กลุ่ม LGBTQ+ รัสเซียหนีจากประเทศ หลังเผชิญการปราบปรามอย่างหนักจากรัฐบาลช่วงสงคราม

กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ในรัสเซียทยอยหนีออกนอกประเทศในช่วงสงคราม ท่ามกลางบรรยากาศของการปิดกั้นเสรีภาพและการบุกค้นของตำรวจ พวกเขากลัวว่าพวกเขาจะตกเป็นเป้าโจมตีจากรัฐบาลภายใต้การนำของวลาดิเมียร์ ปูติน ที่ออกกฎหมายเข้มงวดและลิดรอนสิทธิของ LGBTQ+ โดยประธานองค์กร "คัมมิงเอาต์" เพื่อกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศในรัสเซียระบุว่าหากปูตินแพ้สงคราม LGBTQ+ เสี่ยงจะถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นเหตุทำให้รัสเซียแพ้สงคราม

23 มี.ค. 2565 อเล็กซานเดอร์ โวโรนอฟ ผู้บริหาร "คัมมิงเอาต์" องค์กรเพื่อกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์กับ Pink News สำนักข่าวออนไลน์สัญชาติอังกฤษที่ทำข่าวด้านกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ในขณะที่วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียยังคงสั่งการให้ใช้กำลังทหารบุกยูเครน

โวโรนอฟประเมินว่าองค์กรของเขา รวมถึงกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน คู่แข่งทางการเมืองของปูติน และกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านสงคราม จะตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลรัสเซียที่ต้องการป้ายสีให้พวกเขากลายเป็นศัตรูของประเทศ โวโรนอฟบอกว่าเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว เพราะมีที่เจ้าหน้าที่รัฐบุกตรวจค้นบ้านและสำนักงานของนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนไม่กี่วันหลังจากที่มีสงคราม บางคนถูกจับกุมตัวเพียงเพราะมีกระดาษอยู่ในมือ

"รัฐบาลรัสเซียแพ้สงครามไปเรียบร้อยแล้ว ทั่วทั้งโลกได้เห็นแล้วว่ากองทัพรัสเซียไม่สามารถทำอะไรประเทศเล็กๆ ที่ทางการรัสเซียบอกว่าพวกเราว่าเป็นประเทศอ่อนแอได้" โวโรนอฟกล่าว

"คำถามไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะแพ้หรือจะชนะ คำถามคือทางการ[รัสเซีย]จะหาข้ออ้างเมื่อแพ้สงครามด้วยการไปโทษใคร จะโทษกลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชน สายลับจากต่างชาติ หรือผู้ทรยศต่อค่านิยมตามประเพณี และจะโทษทุกคนที่ต่อต้านสงคราม" โวโรนอฟกล่าว "ความรับผิดชอบเรื่องการสูญเสียในสงครามจะถูกโบ้ยมาที่พวกเรา" เขากล่าวเสริม

โวโรนอฟบอกกับสื่อว่าตอนนี้องค์กร LGBTQ+ ของพวกเขาได้ย้ายคณะทำงานไปที่ต่างประเทศเพื่อความปลอดภัย และจะย้ายบริการช่วยเหลือกับงานด้านการส่งเสริมไปไว้ในโลกออนไลน์ เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นหลังจากนี้ โวโรนอฟบอกว่าถ้าหากยังคงทำงานในรัสเซียต่อไปมีโอกาสทำให้พวกเขาติดคุกได้

จากคำแถลงของสหประชาชาติ (UN) เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา ผลพวงจากสงครามในตอนนี้ทำให้มีพลเรือนในยูเครนเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 953 ราย และได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 1,557 ราย โดยมีการนับตัวเลขตั้งแต่ที่มีการบุกรุกยูเครนโดยรัสเซียเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 ในจำนวนพลเรือนผู้เสียชีวิตนี้มีเด็กอยู่ 40 ราย นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังระบุว่าในสงครามครั้งนี้มีการโจมตีสถานพยาบาล 62 กรณีเกิดขึ้นในยูเครน ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้คน 15 ราย และทำให้ผู้คนบาดเจ็บ 37 ราย

โวโรนอฟบอกว่าพวกเขาก็รู้สึกตื่นตะลึงแบบเดียวกับคนทั่วโลก ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น และมันก็ทำให้พวกเขากลัว

ในรัสเซียกลุ่ม LGBTQ+ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงถูกปราบปรามจากรัฐบาลผู้ทำให้ตัวตนของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และโดยทั่วไปแล้วตัวตนของพวกเขาก็ถูกปกปิดไม่ให้เป็นที่รับรู้หรือยอมรับ แต่ในช่วงสงครามสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเร็วขึ้น

มีการตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการเล่นการเมืองของปูตินนั้นคือการผสมผสานระหว่างการสร้างภาพโหยหาอดีตยุคสหภาพโซเวียตกับแนวทางอนุรักษ์นิยมอย่างแข็งกร้าวในเชิงสังคม เช่น มีการออกกฎหมายปิดกั้นการพูดถึงเรื่องการรักเพศเดียวกันและ "ความสัมพันธ์ทางเพศในแบบที่ไม่เป็นไปตามประเพณี" นอกจากนี้ยังเพิ่มกฎหมายห้ามไม่ให้มีการแต่งงานระหว่างคนรักเพศเดียวกันให้มีความเข้มงวดขึ้น และในปี 2563 ก็มีการพยายามลบเลือนการมีอยู่ของคนข้ามเพศด้วยร่างกฎหมายที่ห้ามไม่ให้มีการยอมรับเพศสภาพของคนข้ามเพศ

โวโรนอฟบอกว่าหลังจากที่มีสงครามไม่กี่สัปดาห์แรก องค์กรต่างๆ หน่วยงานริเริ่ม และนักเคลื่อนไหวต่างต้องเผชิญกับการที่ตำรวจบุกรื้อค้นสำนักงานและบ้านเรือนของพวกเขา ซึ่งโวโรนอฟบอกว่าเขาไม่แปลกใจและมองว่ามันยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น

รัฐบาลปูตินก็ทำการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพสื่ออย่างหนักที่สุดมากกว่าทุกครั้งตลอดช่วงที่ปูตินดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสลับกับประธานาธิบดีมานานกว่า 22 ปี กฎหมายใหม่ของพวกเขายังสั่งห้ามไม่ให้เข้าถึงโซเชียลมีเดียใหญ่ๆ และห้ามไม่ให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลหรือสื่ออิสระรายงานข่าวเรื่องการนองเลือดไม่เช่นนั้นจะถือเป็นความผิดทางอาญา

สื่อรัสเซียบางแห่งปิดตัวลงเพราะกลัวถูกลงโทษ ทำให้ชาวรัสเซียได้รับข้อมูลแต่จากสื่อของรัฐเท่านั้น แม้กระทั่งการเรียกสงครามที่เกิดขึ้นว่า "สงคราม" ก็กลายเป็นอาชญากรรมได้ในรัสเซีย ซึ่งทางการรัสเซียระบุให้เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็น "ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร" เท่านั้น

โวโรนอฟบอกว่า มันง่ายที่จะควบคุมคนที่ไม่สามารถเข้าถึงสื่ออิสระได้และรับรู้แต่โฆษณาชวนเชื่อที่รัฐบาลต้องการให้รับรู้เท่านั้น นอกจากนี้ รัฐบาลรัสเซียยังไม่เพียงแค่จับกุมตัวคนถือป้ายต่อต้านสงครามอย่างกล้าหาญ แม้กระทั่งคนที่ถือกระดาษเปล่าก็ถูกจับไปด้วย

โวโรนอฟบอกว่าการโฆษณาชวนเชื่อและการปิดหูปิดตาคนรัสเซียเช่นนี้เป็นสิ่งที่รัฐกระทำมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และนับตั้งแต่ที่มีสงครามผู้มีความหลากหลายทางเพศในรัสเซียก็มาขอความช่วยเหลือจากคัมมิงเอาต์มากขึ้น ขอให้ช่วยหาทางอพยพพวกเขาออกจากรัสเซีย บ้างก็กลัวว่าจะถูกบังคับเกณฑ์ทหาร บ้างก็ต้องการหนีจากสภาพชีวิตที่ยากลำบาก

องค์กรคัมมิงเอาต์เคยทำวิจัยและพบว่ากลุ่ม LGBTQ+ ในรัสเซีย "เสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิอย่างมาก" ต้องเผชิญกับความรุนแรงในอัตราที่สูง มีรายได้น้อยกว่า และประสบปัญหาด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตมากกว่า ยิ่งในยุคสมัยสงครามแบบนี้โวโรนอฟบอกว่ารัสเซียกำลังนำประเทศไปสู่ยุคใหม่คือยุคแห่ง "ความมืดมนและยากจน"

"รัฐบาลรัสเซียคอยแสวงหาศัตรูอยู่ตลอดเวลา และศัตรูเหล่านี้ก็คือนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้มีความหลากหลายทางเพศและนักเคลื่อนไหว ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ชาติตะวันตก เหล่านี้เป็นต้น" โวโรนอฟกล่าว

อย่างไรก็ตาม โวโรนอฟกล่าวว่าการที่ผู้คนมองเห็นว่ารัสเซียภายใต้การนำของปูตินเป็น "ศัตรู" นั้นจะช่วยทำให้โลกร่วมมือกันได้

"ผมหวังและขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างสงบสุขในยูเครนโดยเร็ววัน" โวโรนอฟกล่าว

แปลและเรียบเรียงจาก:

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท