Skip to main content
sharethis
  • 'นิพนธ์' ลั่น 'ประชาธิปัตย์' จะกลับมาดูแลประชาชนอีกครั้ง ย้ำกระจายอำนาจคืออุดมการณ์ของพรรค
  • 'เพื่อไทย' ชี้การหาร 500 ไม่ได้ทำให้พรรคกังวลเรื่องแลนด์สไลด์ แต่กังวลไม่อยากให้ความเชื่อมั่นในระบบการเมืองถูกมัดสไลด์ (Mudslide) หรือ 'โคลนถล่ม' - ตั้งข้อสังเกตงบกรมศุลกากร 3 โครงการ 4,000 ล้าน โยงเอี่ยวบริษัท บริจาคเงินเข้า พปชร.
  • 'พลังชล' พร้อมทุกกติกาเลือกตั้งทั้งสูตรหาร 100-500 สิ่งอยากเห็นคือมาตรฐานสากล
  • 'สร้างอนาคตไทย' ไม่หวั่นสูตรคำนวณ ส.ส. 500 เผย พรรคเตรียมพร้อมทั้งสองแบบ พร้อมเดินตามยุทธศาสตร์พรรค รอจังหวะเปิดตัว 'สมคิด' - แนะรัฐบาลหาแนวทางรับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งปีหลัง
  • 'ประยุทธ์' ออกแถลงการณ์ 'กลยุทธ์ 3 แกน สร้างอนาคต' ฉายภาพแก้ปัญหาปากท้อง ความยากจนให้หมดไป
  • เลขา ครป. ชี้ 3 แกนของ 'ประยุทธ์' เป็นต้นเหตุความเหลื่อมล้ำและความยากจนของคนไทยทั้งประเทศ เพราะบริหารแบบทุนนิยมเผด็จการ หยุดสร้างหนี้และหลอกขายฝันประชาชน
  • 'ไทยสร้างไทย' ชวนร่วมงานมหกรรมคืนความสุขให้คนไทย ภายใต้แนวคิด "คนตัวเล็ก…คิดใหญ่" สร้างคนตัวเล็กให้เป็นคนตัวใหญ่ชู Soft Power
  • สมาชิก 'ชาติไทยพัฒนา' พร้อมชาวสุพรรณร่วมอวยพรวันเกิด 'วราวุธ'
  • พปชร. โรดโชว์ชลบุรี มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ได้ ส.ส. 10 ที่นั่งตามเป้า เตรียมเดินสายโรดโชว์จังหวัดอื่นต่อ

'นิพนธ์' ลั่น 'ประชาธิปัตย์' จะกลับมาดูแลประชาชนอีกครั้ง ย้ำกระจายอำนาจคืออุดมการณ์ของพรรค

10 ก.ค. 2565 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าวานนี้ (9 ก.ค.) ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สาขาพรรคประชาธิปัตย์เขต 3 สงขลา ได้จัดประชุมระดมความคิดนำคอหงส์สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้กล่าวเปิดงาน ในงานมีทั้งนายสมยศ พลายด้วง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ นายโชติ กิจฉาโณ ประธานสาขาพรรคเขต 3 สงขลา พร้อมด้วยกรรมการสาขาพรรค นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ.สงขลา นายทวีศักดิ์ อรัญดร ส.อบจ.สงขลา แกนนำ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในเขตเทศบาลตำบลคอหงส์เข้าร่วมระดมความคิด

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ดีใจที่พี่น้องให้ความสนใจเวทีการมีส่วนร่วมของประชาชน สิ่งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ตนจะนำไปขับเคลื่อนทั่วประเทศ ซึ่งสาขาพรรคเขต 3 ได้ทำตัวอย่างที่ดี มีการระดมความเห็นสมาชิกพรรค แกนนำพรรคทุกตำบล นี่คือการสร้างความเข้มแข็งให้มวลสมาชิก ถือเป็นการสร้างแกนนำ และการขยายฐานสมาชิกที่ดีที่สุด และมีความมั่นคง เพราะถ้าเรามีสมาชิกและแกนนำที่เข้มแข็งจะไม่มีใครทำอะไรได้ เปรียบเสมือนต้นไม้ที่มีรากหยั่งลึก ไม่ว่าจะมีพายุพัดมาสักเท่าไหร่ก็ยังคงอยู่ ได้เห็นการทำงานของคณะกรรมการเขต 3 แล้วว่ากำลังหยั่งรากลึกในพื้นที่จังหวัดสงขลา

"ประชาธิปัตย์ไม่เหมือนกับพรรคอื่น เป็นพรรคเก่าแก่ เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีอุดมการณ์กว่า 76 ปี ก้าวสู่ปีที่ 77 ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน มีหัวหน้าพรรคมาแล้วถึง 7 คน จนถึงคนปัจจุบันนี้ คือนายจุรินทร์ พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ ทุกคนคือเจ้าของพรรค ซึ่งแตกต่างกับพรรคอื่นๆ พรรคยังยืนยันในเรื่องของของการกระจายอำนาจ เพราะนี่คืออุดมการณ์ของพรรค ซึ่งได้ประกาศอุดมการณ์ 10 ข้อในขณะตั้งพรรคเมื่อปี 2489 ซึ่งข้อที่ 3 ได้ระบุว่า พรรคจะเทิดทูนในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในเรื่องของอุดมการณ์ข้อ 5 พรรคจะกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มากที่สุด เพราะท้องถิ่นจะใกล้ชิดกับประชาชน" นายนิพนธ์ กล่าว

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า โดยเฉพาะนโยบาย 3 นโยบายของนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ในการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค คือ กระจายอำนาจ โดยออก พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนตำบล ยกฐานะตำบลให้เป็นองค์การบริหารส่วนตำบล ทำให้วันนี้ชนบทหายออกไปจากประเทศไทยสู่การพัฒนาเป็นเมืองขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ พร้อมเตรียมจัดทำในเรื่องของงบประมาณใหม่ เพื่อนำมาลงในท้องถิ่น การกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ โดยการตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาจนจบปริญญา การให้เด็กนักเรียนได้มีโอกาสดื่มนมโรงเรียนตั้งแต่ศูนย์เด็กเล็ก จนถึงชั้น ป.6

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ถึงวันนี้ในเรื่องของเงินตอบแทน อสม.ก็มีในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงริเริ่มในเรื่องของเงินผู้สูงอายุก็เช่นเดียวกัน นี่คือนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่เกิดคือในเรื่องของคุณภาพชีวิต รวมถึงในเรื่องของการจัดที่ทำกิน ดังนั้น พี่น้องสบายใจได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาดูแลพี่น้องประชาชนอีกครั้ง อย่างนโยบายการประกันรายได้เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ต่อรองในการเข้าร่วมรัฐบาล นี่คือการกระจายรายได้สู่พี่น้องเกษตรกรทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพดอาหารสัตว์ นี่คือสิ่งที่จะเรียนกับพี่น้อง อยากให้หาแกนนำสมาชิกที่เป็นเป้าหมายสู่สุดท้ายคือการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น

'เพื่อไทย' ชี้การหาร 500 ไม่ได้ทำให้พรรคกังวลเรื่องแลนด์สไลด์ แต่กังวลไม่อยากให้ความเชื่อมั่นในระบบการเมืองถูกมัดสไลด์ (Mudslide) หรือ 'โคลนถล่ม'

ทีมสื่อพรรคเพื่อไทย รายงานว่านายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงข้อวิจารณ์พรรคเพื่อไทยว่าออกมาตีโพยตีพายเพราะการแก้ร่างกฎหมายประกอบ รธน.ให้หาร 500 จะดับฝันแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยว่า ตนเห็นว่าพรรคเพื่อไทยมิได้กังวลเรื่องนั้น พรรคใดจะชนะแลนด์สไลด์ขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชนซึ่งเราต้องเคารพ และการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดแลนด์สไลด์ได้ ถ้าประชาชนต้องการเลือกเพื่อไทย ซึ่งคนในพรรคตระหนักว่า รธน.ฉบับนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพรรคเพื่อไทย และยังมีบทบัญญัติที่ไม่เป็นธรรมเช่นมาตรา 272 ที่ให้อำนาจ ส.ว. โหวตนายกฯได้ เป็นต้น 

ดังนั้นประเด็นที่ถกเถียงกันจึงไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยกังวลเรื่องแลนด์สไลด์ แต่สิ่งที่กังวลคือ ประเทศจะปล่อยให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญขัดและใช้บังคับก่อนรัฐธรรมนูญไม่ได้ การทำเช่นนั้นจะมีผลกระทบต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม การปกครองที่ยึดหลักกฎหมายและหลักนิติธรรม ตนเห็นว่าการดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองเช่นนี้ อาจได้ผลระยะสั้น แต่กระทบระบบการเมืองและระบบกฎหมายในระยะยาว และได้ไม่คุ้มเสีย "เราคงต้องติดตามต่อไปว่าท้ายที่สุดบทบัญญัติในกฎหมายประกอบ รธน.เรื่องการหาร 500 และการกลับไปใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสมจะมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายหรือไม่ ขอย้ำว่าพรรคไม่ได้ห่วงประโยชน์ตนเรื่องชนะแลนด์สไลด์หรือไม่ แต่ห่วงว่าความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบการเมืองจะได้รับผลกระทบถูกมัดสไลด์หรือโคลนถล่ม"

ตั้งข้อสังเกตงบกรมศุลกากร 3 โครงการ 4,000 ล้าน โยงเอี่ยวบริษัท บริจาคเงินเข้า พปชร.

Nation Online รายงานว่านายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงตัวอย่างในการ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่า มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง โดยผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รวมถึงนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง กรณีกรมศุลกากรที่มีหน้าที่เก็บภาษีและมีด่านตรวจเก็บภาษีทั่วประเทศ ซึ่งมีการติดตั้งกล้อง CCTV ตามด่านทั่วประเทศ เพื่อตรวจจับว่าของหนีภาษี

โดยกรมศุลกากรได้มีการของบประมาณ 670 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2563-2567 เป็นค่าบำรุงรักษา CCTV จึงตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเรื่องแปลกเพราะในเมื่อซื้อของใหม่บริษัทย่อมมีประกัน แต่ทำไมต้องเสียค่าบำรุงรักษา พร้อมถามว่าทราบได้อย่างไรว่าเครื่องจะเสีย และมีการตั้งงบประมาณล่วงหน้าเผื่ออนาคต เท่ากับว่าเป็นเงินกินฟรี 

นอกจากนี้ยังมี งบประมาณค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซม เครื่องเอ็กซเรย์ตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ 1,800 ล้านบาท ปี 2563-2566 ทั้งที่ด่านต่าง ๆ ทั่วประเทศ ถูกปิดช่วงการแพร่ระบาด โควิด-19 ซึ่งเป็นงบประมาณที่ไม่โปร่งใสส่อไปในทางทุจริต อีกทั้งยังมีการของบประมาณเพิ่มในระยะที่ 5 อีก 1,437 ล้านบาท รวม 3 โครงการเป็นเงิน  4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่จ่ายให้กับบริษัทเดียวกันกับบริษัทที่ขายเรือดำน้ำ 

พร้อมเปิดเผยสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง เครื่องเอ็กซเรย์ตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ 1,800 ล้านบาท ระหว่างกรมศุลกากรกับบริษัท "เอเอ.นุ๊กเทค จำกัด" ซึ่งมี "นายชินะวัฒน์ อำนวยพล" เป็นผู้รับมอบอำนาจ ซึ่งเป็นนามสกุลที่เชื่อมโยงกับบริษัทที่ขายเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ให้ อีกทั้งเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ยังมาจากประเทศจีน ซึ่งนายชินะวัฒน์ มีความเชื่อมโยง กลับนายอาณัติ อำนวยพล ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทณัฐพล จำกัด ที่ทำสัญญา กับบริษัท CSOC ในการขายเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ให้กับไทย

และนามสกุลอำนวยพล ยังเป็นหนึ่งในผู้ที่บริจาคเงินให้กับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส และ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องรับผิดชอบ เพราะสัญญาเหล่านี้ผ่าน ครม. พร้อมขอให้ติดตามการอภิปรายจริง และอย่ามาบอกว่าฝ่ายค้านเล่นแรง เพราะครั้งนี้เป็นการอภิปรายครั้งสุดท้าย เล่นเบาไม่ได้ต้องมีการได้เสียเกิดขึ้น มั่นใจว่าหลักฐานครั้งนี้จะน็อก พล.อ.ประยุทธ์ ได้แน่นอน

'พลังชล' พร้อมทุกกติกาเลือกตั้งทั้งสูตรหาร 100-500 สิ่งอยากเห็นคือมาตรฐานสากล

เว็บไซต์บ้านเมือง รายงานว่านายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังชล กล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองต่างๆ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การคิดคำนวณคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งวิธีหารด้วย100และ500ว่า ตามที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภา พิจารณาและลงมติร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ในวาระ2 มาตรา23 เสร็จสิ้น ได้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ตามแต่ละมุมมองความคิดเห็นของพรรคการเมืองนั้นๆ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เป็นเรื่องปกติ เพราะต่างฝ่ายต่างนำเสนอ วิธีคิดคำนวนแบบนั้นแบบนี้ น่าจะดีที่สุดสำหรับพรรคการเมืองของตน แต่ขั้นตอนกระบวนการยังไม่แล้วเสร็จ ต้องรอการพิจารณาวาระ3 ในชั้นลงมติร่างกฎหมายดังกล่าวทั้งฉบับอีกครั้ง 

"เข้าใจว่าหลังจากนั้นประธานสภาฯ ส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญและหน่วยงานต่างๆซึ่งเป็นขั้นตอนปกติแล้ว ขณะที่พรรคการเมืองบางพรรค อาจจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชี้ขาดเช่นกัน ผลที่จะออกมา จะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครทราบ แต่ส่วนตัวขอเรียกร้องให้ ทุกฝ่ายเคารพ ยอมรับผลคำวินิจฉัย และเดินหน้าเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"  เลขาธิการพรรคพลังชล กล่าวและว่า 

สำหรับพรรคพลังชล มีความพร้อม ที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมทางการเมือง ที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วน ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ทุกประการ ตนอยากเห็นกติกาการเลือกตั้งเป็นมาตรฐาน เป็นสากล เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ว่ากติกาการเลือกตั้ง จะออกมาในรูปแบบไหน พรรคพลังชลพร้อมยอมรับ สู้ทุกกติกาในสนามการเลือกตั้ง และจะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งอย่างแน่นอน ส่วนจะส่งผู้สมัครลงในพื้นที่ใดบ้าง และตั้งเป้าส.ส.ไว้จำนวนกี่คน ยังบอกไม่ได้ เพราะต้องรอให้กติกาการเลือกตั้งมีความชัดเจน และเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเสียก่อน ถึงจะประเมินออกมาได้

'สร้างอนาคตไทย' ไม่หวั่นสูตรคำนวณ ส.ส. 500 เผย พรรคเตรียมพร้อมทั้งสองแบบ พร้อมเดินตามยุทธศาสตร์พรรค รอจังหวะเปิดตัว 'สมคิด'

เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานว่านายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวถึงสูตรการคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 ว่ามีหลายมุมมอง ทั้งทางกฎหมาย ทางการเมือง พรรคเราเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะหาร 100 หรือ 500 ยุทธศาสตร์เรามีชัดเจน เราวางทั้งสองแบบไว้ตั้งแต่ต้น เรามียุทธศาสตร์ทั้งพื้นที่เขต และพยายามให้ได้คะแนนที่จะส่งผลต่อปาร์ตี้ลิสต์ ดังนั้นตัวหารจะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ยุทธศาสตร์เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเรา

“เราเดินตามยุทธศาสตร์ของพรรคสู่สนามเลือกตั้งตามที่เราวางไว้ ให้ความสำคัญกับงานในพื้นที่ เราส่งในทุกพื้นที่ เราหวังผลในเรื่องของเขต ขณะเดียวกันในเรื่องของกระแส ที่จะส่งผลต่อระบบปาร์ตี้ลิสต์ เรามีบุคลากร มีนโยบายที่สามารถตอบโจทย์ให้ประชาชนได้ เราเร่งเครื่องทั้งสองส่วนให้เป็นที่สนใจของผู้ลงสมัครส.ส.ในนามพรรค ขณะเดียวกันในภาพรวมให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าพรรคสามารถอาสามาทำงานในภาวะวิกฤตินี้ได้แค่ไหน ซึ่งก็จะส่งผลในเรื่องคะแนนปาร์ตี้ลิสต์”

หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่าในส่วนแคนดิเดตนายกฯ ยังยืนยันเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ส่วนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ก็อยู่ที่ช่วงจังหวะและเวลาที่เหมาะสม

แนะรัฐบาลหาแนวทางรับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งปีหลัง

Nation Online รายงานว่านายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อเก็บมาฝากปากท้อง พูดถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในประเด็นเกี่ยวกับพลังงาน โดยเฉพาะกรณีการปรับราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นหลายครั้ง โดยระบุว่า 

สัปดาห์นี้ข่าวคราวเรื่องปากท้อง ที่ผมเอามาเล่านี่ก็เป็นเรื่องพลังงาน ครับ

“ราคาน้ำมัน สัปดาห์นี้นี่ขึ้นลงเหมือนขึ้นรถไฟเหาะเลยครับ”

ในต้นเดือนปรับเปลี่ยนขึ้นลงไปแล้วมากกว่า 3 ครั้ง ทำเอานักวิเคราะห์คาดเดากันแทบไม่ทัน

ที่น่าสนใจราคาตลาดน้ำมันในช่วง 2-3 วันมานี้ ลดลงและต่ำสุดในรอบ 12 สัปดาห์ อยู่ที่ 98.53 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ลบ 1 %

ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดที่ 100.69 ดอลลาร์/บาร์เรล ลบ  2 %  น้ำมันดิบดูไบ ปิดที่ 101.52 ลบ 9 % (6 ก.ค. 65)

เราจึงเห็นราคาน้ำมันดิบปรับลด 3 บาทและ 1.50 บาท สำหรับแก๊สโซฮอลล์ในสองสามวันที่ผ่านมา

ขณะที่อีกวัน (7 ก.ค. 65)ราคากลับดีดตัวขึ้นมาอีกหลังจากท่อส่งน้ำมัน Caspian Pipeline Consortium (CPC) ถูกระงับลง 30 วัน ส่งผลให้ตลาดกังวลเรื่องอุปทานที่จะตึงตัวหลังจากนี้ 

ผลดังกล่าวทำตลาดน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 3 - 4 % ภายในวันเดียว!!!

ความกังวลเหล่านี้จะมีอยู่อย่างต่อเนื่องแน่นอนครับ ปัจจัยเสริมที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครน ที่คาดว่าจะยังไม่จบง่าย ๆ รวมถึงสถานการณ์ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบ อย่าง รัสเซียและอิหร่าน 

ความไม่แน่นอนในเรื่องราคาน้ำมันยังคาดเดาได้ยากต้องพร้อมตั้งรับกันครับ

ความกังวลหลักตอนนี้ และคาดว่าจะส่งผลกระทบถึงปลายปีนี้ คือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หลัง ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายกว่า 0.75% เพื่อมุ่งลดภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าหลายๆประเทศ คงใช้วิธีทำนองเดียวกันในการสกัดปัญหานี้

ความถดถอยที่ว่า เป็นสภาวะที่เศรษฐกิจโตช้า กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงเช่น มีการจับใช้จ่ายสอยน้อยลงเพราะของแพง การเดินทางน้อยลงเพราะออกจากบ้าน 1 ครั้ง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ กระทบไปถึงภาคผลิต ของแพงก็ขายได้น้อย ต้องลดต้นทุนลงสินค้าบางอย่าง กำไรที่มีน้อยการจ้างงานก็ลดลง คนว่างงานก็เพิ่มขึ้น เหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่า “สภาวะเศรษฐกิจถดถอย”

ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์เพิ่งประกาศออกมาว่า เงินเฟ้อบ้านเรา สูงถึง 7.66% ถ้าเทียบจากปีก่อนหน้า นั่นหมายความว่า ปีที่แล้วกับปีนี้ พี่น้องประชาชนจับจ่ายของที่แพงขึ้นเป็นเท่าตัวจากเลยครับ จาก ร้อยละ 99.93 เป็น 107.58 ในปีนี้ โดยสำหรับหมวดสินค้าที่ดันให้ราคาข้าวของแพงขึ้น แน่นอนครับว่า เป็นสินค้าในกลุ่มพลังงานและอาหาร

จากสถานการณ์ทั้งหมดคงเป็นครึ่งปีหลังของความไม่แน่นอนของการค้าขายทำมาหาเลี้ยงชีพ สภาวะข้าวของแพง แรงกดดันจากหนี้สิน แนวทางแก้เศรษฐกิจที่แม่นยำและทันสถานการณ์บนงบประมาณที่จำกัดของรัฐบาลคือความท้าทายบนความทุกข์ของประชาชนครับ

'ประยุทธ์' ออกแถลงการณ์ 'กลยุทธ์ 3 แกน สร้างอนาคต' ฉายภาพแก้ปัญหาปากท้อง ความยากจนให้หมดไป

วานนี้ (9 ก.ค.) เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกแถลงการณ์ถึง กลยุทธ์ 3 แกนสร้างอนาคต ว่า วันนี้ผมอยากพูดกับทุกท่าน เกี่ยวกับอนาคตของบ้านเรา และการเดินหน้าต่อไปของประเทศไทย ตอนนี้ ประเทศไทย กำลังกลับเข้าสู่ภาวะการใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงปกติแล้วข้างหน้าของเรายังมีอีกหนึ่งภัยร้าย ที่ใหญ่ ยิ่งกว่า รอเราอยู่ นั่นคือ เราจะอยู่รอดอย่างไร จากการโหมกระหน่ำของพายุการขึ้นราคาทุกอย่าง ซึ่งสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นส่วนสำคัญยิ่งที่กระตุ้นให้ข้าวของแพง ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมัน อาหาร ค่าขนส่ง จนถึงขั้น ทำให้บางประเทศในภูมิภาค เข้าใกล้การล่มสลายทางเศรษฐกิจ

วันนี้ ผมขอใช้เวลาซักนิด เล่าเรื่องสำคัญ คือ กลยุทธ์ภาพใหญ่ของผม ที่จะมาแก้ปัญหาปากท้อง และความยากจน ให้หมดไปเสียที ที่ผ่านมา หลายรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศในช่วงระยะสั้นๆ ได้ดำเนินนโยบายระยะสั้น แก้ปัญหาความยากจนเฉพาะหน้า หรือมีโครงการลดแลกแจกแถมต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า บางโครงการเป็นสิ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤติเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่โครงการแบบนั้น ไม่ใช่วิธีที่จะแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืน และแน่นอนว่าวิธีการเหล่านั้น ไม่ทำให้ใครรวยขึ้นมาได้

เพราะฉะนั้น ผมจึงตั้งใจเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่น ที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อช่วยทุกคน ให้สามารถสร้างรายได้ ได้มากขึ้น อย่างยั่งยืน ผมขอให้ทุกท่านเดินหน้าไปกับผม ในช่วงเวลาที่ภารกิจระยะยาวเพื่อทุกคน ที่ผมได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ผมกำลังขับเคลื่อน กลยุทธ์ภาพใหญ่ที่มี 3 แกนหลัก ที่จะมายกระดับความรุ่งเรืองของประเทศเป็น 3 แกนหลักที่กำลังจะเสร็จ และกำลังจะพร้อมที่จะช่วยเราทุกคนได้ในอนาคตอันใกล้

แกนที่ 1: คือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ที่ใหญ่ที่สุด และบูรณาการมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ประเทศไทย โครงการสร้างทางรถไฟ ถนน สนามบิน หรือท่าเรือ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความรุ่งเรืองมั่งคั่งของทุกคน โครงการที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างยาวนานหลายปี และตอนนี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

เป็นสิบๆ ปีที่ผ่านมา รัฐมักจะวางแผนโครงการที่สวยหรูมากมาย ทั้งการสร้างทางรถไฟ ถนนสนามบิน และท่าเรือ แต่สุดท้าย แผนโครงการที่สวยหรูเหล่านั้นก็ถูกเก็บขึ้นหิ้ง จนฝุ่นเกาะ และไม่เคยถูกทำให้เกิดขึ้นจริง – กลายเป็นว่า ประชาชนหลายสิบล้านคน ยังคงต้องใช้ชีวิตกันต่อไป โดยไม่ได้รับประโยชน์จากการมีโครงสร้างพื้นฐาน และการคมนาคมขนส่งที่ดีกว่า และถูกกว่า ที่ในที่สุดแล้ว จะช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชน สร้างรายได้ ได้มากขึ้นด้วย

ความมุ่งมั่นหลักของผม คือ ทำอย่างไรให้โครงการนับร้อยๆ เหล่านั้น เกิดขึ้นจริงให้ได้ และเป็นไปอย่างบูรณาการ

เพราะผมรู้ว่า เมื่อโครงการทางรถไฟ โครงการรถไฟความเร็วสูง ถนน ท่าเรือ และสนามบินต่างๆ เกิดขึ้นจริง โครงการเหล่านั้นจะเชื่อมต่อกัน เหมือนต่อจิ๊กซอว์ภาพใหญ่ได้สำเร็จ และนั่นคือเวลาที่เราจะคาดหวังถึงความเจริญรุ่งเรืองอย่างก้าวกระโดดของประเทศเราได้ – และเมื่อโครงการต่างๆ เหล่านั้นเชื่อมต่อกัน จะเป็นเหมือนสะพานเชื่อม เป็นเครื่องมือให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง และประเทศได้

โครงการสำคัญต่างๆ ของเรา ในทุกมุมของประเทศ มีความคืบหน้าไปมากพอสมควร และเริ่มใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

แกนที่ 2: ของกลยุทธ์ภาพใหญ่ของผม เพื่อที่จะสร้างความมั่งคั่งรุ่งเรืองให้กับคนไทย คือแกนที่เกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงต่างๆ เป็นภาคอุตสาหกรรมที่หล่อเลี้ยงเชื่อมต่อไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจขนาดเล็กอีกมากมาย ตลอดจนดึงเงินมหาศาลให้ไหลเข้าประเทศไทย ผ่านการส่งออกต่างๆ เป็นตัวขับเคลื่อนความมั่งคั่งรุ่งเรืองของไทย ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แต่วันนี้อุตสาหกรรมนี้ กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงครั้งใหญ่ เพราะการเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก เป็นเวลาที่ผู้ผลิตยานยนต์อาจจะต้องเลือกที่จะสร้างโรงงานผลิตรูปแบบใหม่ ในประเทศต่างๆ ดังนั้น เราต้องเดินหน้าให้เร็ว และเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ที่กำลังพยายามจะใช้โอกาสนี้ ดึงเอาอุตสาหกรรมยานยนต์ออกไปจากประเทศไทย ให้ไปอยู่ในประเทศของเขา เพราะฉะนั้น ผมได้ขับเคลื่อน และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่สำคัญของโลก เราต้องล็อกผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลก ให้อยู่ในประเทศไทย และเราต้องช่วยให้เรื่องต่างๆ ง่ายขึ้นสำหรับเค้า ในการที่เค้าจะลงทุนเพิ่ม และขยายธุรกิจของเขาในประเทศไทย ถ้าเราทำสำเร็จ เส้นทางนี้จะเป็นรากฐานที่สำคัญที่เกื้อหนุนหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมต่างๆ และประเทศไทยให้มั่งคั่งต่อไปได้ อีกเป็น 20-30 ปีข้างหน้า วันนี้ เราเดินมาได้ไกลแล้วด้วยการทำงานอย่างรวดเร็ว และบูรณาการหลายหน่วยงาน จนผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลกหลายราย แสดงเจตนารมณ์ว่าจะเดินหน้าตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เราจะต้องทำ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เพื่อให้ได้ข้อสรุปกับผู้ผลิตยานยนต์ต่างๆเหล่านั้น

และอีกส่วนหนึ่งของภารกิจในแกนหลักที่ 2 ของผม คือ เราจะต้องทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า มีราคาที่ถูกลง สำหรับคนไทยทุกคน

ผมจะให้รายละเอียดเพิ่มเติม และความคืบหน้า เกี่ยวกับกลยุทธ์แกนที่ 2 นี้ ประมาณช่วงเดือนหน้าครับ

แกนที่ 3: ของกลยุทธ์ภาพใหญ่ของผมในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงให้กับประเทศ เพื่อที่จะช่วยทุกคนให้สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้อย่างยั่งยืน คือ เรื่องเกี่ยวกับภาคการธนาคารของเรา และวิธีการทำงานของธนาคาร

ตอนนี้ ประเทศไทยเรามีประชาชนมากกว่า 30 ล้านคนที่ไม่สามารถกู้เงินได้ และบางคนอาจจะไม่เคยมีบัญชีธนาคารเลยด้วยซ้ำ

เราต้องกลับมาถามตัวเองว่า ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ในเมื่อธนาคารและเงินกู้จากธนาคาร คือหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่ประชาชนสามารถใช้ในการสร้างอนาคตและความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้ รวมทั้งช่วยให้เขาสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่มีปัญหาไปได้ โดยที่ธุรกิจไม่ล้ม หรือไม่ต้องหมดเนื้อหมดตัว

ในขณะเดียวกัน ถ้าเราสามารถหาหนทาง ที่จะทำให้ประชาชน 30 ล้านคนเหล่านั้น เข้าถึงระบบธนาคาร สามารถขอเงินกู้ และใช้บริการต่างๆ จากธนาคารได้ เราก็จะสามารถกระตุ้นความมั่งคั่งรุ่งเรืองให้กับประเทศเราได้ด้วย

มีคนเก่งๆ หลายล้านคนที่ทำมาหากินเอง หรือมีธุรกิจเป็นของตัวเอง รวมไปถึง มอเตอร์ไซค์รับจ้างและส่งของ และคนที่ทำงานอิสระในโลกของเศรษฐกิจแบบดิจิทัล นอกจากนั้น เรายังมีคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ที่ฉลาด และมีหัวการค้า มากมายในประเทศไทย คนที่พร้อมที่จะสร้างธุรกิจใหม่ๆ ธุรกิจดีๆ แห่งอนาคต นับพันๆ ธุรกิจ สร้างความร่ำรวยให้กับตัวพวกเค้าเอง และในขณะเดียวกัน ก็สร้างความรุ่งเรืองให้กับประเทศด้วย เราต้องส่งเสริมเค้า และทำให้เค้าสามารถเข้าถึงเงินกู้ได้ง่ายขึ้น

ทำไมเจ้าของร้านค้าขายเล็กๆ ตามท้องถนน ถึงกู้เงินจากธนาคารง่ายๆ บ้างไม่ได้ ทั้งๆ ที่ร้านของเขา ก็ขายดี มีลูกค้าประจำ

เราต้องหาทางที่จะทำให้เงินทุนที่จำเป็น ไปถึงมือเจ้าของกิจการเล็กๆ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่สมควรจะได้รับมัน

ธนาคารต้องหาทางที่จะเดินหน้าให้มากไปกว่าวิธีการหรือระบบแบบเดิมๆ ที่มักจะปล่อยเงินกู้ให้แค่คนรวย ธุรกิจใหญ่ๆ หรือคนที่มีเอกสารทางธุรกิจที่พร้อมเท่านั้น

ถึงเวลาแล้วครับ

ธนาคารจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าที่เป็นคนตัวเล็กๆ และทำมาค้าขายเลี้ยงตัวเองให้มากยิ่งขึ้น คนกลุ่มนี้จะเป็นพลังที่สำคัญมากต่อความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเราควรต้องส่งเสริมครับ เพื่อระดมพลังสร้างสรรค์มาช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ ความร่ำรวยของคนทำมาค้าขายเล็กๆ เจ้าของร้านค้า หรือคนรุ่นใหม่ อยู่ที่สมองและสองมือของเค้า อยู่ในหัวใจที่มุ่งมั่นที่จะทำงานหนัก

เทคโนโลยีสามารถช่วยให้ธนาคารต่างๆ ประเมินความสามารถในการคืนเงินกู้ ของผู้กู้ ที่เป็นคนตัวเล็ก ๆ ได้

ดังที่เราได้เห็นจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกา และในยุโรปแล้วว่า การดิสรัปชั่นของธนาคารดิจิทัลใหม่ๆ ที่ผสานเอาเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในการประเมินผู้กู้ ทำให้ธนาคารสามารถขยายเงินกู้ออกไปได้กว้างมากขึ้น ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ไปถึงคนที่ตั้งใจดี และขยันทำมาหากินนับล้านๆ คน ผู้ซึ่งไม่เคยเข้าถึงเงินกู้ของธนาคารแบบเดิมๆ แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้ จะสามารถช่วยธนาคารต่างๆ ให้เกื้อหนุนให้คนไทยอีกนับล้านๆ คน สามารถเดินหน้าไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

การเปลี่ยนแปลงนี้ คือหนทางสำคัญที่จะกระจายความมั่งคั่งร่ำรวย จากคนที่รวยอยู่แล้ว ที่สามารถกู้เงินได้ และทำให้รวยยิ่งขึ้น กระจายออกไปสู่คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำมาค้าขายหรือทำธุรกิจ และคนที่ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกันเงินกู้ ให้เขาสามารถกู้เงินเพื่อธุรกิจค้าขายของเค้าได้และเดินหน้าไปสู่ความร่ำรวยได้

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำการศึกษาแล้ว เกี่ยวกับการผลักดันให้ภาคการเงินของประเทศไทยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และทำให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินต่างๆ ได้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมอยากจะขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกที่แย่ลงทุกวัน จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน บอกเราว่า เราต้องเดินหน้าให้เร็วยิ่งขึ้น ผมต้องการเห็นธนาคารต่างๆ ในประเทศไทย และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เร่งเครื่อง กระบวนการต่างๆ เหล่านี้ เพื่อทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงให้ได้ และเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนทุกคน

ผมรู้ว่า มีหลายๆ ธนาคารกำลังมองและทำเรื่องที่ผมกล่าวอยู่นี้ ผมขอให้ธนาคารเหล่านั้น เดินหน้าให้เร็วขึ้น และขอให้เป็นพลังที่สำคัญมากยิ่งขึ้น สำหรับสิ่งดีๆ ของประเทศ และช่วยยกระดับประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดี ที่เราสมควรจะมี

พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ

ผมเชื่อลึกๆ ว่า คนไทยทุกคน ในทุกมุมของสังคม มีสิ่งเดียวที่เขาต้องการขอจากรัฐบาล คือ ขอให้ช่วยสร้างแพลตฟอร์มที่ประชาชนจะสามารถช่วยเหลือตัวเขาเองได้ และขอให้รัฐทำสิ่งต่างๆที่จะช่วยประชาชนทุกคนให้ได้รับโอกาสที่เป็นธรรม ที่พวกเค้าจะสามารถสร้างชีวิตของตัวเองให้มั่งคั่งได้

3 แกนสำคัญที่ผมพูดถึง จะเปิดโอกาสที่มากขึ้นในการสร้างความมั่งคั่งรุ่งเรืองให้กับประชาชนนับล้านๆ แกนที่หนึ่งคือขับเคลื่อนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แกนที่สอง คือผลักดันภาคอุตสาหกรรม และทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะไม่หลุดออกจากเมืองไทยเรา ไปอยู่ในประเทศอื่น แต่ต้องทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแห่งหนึ่งของโลกให้ได้ และแกนที่สามคือพลิกโฉมภาคการธนาคาร ให้กลายเป็นผู้ช่วยเหลือประชาชนที่มากขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาใช้ในการทำงานของธนาคาร

ด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราจะสามารถสร้างความมั่งคั่งและรุ่งเรืองได้ ในแบบที่กระจายไปทีเดียวทั่วไปทั้งหมด และนั่นคือหนทางเดียว ที่เราสามารถเอาชนะปัญหาปากท้องการหาเลี้ยงตัวเองที่มาบั่นทอนเราอยู่เรื่อยๆ เสมอๆ ได้ ถ้าทุกอย่างเหล่านี้เชื่อมถึงกัน ความมั่งคั่งรุ่งเรืองก็จะเกิดขึ้น ถ้าอุตสาหกรรมใหญ่ต่างๆ เกื้อหนุนไปสู่ผู้ประกอบการเล็กๆ ความมั่งคั่งรุ่งเรืองก็จะเกิดขึ้น ถ้าธนาคารต่างๆ ช่วยเป็นพลังให้คนทั่วไป ทั้งในระดับรากหญ้าและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ที่สมควรจะได้รับเงินกู้ ก็แน่นอนว่าความมั่งคั่งรุ่งเรือง จะตามมา

นี่คือเรื่องที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสอดคล้องกับยุคสมัยใหม่และอนาคตภารกิจของผมคือ ทำให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ ตอนนี้สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกือบที่จะเสร็จแล้ว เราเดินมาได้ไกลแล้วครับ ตามกลยุทธ์ และตอนนี้ ใกล้ถึงเวลาที่เราจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้แล้ว

ผมขอบคุณทุกท่าน ที่ใจเย็นกับผม ให้ผมได้เอาแผนโครงการที่ยิ่งใหญ่ ผลักดันมาสู่การปฏิบัติจริง ผมไม่ใช่คนที่แสดงออกหรือนำเสนออะไรได้เก่งนัก แต่ผมรู้ว่า ผมจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้นจริงได้ บางครั้งผมอาจจะพูดอะไรที่ฟังดูตลก แต่ขอให้ทุกท่านรู้ว่า ผมบริสุทธิ์ใจ และหัวใจของผมอยู่กับประชาชนทุกคน และอยู่กับประเทศไทยครับ

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมได้เชิญชวนทุกท่านให้ร่วมมือกัน ต่อสู้กับภัยร้ายสำคัญของประเทศ นั่นคือโควิด-19 ซึ่งทุกคนได้ตอบรับและร่วมมือกันอย่างดี จนเราประสบความสำเร็จได้ ไม่เพียงแค่ต่อสู้กับโควิดได้สำเร็จ แต่ประเทศไทยได้โชว์ให้ทั้งโลกเห็นว่า เราเป็นประเทศที่จัดการกับโควิดได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

วันนี้ ผมขอเชิญชวนทุกคน ให้มาร่วมมือกันด้วยสปิริตแบบเดิมนั้นอีกครั้ง ร่วมแรงร่วมใจกันทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ช่วยกันต่อสู้กับโรคระบาดความยากจน และช่วยกันสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแรง – ประชาชนทุกคนทุ่มเทความรู้ ความมุ่งมั่น การทำงานหนัก พลังสร้างสรรค์ จิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นคนไทย ส่วนผมจะขับเคลื่อนรัฐบาล ให้ทำโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดให้สำเร็จ ช่วยทำภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ให้แข็งแรง และช่วยภาคการธนาคารให้ทำงานอย่างสอดคล้องและตอบโจทย์ยุคสมัยใหม่ เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้ ผมเชื่อว่าเราทำได้ครับ และเราจะได้เห็นการผลิดอกออกผล ในเวลาไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า

ลงมือครับ เชื่อมไทยเดินหน้า

เลขา ครป. ชี้ 3 แกนของ 'ประยุทธ์' เป็นต้นเหตุความเหลื่อมล้ำและความยากจนของคนไทยทั้งประเทศ เพราะบริหารแบบทุนนิยมเผด็จการ หยุดสร้างหนี้และหลอกขายฝันประชาชน

นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ เสนอ 3 แกนแก้ปัญหาความยากจนในประเทศไทยว่า ผมเห็นว่าความคิดของประยุทธ์ เพ้อเจ้อ หลอกขายฝันประชาชนไปวันๆ ทั้งๆ ที่ 8 ปีที่ผ่านมา ประยุทธ์ เป็นแก่นแกนแห่งความยากจนของคนไทยทั้งประเทศ ถามว่าวันนี้นายกฯ ไปกู้เงินมากี่ล้านล้านบาทแล้ว ทำไมประชาชนไทยยังจน

นโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมาทำให้ช่องว่างการกระจายรายได้ระหว่างคนจน-คนรวยแย่ที่สุดในโลก 3 แกนการพัฒนาของนโยบายประชารัฐ โดยให้เอกสิทธิ์กลุ่มทุนพวกพ้องเข้ามาช่วยทำ นำไปสู่ประชาชนไทยเป็นหนี้ และยากจนลง จึงต้องมีโครงการแจกเงินคนจนหมุนเวียนรายเดือน เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนจากบนลงล่าง และจากล่างขึ้นบนไปสู่กระเป๋าเจ้าสัวในที่สุด ทำให้คนจนจนลง เกิดการกระจุกตัวของความร่ำรวยเฉพาะบางกลุ่ม

ข้อเสนอของประยุทธ์ แกนที่ 1 คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ให้สัมปทานเฉพาะเจ้าสัวกลุ่มทุนผูกขาดที่อิงแอบกับรัฐบาล ยึดทรัพยากรของรัฐ ไฟฟ้า พลังงาน ไปให้สัมปทานเอกชน บางโครงการให้งบรัฐไปอุดหนุน กำไรเอกชนเอาไป ยกตัวอย่างแอร์พอร์ตลิ้งค์ที่รัฐลงทุนหลายหมื่นล้านก็จะยกให้เอกชนไป การที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% แล้วจ้างเอกชนบริหารจัดการไม่เหมือนกับยกให้เอกชนร่วมเป็นเจ้าของทรัพย์สินแล้วบริหารเอากำไร  จริงๆ แล้ว ปตท.กระทรวงการคลังควรถือหุ้น 100% แทนคนไทยทั้งชาติแล้วจ้างบริษัทมหาชนบริหารจัดการได้ แต่รัฐพยายามยกเอกสิทธิ์ทุกอย่างให้กลุ่มทุนผูกขาดผลประโยชน์แทนคนไทยโดยอ้างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะมีประโยชน์อะไรถ้าโครงสร้างตึกรามใหญ่โตนั้นรัฐไม่ได้เป็นเจ้าของแล้วประชาชนต้องจ่ายราคาแพง ทั้งค่าน้ำมันราคาแพง ค่ารถไฟฟ้าขึ้นราคา ค่าทางด่วนไม่รู้กี่ทอด  ทั้งยังค่าไฟขึ้นราคาอีก ผูกขาดไปทุกระบบ ผลประโยชน์ตกกับกลุ่มทุน รัฐเป็นหนี้มหาศาลและมากที่สุดในประวัติศาสตร์

แกนที่ 2 คือแกนที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งนายกฯ คงไม่ทราบว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมเหล่านี้มีแต่จะจ้างงานน้อยลง เพราะใช้เทคโนโลยี AI และเครื่องจักรมากขึ้น รวมทั้งเป็นผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ และกำลังล้มเหลวในโครงการ EEC เนื่องจากเป็นระบบทุนอุปถัมภ์ เน้นแต่ให้สิทธิประโยชน์เอกชน ลดภาษีส่งเสริมการลงทุน ทั้งๆ ที่ยุคสมัยนี้จะต้องเก็บภาษีกับกลุ่มทุนและภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้าให้มากขึ้น เพื่อเอาส่วนเกินที่ได้ไปจากสังคมที่ผ่านมาสร้างสมดุลย์ทางเศรษฐกิจ ถามอีกว่ารัฐบาลเคยคิดประดิษฐ์แบนด์อะไรของตนเองที่เป็นนวัตกรรมส่งออกหรือไม่ แทบจะไม่มีเลยนอกจากการเป็นนายหน้าขายชาติขายแผ่นดินเพื่อการลงทุนที่จับต้องไม่ได้ ผลที่เกิดขึ้นในเมืองไทยตอนนี้คืออุตสาหกรรมผูกขาด สิทธิแรงงานถูกกดขี่

แกนที่ 3 คือการพลิกโฉมภาคการเงินการธนาคาร พล.อ.ประยุทธ์มีความรู้ด้านนี้ซะที่ไหน ความคิดแบบเสรีนิยมที่ฟังเขามาทำนโยบายอันตรายอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย ทุกวันนี้กลุ่มทุนโลกเข้ายึดธนาคารไทยไปเกือบหมดแล้วและตั้งฐานบัญชาการที่สิงคโปร์ ทำไมไม่ลดช่องว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ที่มันสูงมากจนเกิดการเกร็งกำไรด้านการเงินมหาศาล ไม่แตะต้องนโยบายทางการเงินที่ขูดรีดคนไทยมหาศาล แม้แต่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ต่างๆ ยังมุ่งแต่แสวงหากำไรจากดอกเบี้ย จนชาวบ้านพลัดที่นาคาที่อยู่ ที่ดินทำกินหลุดลอยในมือชาวนาที่ไม่มีปัญหาจ่ายดอก ไปสู่นายทุนที่รออยู่จำนวนมากโดยมีเจ้าหน้าที่คอยส่งโฉนดให้ รัฐบาลเคยคิดถึงการจัดตั้งธนาคารแรงงานที่ไม่เอาเปรียบประชาชนจริงๆ ไหม ทำไมระบบสหกรณ์ต่างๆ แปรรูปไปเป็นการเกร็งกำไรสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนแทบทั้งสิ้น

วันนี้ประเทศเกิดความเหลื่อมล้ำอันดับหนึ่ง เพราะการบริหารประเทศแบบทุนนิยมเผด็จการ สินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้นโดยไม่ปรากฎมาก่อน ไม่มีนโยบายปรับเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง จนหนี้สินประเทศมากล้นพ้นตัว ยากจนทั้งแผ่นดิน ทำงานมา 8 ปีไม่มีให้ต่อเวลาแล้ว หรือท่านจะต่อไปจนชั่วชีวิตไหมล่ะถึงจะพอใจ ให้คนไทยตายให้หมดเพราะคนโง่แล้วขยันแบบนายกฯ ข้ออ้างความจริงใจของท่านคือทุกข์ระกำของคนไทยทั้งชาติหากยังกอดอำนาจไว้ไม่ยอมปล่อย

'ไทยสร้างไทย' ชวนร่วมงานมหกรรมคืนความสุขให้คนไทย ภายใต้แนวคิด "คนตัวเล็ก…คิดใหญ่" สร้างคนตัวเล็กให้เป็นคนตัวใหญ่ชู Soft Power

สำนักข่าว INN รายงานว่าพรรคไทยสร้างไทย นำโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรค นายชัชวาล แพทยาไทย ผู้รับผิดชอบงาน ”มหกรรมคืนความสุข” ครั้งที่ 1 แถลงข่าวความพร้อมการจัดงานมหกรรมคืนความสุขให้ประชาชน ภายใต้แนวคิด “คนตัวเล็ก…คิดใหญ่” 

ซึ่งถือเป็นงานแฟร์ที่ยิ่งใหญ่เป็นการนำ Soft Power ทั้งดนตรีพื้นบ้าน (หมอลำ) อาหาร วัฒนธรรม เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้ารวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในแต่ละพื้นที่ของภาคอีสาน เป็นการรวมพลังคนตัวเล็ก สร้างความสุขและการสร้างรายได้ หลังต้องประสพกับมรสุมโควิด มากว่า 2 ปี

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า พรรคไทยสร้างไทย มีเป้าหมายในการสร้างพลังให้ "คนตัวเล็ก" ให้สามารถเป็น "คนตัวใหญ่" ได้ ทั้งเกษตรกร พ่อค้าแม่ขาย ผู้ประกอบการรายย่อย SMEs ฯลฯ จึงเป็ที่มาของ Campaign "คนตัวเล็ก…คิดใหญ่" โดยครั้งนี้จะเป็นการดึง Soft Power ของชาวอิสานมาเป็นพลังให้กับคนตัวเล็ก สร้างความสุข สร้างรายได้ให้กับพี่น้องชาวอีสาน แม้ว่าพรรคไทยสร้างไทยจะเป็นพรรคใหม่ ไม่มีอำนาจ ยังไม่มีส.ส. หรือยังไม่ได้เป็นรัฐบาล เราก็สามารถสร้างความหวัง และความสุขให้พี่น้องได้ เพราะเราคิดเป็น ทำได้ และลงมือทำทันที

"มหกรรมคืนความสุข" ครั้งที่ 1 "คนตัวเล็ก…คิดใหญ่" จะจัดที่ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ในวันอังคารที่ 12 กค. 2565 นี้ ตั้งแต่เวลา 16:00 น.เป็นต้นไป โดยมีกิจกรรมสร้างความสุขด้วย
-หมอลำดังรัตนศิลป์ และอีสานนิวเจน เต็มวง
-โชว์ของดี ของดังอิสาน
-ชิม ช็อป สินค้าเด็ด ของคนตัวเล็ก
-แข่งขันฟุตบอลเยาวชน

สำหรับขั้นตอนการเข้าร่วมงาน ง่ายๆ เพียงเป็นเพื่อนกับพรรคไทยสร้างไทย ทาง Facebook และ LINE OA ก็สามารถแสกน QR Code เข้างานได้ ที่หน้างาน และหากท่านเป็นสมาชิก "เครือข่ายบำนาญประชาชน" พรรคไทยสร้างไทย มีสิทธิลุ้นรับรางวัลใหญ่ได้ "ลูกวัว" กลับไปเลี้ยง เพื่อสร้างรายได้ในอนาคต หากยังไม่ได้เป็นสมาชิกเครือข่ายบำนาญประชาชนสามารถสมัครได้ที่หน้างาน แล้วร่วมลุ้นรับลูกวัวได้เช่นกัน

สำหรับ พ่อค้าแม่ขาย ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และใกล้เคียง สามารถนำของดีประจำถิ่น ของตนเองมาจำหน่ายได้ฟรีเพียงติดต่อมาที่ Facebook พรรคไทยสร้างไทย โดยต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ ท่านจะต้องเป็นคนตัวเล็ก เท่านั้น

"เพราะคนตัวเล็ก คือสเปคพรรคไทยสร้างไทย"

สมาชิก 'ชาติไทยพัฒนา' พร้อมชาวสุพรรณร่วมอวยพรวันเกิด 'วราวุธ'

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าเมื่อเวลา 09.00น. วันที่ 10 ก.ค. 2565 ที่พรรคชาติไทยพัฒนา จ.สุพรรณบุรี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา เปิดที่ทำการพรรค ต้อนรับประชาชนชาวสุพรรณบุรี รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี และสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ตบเท้าเข้าร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิด ในวันที่ 11 ก.ค. 2565 (วันพรุ่งนี้) กันอย่างชื่นมื่น

นายวราวุธ กล่าวภายหลังว่า วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้พี่น้องประชาชน และขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ได้มาอวยพรวันเกิดของตนในปีนี้

"ผมก็เปรียบเสมือนเครื่องบินถ้าไม่มีลมใต้ปีกอย่างสมาชิกพรรค และพี่น้องชาวจังหวัดสุพรรณฯ เครื่องบินลำนี้มันก็ได้แต่จอดอยู่ในโรงเก็บบินไปไหนไม่ได้ การที่พวกเราจะเดินทางไปด้วยกันจากนี้ จะขึ้นเข้าหรือลงห้วย หรือจะเจออะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากยังมีลมใต้ปีกชาวสุพรรณฯ 8 แสนกว่าชีวิต และคนที่สนับสนุน สมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา ไปที่ไหนผมก็ไม่กลัว"

นายวราวุธ กล่าวอีกว่า 6 ปีแล้ว ที่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 และเป็นบิดาของตน ได้จากไปแต่การที่จังหวัดสุพรรณบุรียังรวมอยู่ได้ ปีหน้าจะเป็นตัววัดว่าเราคนสุพรรณบุรีจะเดินทางไปในทิศทางใด ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ตน และพรรคชาติไทยพัฒนาจะเดินหน้าพัฒนาจังหวัดสุพรรณบุรีต่อไป จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

พปชร. โรดโชว์ชลบุรี มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ได้ ส.ส. 10 ที่นั่งตามเป้า เตรียมเดินสายโรดโชว์จังหวัดอื่นต่อ

Nation Online รายงานว่าที่ จ.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐได้จัดกิจกรรมโรดโชว์ภายใต้แนวคิด “พลังประชารัฐ พลังสร้างชาติไทย” ขึ้นที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี โดยงานจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 17.00 - 20.30 น. โดยไฮไลท์ภายในงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะขึ้นเวทีพบปะกับชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่นท้องที่ และพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียงที่มาร่วมกิจกรรมโรดโชว์ มีแกนนำ ส.ส.พลังประชารัฐ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงรัฐมนตรีของพรรคขึ้นเวทีด้วย โดยมีประชาชนชาวชลบุรี รวมทั้งผู้นำท้องถิ่นท้องที่ และจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมนับหมื่นคน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมโรดโชว์ในวันนี้สาเหตุที่เลือกจังหวัดชลบุรีเป็นที่แรก เนื่องจากเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรค หลังจากนี้จะโรดโชว์ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทุกภูมิภาคทั่วประเทศด้วย ซึ่งวัตถุประสงค์หลัก ๆ ก็เพื่อที่จะเผยแพร่ผลงานของพรรคในห้วง 3 ปีที่ผ่านมาว่า ได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง และจะดำเนินการไปข้างหน้าอย่างไร เพื่อให้ประชาชน และผู้นำท้องถิ่นท้องที่ได้รับทราบ รวมทั้งทิศทางการทำงานของพรรคที่จะต้องขับเคลื่อนในอนาคต เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนที่เป็นแฟนคลับ และสมาชิกพรรค 

พร้อมการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครในภาคตะวันออก ในเขตที่ยังไม่มี ส.ส. พร้อมรับฟังสภาพปัญหาจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากชลบุรีเป็นเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในภาคตะวันออก ปัจจุบันจังหวัดสามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมทางเศรษฐกิจให้กับประเทศสูงสุดเป็นอันดับสอง รองจากกรุงเทพมหานคร การจ้างแรงงานสูงสุดในประเทศไทย พรรคจึงต้องรับฟังสภาพปัญหาจากคนในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดและภูมิภาคในทุกมิติ  

นายสุชาติ ยืนยันว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ตนไม่ได้ทำให้พรรคผิดหวัง สามารถกวาด ส.ส.ในพื้นที่ได้หลายที่นั่ง และการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ ก็จะสามารถกวาด ส.ส. ในพื้นที่ให้ได้ที่นั่งครบ 10 เขต ตามเป้าเช่นเดียวกัน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net