research Organisation for Women's Safety) ที่ทำการสำรวจระหว่างเดือน ก.พ.-เม.ย. 2564 แสดงให้เห็นว่าเมื่อคู่ครองของพวกเธอตกงาน ผู้หญิงมักจะประสบกับความรุนแรงเป็นครั้งแรก จากนั้นก็จะเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น
นอกจากที่พวกเธอจะตกงานแล้ว โดยผู้หญิง 1 ใน 3 (ร้อยละ 31) ในแบบสำรวจถูกเลิกจ้าง ตกงาน หรือต้องลดค่าจ้างหรือลดชั่วโมงการทำงาน ในช่วง 12 เดือนแรกของการระบาดใหญ่ และประมาณ ร้อยละ 25 ระบุว่าคู่ครองของพวกเธอตกงาน
ผู้หญิง 1 ใน 10 คน เคยประสบกับความรุนแรงทางร่างกายจากคู่ครองในปัจจุบันหรืออดีต ร้อยละ 8 ถูกกระทำรุนแรงทางเพศ และร้อยละ 32 เคยประสบกับพฤติกรรมล่วงละเมิดทางอารมณ์
สำหรับผู้หญิงที่เคยประสบกับความรุนแรงจากคู่รักเป็นครั้งแรก ส่วนใหญ่กลุ่มที่คู่ครองของพวกเธอไม่ได้ทำงานหรือตกงาน มีแนวโน้มที่จะประสบกับความรุนแรงทางร่างกายมากกว่าผู้หญิงที่คู่ครองมีงานทำอยู่ถึง 2 เท่า
ส่วนผู้หญิงที่มีประวัติถูกกระทำรุนแรงในครอบครัว มีโอกาสประสบกับความรุนแรงทางร่างกายบ่อยครั้งหรือรุนแรงขึ้นถึง 4 เท่า หากคู่ครองตกงาน และมีแนวโน้มสูงที่จะเผชิญความรุนแรงทางอารมณ์ถึง 2 เท่า
การสำรวจนี้ยังพบว่าความเครียดจากปัญหาทางการเงินมีส่วนเกี่ยวข้องในการที่ผู้หญิงจะประสบกับความรุนแรงทางร่างกายเพิ่มขึ้น 3 เท่า
แอนโธนี่ มอร์แกน ผู้จัดการฝ่ายวิจัยของสถาบันอาชญวิทยาแห่งออสเตรเลีย (Australian Institute of Criminology) ระบุว่ามีปัจจัยหลายประการที่มีส่วนทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวช่วง COVID-19
"มันเป็นการบรรจบกันของปัญหาทางการเงิน การสูญเสียงาน ความกดดันที่เพิ่มขึ้นในแง่ของการดูแลเด็ก มีปัจจัยหลายอย่างมารวมกัน" เขากล่าว
ความสัมพันธ์ที่สำคัญประการหนึ่งที่เกิดกับคู่ครองที่มีความรุนแรงครั้งแรกคือสถานการณ์ที่มีความไม่สมดุลในความมั่นคงทางเศรษฐกิจระหว่างชายหญิง
ในคู่ที่ผู้หญิงที่เป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะประสบกับความรุนแรงทางร่างกาย 1.7 เท่า และมีแนวโน้มที่จะประสบความรุนแรงทางเพศ 1.6 เท่า และมีแนวโน้มที่จะประสบกับความรุนแรงทางอารมณ์มากกว่าผู้หญิงที่คู่ครองที่หารายได้เท่าๆ กันหรือผู้ชายหารายได้มากกว่า 1.5 เท่า
มอร์แกนกล่าวว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างผู้หญิงกับคู่ของเธอมีความสัมพันธ์กับการใช้ความรุนแรงครั้งแรกแต่ไม่เกิดซ้ำ เป็นไปได้ว่าแนวโน้มว่าความไม่สมดุลทางการเงินมีส่วนทำให้ผู้ชายแสดงพฤติกรรมรุนแรง
ส่วนเฮย์ลีย์ ฟอสเตอร์ ซีอีโอของ Full Stop Australia ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว ระบุว่าว่าการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ไม่ได้เป็นจุดเริ่มของการสร้างความรุนแรงในครอบครัว แต่หากไปช่วยเพิ่มความรุนแรงขึ้นต่างหาก
"มันถูกทำทำให้รุนแรงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นมันมีสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว" เธอกล่าว
นอกจากนี้ปรากฎการณ์ที่ผู้ชายที่หาเงินได้น้อยกว่าผู้หญิงแล้วมีพฤติกรรมรุนแรงต่อคู่ครองนั้น ฟอสเตอร์มองว่าทัศนคติของชุมชนที่มองว่าผู้ชายควรจะเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวนั้นเป็นปัญหา
"ทัศนคติเหล่านี้เราต้องช่วยกันแก้ไขโดยทั่วกัน" ฟอสเตอร์กล่าว
ด้านนาตาลี วอร์ด รัฐมนตรีกระทรวงความปลอดภัยและป้องกันความรุนแรงในครอบครัวแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่ารัฐบาลได้ลงทุน 484.3 ล้านดอลลาร์ฯ เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่หนีจากความรุนแรงในครอบครัว
"บริการด้านที่อยู่อาศัยและบริการสนับสนุนมีบทบาทสำคัญ ดังนั้นผู้ที่ถูกทารุณกรรมในครอบครัวสามารถเริ่มต้นชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกปลอดภัยและได้รับการสนับสนุน" เธอกล่าว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)