Skip to main content
sharethis

ครบรอบ 240 ปี การประหาร 'พระเจ้าตาก' ย้อนฟัง สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ ชี้ไม่ได้ไปบวชที่ไหน และที่สำคัญไม่ได้บ้า แค่คำอ้างเพื่อจะยึดอำนาจ ถามถ้าแค่บ้าทำไม ร.1 สั่งให้ประหารคนของพระเจ้าตากและวังหน้าอีก 100 ชีวิต

6 เม.ย. 2565 ครบรอบ 240 ปี การประหารหรือประหารชีวิต สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ก่อนจะสืบราชสมบัติต่อเป็นต้นราชวงศ์จักรีในปัจจุบันนั้น 

ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการระบุถึงอาการเสียพระสติของสมเด็จพระเจ้าตากสิน รวมทั้งความเชื่อว่าไม่ได้ถูกประหาร แต่หนีไปบวชที่นครศรีธรรมราช อย่างไรก็ตาม เมื่อ 5 เม.ย.64 'ประวัติศาสตร์ นอกตํารา' เผยแพร่มุมมองของ สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ ซึ่งยกเอกสารร่วมสมัยหลายเล่ม โดยที่แม้มี 2 เล่มระบุว่า สติฟั่นเฟือน แต่อีก 4-5 ฉบับไม่ได้กล่าวถึงเลย

ขณะที่คำว่า เสียพระจริต พระสติฟั่นเฟือน หรือวิปลาสนั้นหมายถึง 'บ้า' หรือไม่นั้น สมฤทธิ์ มองว่าบ้าคือคุมสติไม่อยู่ เขายกหนังสือ พม่าเสียเมือง ของคึกฤทธิ์ ปราโมช ที่แต่งขึ้นโดยเอาประวัติศาสตร์ของพม่าเข้ามาอ้าง พร้อมบอกว่า กษัตริย์พม่า 4 องค์ จบรัชกาลด้วยการถูกกล่าวหาว่าเสียพระจริตทั้งนั้น โดยเฉพาะพระเจ้าพุกาม ถูกกล่าวหาว่าเสียพระจริตและถูกพระเจ้ามินดง ยึดอำนาจ แต่ไม่สำเร็จโทษ ยังคงปล่อยให้อยู่กับครอบครัวจนมีอายุมาจนถึงสมัยพระเจ้าสีป่อกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า และไม่มีหลักฐานที่ระบุว่าพระเจ้าพุกามนั้นเป็นบ้า เพราะฉะนั้นคำว่า "พระสติฟั่นเฟือน" "เสียพระจริต" หากนำกรณีของกษัตริย์พม่านี้มาเทียบก็แสดงให้เห็นว่าคำนี้ไม่ได้แปลว่า "บ้า" หรือ "คนบ้า" คนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย กลับกลายเป็นคำที่ถูกใช้เพื่ออ้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจ

อย่างไรก็ตามมีเอกสารที่กล่าวหาว่ากษัตริย์เป็นบ้า อยู่ในลิลิตยวนพ่าย เป็นเรื่องระหว่างสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับพระเจ้าติโลกราชของเชียงใหม่ในเอกสารชิ้นนี้ได้เขียนว่า "แต่นั้นลาวบ้าบอบ ในเจ็บ แลนา ทำซื่อใดดูเหลือ หลากถ้อย" ซึ่งในคำอธิบายบอกว่านับตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าติโลกราชทรงเสียพระสติ ขนาดเอกสารเขียนว่าบ้า แต่คำแปลบอกว่าเสียพระสติ และในเอกสารหรือประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่ก็ไม่เคยปรากฏ่าพระเจ้าติโลกราชนั้นเป็นบ้า เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งยืนยันอีกขั้นว่าขนาดเขียนว่าเสียพระจริต พระจริตฟั่นเฟือน ก็ไม่ใช่เป็นบ้า และต่อให้เขียนว่าเป็นบ้าก็ไม่ใช่เป็นบ้า แต่ถูกกล่าวหาว่าบ้า ดังนั้นเวลามองประวัติศาสตร์อย่ามองเฉพาะตัวหนังสือที่อยู่ในเอกสาร แต่ต้องวิเคราะห์การเมืองด้วย

เกี่ยวกับการเมืองของเอกสารนั้น สมฤทธิ์ ย้ำว่าต้องดูว่าเอกสารเหล่านั้นเกิดจากฝ่ายไหน หากเกิดจากฝ่ายตรงข้ามของพระเจ้าตาก จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเอกสารเหล่านั้นจะไม่ใช่การใส่ร้ายพระเจ้าตาก เพราะนี่เป็นการเมือง

"คนเขียนประวัติศาสตร์ คือคนที่ชนะ" สมฤทธิ์ กล่าวพร้อมยกตัวอย่างเช่น เอกสารของคนที่ฝ่ายต่อต้านพระเจ้าตากมักอ้างคือเอกสารบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสที่เขียนเอกสารหลังจากพระเจ้าตากเสียชีวิตแล้ว ซึ่งเขียนในความหมายว่าพระเจ้าตากคลั่ง เสียสติหรือคุ้มดีคุ้มร้าย เอกสารนี้เมื่อแปลและอยู่ในประชุมพงศาวดารคนก็จะอ้างกันมากว่าฝรั่งยังบันทึกอาการของพระเจ้าตากไว้ แต่ต้องระวังเพราะบาทหลวงฝรั่งเศสนั้นเป็นคนที่ได้รับการลงโทษจากพระเจ้าตาก หรือพูดได้ว่าเป็นศตรูพระเจ้าตาก

ขณะที่เอกสารที่ยืนยันว่าพระเจ้าตากนั้นไม่ได้บ้า หรือไม่เสียจริต หรือแม้แต่ฟั่นเฟือน ซึ่ง สมฤทธิ์ ยกพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ มีข้อความที่บอกว่า ตอนจับพระเจ้าตากได้แล้ว สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกข้ามจากฝั่งพระนครไปที่ธนบุรีและให้สอบถาม ซึ่งข้อมูลตรงนี้บันทึกไว้ว่า

"ตัวเป็นเจ้าแผนดินใช้เราไปกระทำการสงคราม ก็เหตุไฉนอยู่ภายหลัง ตัวจึงเอาบุตรภรรยาเรามาจองจำโทษ แล้วโบยตีพระภิกษุสงฆ์ และลงโทษแก่ข้าราชการและอาณาประชาราษฎร์ เร่งเอาทรัพย์สินโดยพลการ ด้วยหาความผิดมิได้ กระทำให้แผ่นดินเดือดร้อนทุกเส้นหญ้า ทั้งพระพุทธศาสนาก็เสื่อมทรุดเศร้าหมอง ดุจเมืองมิจฉาทิฐิ โทษตัวจะมีเป็นประการใด จงให้การไปแจ้ง และพระเจ้าตากสินก็รับผิดทั้งสิ้นทุกประการ" 

ข้อความนี้เป็นการกล่าวโทษพระเจ้าตากสิน ไม่มีคำไหนเลยที่ว่าพระเจ้าตากฟั่นเฟือนหรือเสียพระสติหรือเป็นบ้า อีกทั้งพงศาวดารฉบับนี้ยังเขียนบอกว่า ตอนที่จะเอาพระเจ้าตากไปสำเร็จโทษ พระเจ้าตากสินได้บอกว่า ตัวเราก็สิ้นบุญจะถึงที่ตายอยู่แล้ว ช่วยพาเราไปแวะหาท่านผู้สำเร็จราชการ จะขอเจรจาด้วยสัก 2-3 คำ พงศาวดารก็บันทึกต่อไปว่า สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ก็โบกมือไม่ให้เข้ามา ประโยคนี้ก็บอกบอกถึงว่าขนาดจะเอาไปสำเร็จโทษแล้วยังขอเข้าไปพูดกับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจบารมีมากในตอนนั้น ซึ่งไม่ได้แสดงอาการเสียพระสติอะไรเลย

นอกจากนี้ใน พงศาวดาร ยังระบุอีกว่าที่วัดอินทารามฯ ที่ฝังพระศพในปี 2327 ขุดพระศพขึ้นมาและฌาปนกิจ ปรากฎว่าพวกนางในก็ร้องไห้รำลึกถึงพระเดชพระคุณ ขณะที่พระเจ้าอยู่หัวขณะนั้นโกรธและลงอาญาโบยหลังทั้งหมด หากเป็นบ้าจริง 2 ปีไปแล้ว ก็อาจลืมได้ 

"..ถ้าเราไปมองในแง่ประวัติศาสตร์เราจะเห็นว่ารัชกาลที่ 1 รับสั่งให้ประหารชีวิตคนที่เป็นคนของพระเจ้าตากอีก 30 กว่าชีวิต วังหน้าพระอนุชาสั่งให้ประหารอีก 80 กว่าชีวิต รวมอีก 100 กว่าชีวิต คำถามคือถ้าพระเจ้าตากเป็นบ้าก็น่าจะประหารพระองค์เดียวไม่ใช่หรอ ทำไมต้องประหารทั้งชุดอย่างนี้ แต่ที่น่าสนใจมากมันมีขุนนางของพระเจ้าตากชื่อว่าพระอินทวงษา คนนี้จะเป็นคนที่เก่งมากรบก็เก่ง ค้าขายก็เก่ง ไปคุมหัวเมืองฝั่งตะวันตกอยู่ที่ภูเก็ต พระอินทวงษาได้ข่าวว่าพระเจ้าตากถูกสำเร็จโทษ ท่านก็ไม่ยอมที่จะอยู่รับใช้แผ่นดินต่อไปฆ่าตัวตายตามพระเจ้าตาก ถามว่าถ้าพระเจ้าตากบ้านี่ ขุนนางผู้ใหญ่มียศมีศักดิ์อย่างพระอินทวงษานี่จะยอมฆ่าตัวตายเพื่อคนบ้าหรอ

ในเอกสารร่วมสมัยก็ไม่ได้บอกว่าพระองค์บ้า และผมก็พยายามยืนยันว่ามันมีเอกสารอีกหลายชิ้นที่เขียนว่าเสียพระจริตหรือพระสติฟั่นเฟือนนี่ ปรากฏว่าเป็นแค่คำอ้างเพื่อจะยึดอำนาจ.." สมฤทธิ์ กล่าว

ปี 2320 เป็นต้นมาอำนาจของพระเจ้าตากสินถูกทอนลงเรื่อยๆ จนกระทั่งคงเหลือแต่ธนบุรี และวันสุดท้ายก็คือการเกิดกบฏพระยาสรรค์ที่เข้ามาทำลายศูนย์กลางอำนาจของพระเจ้าตากจนพัง เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกลับมา เท่ากับพระเจ้าตากสินหมดสิ้นแล้วอำนาจรอแค่สำเร็จโทษแล้วเปลี่ยนผ่านเท่านั้นเอง

"จะเห็นได้ชัดเลยว่า บ้าไม่บ้าตอนนั้นมันแทบไม่มีความหมาย แต่ก็ต้องใส่เข้าไปเพื่อสร้างความชอบธรรมในการจะเปลี่ยนผ่าน เพราะอย่าลืมว่าพระเจ้าตากท่านมีคุณูปการอย่างสูงในการกอบกู้บ้านเมือง เพราะฉะนั้นการจะเปลี่ยนผ่านมันจะต้องมีน้ำหนักในการอ้าง" สมฤทธิ์ กล่าว

สมฤทธิ์ มั่นใจ 100% ว่า พระเจ้าตากไม่บ้า เพราะถูกยึดอำนาจและประหารชีวิต หากไม่ถูกยึดอำนาจและประหารชีวิตตนอาจจะเชื่อว่าท่านบ้า

"การเปลี่ยนรัชกาล การเปลี่ยนราชวงศ์ เกิดการประหารเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณอ่านประวัติศาสตร์ของอยุธยา 417 ปี คุณจะเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านกับการสังหารการฆ่ากัน เราเจอมาตลอดใน 417 ปี ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นญาติพี่น้องเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ต่อสู้มาด้วยกัน"

สมฤทธิ์ กล่าวพร้อมชี้ว่าการเปลี่ยนผ่านแล้วจะทำให้แผ่นดินใหม่สงบนั้นต้องกำจัดแผ่นดินเก่าให้หมด เมื่อเปลี่ยนจาก ร.1 ไป ร.2 นั้นมีการตามฆ่าทายาทของพรเจ้าตากคือกรณีเจ้าฟ้าเหม็น และกรณีเจ้าฟ้าเหม็นที่ถูกประหารไม่ได้เพียงลำพัง ญาติพี่น้องก็โดนด้วย 1 ในนั้นคือ เจ้าจอมสำลีวรรณ ซึ่งเป็นเจ้าจอมของวังหน้าถูกประหารด้วย ในพงศาวดารเขียนไว้ว่า "พ่อเขาก็ฆ่า พี่น้องจะเอาไปฆ่า ตัวเองจะอยู่ทำไม" ซึ่งเป็นคำพูดของพระธิดาของพระเจ้าตาก และอีกเรื่องที่ยืนยันว่าพระเจ้าตากถูกฆ่า ไม่ได้หนีไปบวช ก็คือในพระราชหัตถเลขาของ ร.4 ที่มีไปถึงเจ้าจอมมารดาผึ้งเรื่องแซงเรือพระที่นั่ง ปรากฎว่าท่านโกรธมาก  ซึ่งเรือที่จะแซงนั้นเป็นของเจ้าจอมมารดาน้อย ที่เป็นธิดาของพระอินทร์อภัย และพระอินทร์อภัยนั้นเป็นบุตรของพระเจ้าตาก ซึ่งเท่ากับเจ้าจอมมารดาน้อยเป็นหลานของพระเจ้าตาก ทำให้ ร.4 เขียนในพระราชหัตถเลขาว่า "อยากจะให้เอาไปตัดหัวเสียตามสกุลพ่อมัน แซ่นี้มักเป็นเช่นนั้น เหมือนคุณสำลี" นี่แสดงให้เห็นว่า ร.4 ยืนยันว่าพระเจ้าตากถูกสำเร็จโทษ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net