Skip to main content
sharethis
  • คนทยอยเข้า เวทีปราศรัยสุดท้ายพรรคก้าวไกล ชู 'คำตอบสุดท้าย #ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน!' 
  • 'อมรัตน์' ปราศรัยใหญ่อำลาบทบาทผู้แทนราษฎร ลั่นขอใช้เวลาต่อจากนี้ทำหน้าที่กรรมการบริหารพรรค ตรวจสอบพิธาให้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
  • ‘ปิยบุตร’ ชี้ปรากฏการณ์ก้าวไกลไฟลามทุ่ง ลั่น 14 พฤษภาคือการเลือกระหว่างอดีตกับอนาคต สื่อสารถึงคนทุกรุ่น ถึงเวลาฉวยโอกาสกากบาทสร้างความเปลี่ยนแปลง
  • ‘ธนาธร’ ปลุกถึงเวลาประชาชนฝันใหญ่ ย้ำผู้ยุบอนาคตใหม่ล้มเหลวในการทำลายการเดินทางและการเติบโตทางความคิด 'ก้าวไกล' เติบโตพร้อมสังคมไทยอย่างไม่มีทางหวนเวลากลับ เวลานี้คือโมงยามที่ดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนประเทศ
  • ‘พิธา’ ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน “จบปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ พาสังคมไทยไปสู่อนาคต”

ศิริกัญญา ย้ำปักธงความคิดระยะยาว ประเทศก้าวหน้าไปกว่านี้ได้

ฉากเปิดตัวพิธาบนเวทีใหญ่ก้าวไกล | 12 พ.ค. 66 #shorts

12 พ.ค.2566 วันนี้ (12 พ.ค.) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง กรุงเทพฯ ช่วงเย็นพรรคก้าวไกลจัดเวทีปราศรัยสุดท้ายของพรรคก่อนเข้าคูหา ภายใต้สโลแกน "คำตอบสุดท้าย #ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน!"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าประชาชนทยอยเข้าบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ช่วงบ่าย

'อมรัตน์' ปราศรัยใหญ่อำลาบทบาทผู้แทนราษฎร ลั่นขอใช้เวลาต่อจากนี้ทำหน้าที่กรรมการบริหารพรรค ตรวจสอบพิธาให้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า ในการปราศรัยใหญ่ของพรรคก้าวไกล อมรัตน์ โชคปมิตรกุล อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล และกรรมการบริหารพรรคได้ขึ้นปราศรัยใหญ่ โดยถือเป็นการปราศรัยใหญ่เพื่ออำลาการทำหน้าที่ ส.ส. หลังจากที่อมรัตน์ตัดสินใจไม่ลง ส.ส. ในสมัยต่อไป

อมรัตน์เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว พรรคอนาคตใหม่คือพรรคที่กล้าฝันถึงความเปลี่ยนแปลง เมื่อ 4 ปี ผ่านไป เราทำให้ความหวังและความฝันจับต้องได้ด้วยผลงาน 4 ปีในสภา 4 ปีแห่งความเติบโตอย่างก้าวกระโดดของพรรคก้าวไกล ไม่ได้เกิดเพราะว่าโชคช่วย แต่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นที่ยอมรับของพรรคก้าวไกล เกิดจากความทุ่มเททำงานอย่างหนัก ใช้เวลาทุกนาทีในสภายืนอยู่ข้างประชาชน เสนอกฎหมายที่ก้าวหน้า และออกมายืนเคียงข้าง ประชาชนและเยาวชนบนท้องถนนที่พวกเขามาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย

“นับตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหารในปี 2549 และปี 2557 นับถึงวันนี้ 17 ปีแล้ว ไม่มีเวลาไหนใน 17 ปี ที่จะเข้าใกล้ชัยชนะเท่ากับครั้งนี้ ใน 60 ชั่วโมงข้างหน้า การต่อสู้ของนักต่อสู้รุ่นที่ผ่านมา ตกทอดมรดกการต่อสู้ทั้งหมดไม่ได้สูญหายไป แต่ทั้งหมดขบวนการต่อสู้ที่ผ่านมาคือการสะสมชัยชนะ เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นเราทำให้สำเร็จในรุ่นของเรา” อมรัตน์กล่าว

อมรัตน์กล่าวอีกว่า ตนรู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติยศที่ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกล ตนในให้คำมั่นสัญญากับทุกคนในที่นี้ ว่านอกจากจะใช้เวลาทุกวันในการทำงานทางความคิด บทบาทอีกอย่างหนึ่งคือการเป็นตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล อมรัตน์สัญญาว่าจะใช้บทบาทของกรรมการบริหารพรรค ทำหน้าที่ตรวจสอบพิธา ชัยธวัช และพรรคก้าวไกลให้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

อมรัตน์กล่าวว่า ตนในฐานะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ที่จะกำหนดทิศทางนโยบายของพรรคก้าวไกลได้ สัญญาว่าจะตรวจสอบ กำกับดูแลให้พรรคก้าวไกลร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ไม่ให้เขาทรยศหักหลังประชาชนที่ให้ความไว้วางใจเลือกรัฐบาลก้าวไกล จะกำกับดูแลชัให้ปฏิรูปกองทัพ ให้ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ให้เขาทำตามนโยบาย 300 นโยบายให้ลงนามในสัตยาบรรณ ICC ทันที และทำตามกรอบระยะเวลา คือการทำใน 100 วันแรกหลังรัฐบาลก้าวไกลมีอำนาจ

“พี่น้องคะ ดิฉันสัญญาว่าจะเปล่งเสียงแทนทุกท่าน ว่าจะเรียกร้องและตรวจสอบตัวเอง ตรวจสอบพรรคก้าวไกลด้วยกันเอง ดิฉันสัญญาว่าจะไม่ทรยศหักหลัง และจะไม่ให้พี่น้องต้องประสบเหตุแบบเดิมๆ พายเรือมาส่งพวกเราถึงหน้าทำเนียบ แล้วพอขึ้นฟังก็ถีบหัวเรือส่ง บอกว่าส่งเราถึงฝั่งแล้ว หมดหน้าที่ กากระบาดในคูหาเลือกตั้ง 4 วินาทีแล้ว พวกท่านหมดหน้าที่ ท่านส่งเราถึงฝั่งแล้ว เดี๋ยวเราจะเดินต่อไปเอง”

นอกจากนี้ อมรัตน์ยังกล่าวอีกด้วยว่าจะเตือนพวกเขา ไม่ให้ประสบกับความเจ็บปวด เสียใจ แบบที่เคยเป็นมา โดยยึดหลัก ‘แก้แค้น ไม่ใช่แก้ไข’ การแก้แค้นไม่ใช่ไปหยิบอาวุธ ก่อม๊อบทำความวุ่นวายให้บ้านเมือง เราจะแก้แค้นด้วยการออกกฎหมาย แก้กฎหมายความมั่นคงที่ป้องกันการรัฐประหารทั้งหมด

“คำสัญญาของดิฉันในวันนี้ ดิฉันขอแสดงยินดีกับทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ ทุกท่านที่อยู่้ข้างนอก รวมถึงแสดงความยินดีกับตัวเองด้วย ว่าภายในอีกไม่ถึง 60 ชั่วโมงข้างหน้านี้เราจะมีชัยชนะที่เด็ดขาดสำคัญของประชาชน คำตอบสุดท้ายของพวกเรา คือ ‘กาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ ไม่ใช่เพื่อเพียงส่งพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่การชนะครั้งนี้คือการชนะครั้งสำคัญ ไม่ใช่ชัยชนะของพรรคก้าวไกล แต่คือชัยชนะของประชาชน ผู้ทรงอำนาจสูงสุดตัวจริง” อมรัตน์กล่าวทิ้งท้าย

ตั้งแต่ช่วงเย็นภายในอาคารกีฬาเวสน์ 1 มีผู้เข้าชมการปราศรัยเต็ม ทำให้มีผู้นั่งฟังบริเวณภายนอกอาคารด้วยจำนวนมาก

‘ปิยบุตร’ ชี้ปรากฏการณ์ก้าวไกลไฟลามทุ่ง ลั่น 14 พฤษภาคือการเลือกระหว่างอดีตกับอนาคต สื่อสารถึงคนทุกรุ่น ถึงเวลาฉวยโอกาสกากบาทสร้างความเปลี่ยนแปลง

ปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวว่า ที่แห่งนี้ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว วันที่ 22 มีนาคม 2562 ตนมายืนอยู่ที่นี่ที่เดียวกันนี้ ในฐานะเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ 4 ปีผ่านไปเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล การทำงานของสมองมนุษย์จะเรียกเอาความทรงจำในอดีตกลับขึ้นมาทุกครั้ง เพื่อใช้ตัดสินใจอนาคต ทำให้อดีตของเราทุกคนกลายมาเป็น “กรงขังของอดีต” มาครอบงำอนาคตโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นว่ามนุษย์แต่ละคนจะตัดสินใจเรื่องในอนาคตอย่างไร เรากลับเอาอดีตมาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจด้วย

พรรคก้าวไกลต้องการทลายกรงขังของอดีตนี้เพื่อเดินหน้าไปสู่อนาคตใหม่ ด้วยความเชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นผู้ทรงอำนาจ มีศักยภาพ ในการกำหนดอนาคตใหม่ร่วมกัน โดยไม่ต้องทำซ้ำ ทำย้ำแบบอดีต การเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้จะเป็นการปะทะกันระหว่างอดีตกับอนาคต กลุ่มคนที่ครองอำนาจอยู่ปัจจุบันเขาพยายามจะให้เราอยู่กับอดีต อดีตอันเป็นวันชื่นคืนสุขของพวกเขา แต่พวกเราจะยืนยันว่าเราจะเดินหน้าไปสู่อนาคตแบบใหม่ วันที่ 14 พฤษภาคมนี้จะเป็นวันสำคัญให้เราต้องชี้ชะตา ต้องเลือกว่าเราจะเอาอดีตหรือจะเอาอนาคต

ทุกเส้นทางของคาราวานก้าวไกลทั่วประเทศไทย แต่ละเส้นทางที่พวกเราผ่าน แต่ละเวทีที่เราได้ไปปราศรัย ได้พบปะกับพี่น้องประชาชน สายตาของพี่น้องประชาชนที่มองมาที่พวกเรามีแต่ความหวัง มีแต่กำลังใจ นี่คือการเมืองแห่งความหวัง หวังว่ายานพาหนะที่ชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะนำพาความฝันความหวังของทุกคนเข้าไปมีอำนาจรัฐและลงมือทำเปลี่ยนแปลงมัน และด้วยความหวังที่แพร่กระจายไปทั่วเช่นนี้เอง ดุจดั่งปรากฎการณ์ก้าวไกลไฟลามทุ่งทั่วประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้กลุ่มคนที่ครองอำนาจ กลุ่มคนที่อยู่กับอดีต พยายามหยุดพวกเรา

เขาเริ่มเกิดความกลัว เกิดความไม่สบายใจว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้น ความกลัวกับความหวังเป็นห้วงอารมณ์ของมนุษย์ มีพลังมหาศาลในการขับดันพวกเราให้ออกไปต่อสู้ แต่แตกต่างกันตรงที่ความกลัวผลักดันให้มนุษย์ออกไปสู้เพื่อทำลายล้างผู้อื่น ส่วนความหวังจะกระตุ้นผลักดันพวกเราให้ออกไปเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิม

“เขายังกลัวอีกว่าถ้าวันนี้เขาไม่แลนด์สไลด์ เขาจะไม่ได้กลับมามีอำนาจอีก แต่สำหรับพวกเรา เรามีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี และเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปด้วยกัน” ปิยบุตรกล่าว

อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ขอใช้เวทีนี้สื่อสารไปถึงคนทุกช่วงวัย เยาวชนคนรุ่นใหม่ขอให้ทุกคนจงมีความหวังต่อไป อย่าท้อแท้ อย่าท้อถอย เยาวชนคนหนุ่มสาวจะต้องอยู่ในโลกนี้ไปอีกนาน พวกเรามีความชอบธรรมสูงสุดในการกำหนดอนาคตของประเทศไทยด้วยตัวเอง อดทน อดทนด้วยความหวัง ลงมือทำด้วยเจตจำนงที่แน่วแน่ อย่าเพิ่งหนีออกจากประเทศไทยไป

สำหรับคนรุ่นตนที่เริ่มสร้างครอบครัวมีบุตรหลานเข้าสู่วัยเรียน ชีวิตแต่ละคนจะมีคุณค่าได้ ต้องมีคุณค่าในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ออกจากพื้นที่อันปลอดภัยของตนเอง แล้วกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมร่วมกัน เราจะทนส่งมอบสังคมแบบนี้ให้กับลูกหลานของเราในรุ่นถัดไปไม่ได้

“เราจะมีชีวิตสุขสบายได้อย่างไร ถ้าในรอบตัวเราในสังคมไทยยังมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอยู่แบบนี้ คนรุ่นผมที่หวังประสบความสำเร็จใจหน้าที่การงาน เราจะปล่อยให้สังคมที่คนจนจนต่ำเตี้ยติดดิน คนรวยรวยล้นฟ้าจนนับเงินไม่หวาดไม่ไหวอย่างนี้ต่อไปได้อย่างไร เราจะปล่อยให้เยาวชนลูกหลานของเรายังต้องอยู่ในวงจรรัฐประหารต่อไปได้อย่างไร” ปิยบุตรกล่าว

ปิยบุตรกล่าวว่า สำหรับคนรุ่นก่อนตน ที่ผ่านการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แล้ววันนี้รู้สึกว่าตนเองประสบความพ่ายแพ้ รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองคิดฝันเป็นไปไม่ได้แล้วในสังคมไทย ตนอยากสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาว่าเมื่อวันที่พวกท่านอยู่ในวัยหนุ่มสาวท่านก็มีความฝันอยากเห็นสังคมใหม่ อยากเห็นโลกใหม่ แล้ววันนี้สังคมใหม่ โลกใหม่ สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นแล้ว จะหยุดยั้งมันทำไม มาร่วมกันทำความฝันเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง อย่าคิดแต่เพียงว่านี่เป็นเรื่องเพ้อฝันและความฝันอยู่ได้แค่ยอดต้นมะพร้าว ไม่จริงครับ เราจะเปลี่ยนแปลงโลกใหม่ไปด้วยกัน

“เสียงระฆังแห่งการเปลี่ยนแปลงดังอยู่หน้าประตูบ้านทุกท่านแล้ว จงรีบหยิบฉวยโอกาสเหล่านี้มาลงมือเปลี่ยนแปลงด้วยกัน ถ้าหากเราทิ้งโอกาสนี้ไป อาจจะเสียใจไปตลอดชีวิต” ปิยบุตรกล่าว

ปิยบุตรกล่าวว่า ทุกคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชนมีคุณค่า มีความหมายในการเลือกตั้งครั้งนี้มาก ไม่ได้ทำให้แค่ ส.ส. บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่อีกบัตรอีกใบที่พี่น้องไปกา ส.ส.เขต มีความสำคัญยิ่ง เพราะผู้สมัคร ส.ส. ไม่มีระบบคะแนนจัดตั้งหรือกลไกเครือข่ายอุปถัมภ์ในพื้นที่ ดังนั้นการต่อสู้แข่งขันในการเลือกตั้งของพวกเรา เชื่อเหลือเกินว่าเวลาจะชนะกันในแต่ละเขตคะแนนจะเบียดกันสู้สีมาก ดังนั้นพี่น้องที่แบ่งใจไปให้ที่อื่นๆ ไม่กาให้ก้าวไกล ก็มีโอกาสที่ ส.ส. เขตจะสอบตกได้ นี่คือความสำคัญของทุกคะแนนเสียง มีคุณค่ามากมายมหาศาลที่จะกำหนดว่าเราจะได้ผู้แทนราษฎรแบบพรรคก้าวไกลได้หรือไม่

“คะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่กาให้พรรคก้าวไกล หากเกิน 10 ล้าน 11 ล้าน 12 ล้าน นั่นหมายความว่าคนไทย 30-40% สนับสนุนพรรคก้าวไกล แม้ว่าพวกเราจะถูกกระทำย่ำยีมาตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ ถูกเหยียบกระทืบให้จมดิน ถูกย่ำยีบีฑา แต่ถึงเวลาผู้คนก็ยังพร้อมใจกันออกมาสนับสนุนพรรคก้าวไกลมากกว่าเดิม ที่สำคัญที่สุด คะแนนเสียงทั่วประเทศคือสัญลักษณ์ว่าคนเหล่านี้อยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้คือตัวแทนของพลังแบบใหม่ที่จะทำให้พลังแบบเก่าล้มระเนระนาดไป”

ปิยบุตรทิ้งท้ายว่า 14 พฤษภาคมนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมมือร่วมใจกันไปกากบาทพรรคก้าวไกลให้ถล่มทลาย ให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม หยุดอดีต เดินหน้าไปสู่อนาคตแบบใหม่ คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน

‘ธนาธร’ ปลุกถึงเวลาประชาชนฝันใหญ่ ย้ำผู้ยุบอนาคตใหม่ล้มเหลวในการทำลายการเดินทางและการเติบโตทางความคิด 'ก้าวไกล' เติบโตพร้อมสังคมไทยอย่างไม่มีทางหวนเวลากลับ เวลานี้คือโมงยามที่ดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนประเทศ

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุว่า จากพรรคอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคก้าวไกล เราไม่ใช่แค่พรรคการเมือง แต่คือผู้คนและการเดินทาง เราได้เดินทางผ่านสิ่งต่างๆ และลงมือทำสิ่งต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทั้งในและนอกสภา ไม่ว่าจะเป็นต่อการทุจริตคอร์รัปชัน อิทธิพลมืด ค้ายาเสพติด ตำรวจตั๋วช้าง การผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ ที่เป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำ ปฏิบัติการไอโอของกองทัพในการยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเป็นศัตรูกันเอง การใช้งบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างที่เต็มไปด้วยความผิดปกติของกองทัพ การต่อสู้เพื่อสิทธิของแรงงาน เพื่อสิทธิที่ดินของชาวบ้าน คนไทยพลัดถิ่น และกลุ่มคนต่างๆ ที่ไร้ปากเสียงในสังคม และในขณะที่เพื่อนพรรคก้าวไกลของเราทำงานอยู่ในสภาฯ คณะก้าวหน้าก็ทำงานอยู่ในระดับท้องถิ่น เช่น การทำน้ำประปาให้ดื่มได้ที่ ต.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด พัฒนาระบบการแพทย์ทางไกลในตำบลไปพร้อมกัน

ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าคุณค่าเรื่องคนเสมอภาคเท่าเทียมเป็นคุณค่าที่เรายึดถือมาตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ มาจนเป็นพรรคก้าวไกล ทุกคนเป็นคนเท่าเทียมกัน ควรเข้าถึงบริการของรัฐอย่างเสมอภาคกัน เราปฏิบัติตามคุณค่าที่เรายึดถือ ไม่ใช่แค่สโลแกนสวยๆ ที่แปะไว้หน้าพรรค แต่คือการกระทำ และเหตุผลที่เรากล้าเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพล กลุ่มทุนผูกขาด ก็เพราะพวกเขาไม่ใช่นายของเรา นายของเรามีคนเดียวนั่นก็คือพี่น้องประชาชนเท่านั้น พรรคการเมืองนี้เป็นพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน เป็นของประชาชน และดำรงอยู่เพื่อประชาชน นี่คือพวกเราอนาคตใหม่-ก้าวไกล

ธนาธรยังกล่าวต่อไป ว่าและไม่ใช่แค่ในสถานการณ์ปกติเท่านั้น แต่ในสถานการณ์คับขันเราก็พร้อมเดินไปกับประชาชน หลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ คลื่นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากคนหนุ่มสาวที่ไม่เคยมีใครคาดเดามาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้ปรากฏขึ้นมา การเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทำให้คนที่เคยถอดเสื้อแดงกล้าหยิบมาใส่ใหม่ด้วยความภาคภูมิใจ เปิดประตูความเป็นไปได้ใหม่ๆ ประเด็นที่เคยอ่อนไหวถูกเรียกร้องออกมาอย่างซึ่งๆ หน้า และเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปตลอดกาล

ในยามที่ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่คนไหนในบ้านเมืองนี้ออกมายืนยันในสิทธิเสรีภาพในการพูด คิด เขียน และการประกันตัวของประชาชน ไม่มีใครออกมายืนยันเผชิญหน้าความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน ในยามที่สังคมโหยหาเสียงแห่งเหตุผล พิธา ได้แสดงความเป็นผู้นำออกมาให้เห็นอย่างกล้าหาญ ตอบสนองเสียงเรียกร้องแห่งยุคสมัย เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองคนแรกและคนเดียวในรอบ 10 ปี ที่กล้าออกมาพูดความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ ในสภาผู้แทนราษฎร อย่างมีวุฒิภาวะ อย่างเห็นอกเห็นใจและเข้าใจทุกฝ่าย ขณะที่ยังดำรงความหนักแน่นทางการเมืองไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย นี่คือเหตุผลที่พิธาเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองของประเทศไทยในวันนี้

“ราคาที่ต้องจ่ายคือการยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่นี่เป็นการลงทุนที่สุดคุ้ม ไม่มีธนาธรก็มีพิธา ไม่มีปิยบุตรก็มีชัยธวัช ไม่มีพรรณิการ์ก็มีพริษฐ์” ธนาธรกล่าว

ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าทุกเรื่องที่เราทำนั้น เราทำท่ามกลางคำปรามาสว่าเราไม่มีประสบการณ์ และขณะที่เป็นฝ่ายค้านทั้งสิ้น แล้วคิดดูว่าในวันนี้เรามีประสบการณ์แล้ว เราจะทำได้ดีกว่านี้ขนาดไหน จากพรรคอนาคตใหม่มาเป็นพรรคก้าวไกล เราเติบโตขึ้นอย่างองอาจกว่าเดิมพร้อมการตื่นรู้ที่มากขึ้นของสังคม เขาต้องการทำลายการเดินทางและความคิดของเรา ทั้งสองเป้าหมายนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การเดินทางของเราไม่ได้ถูกทำลายลง คนที่มาฟังการปราศรัยของเราที่นี่ มากกว่าเมื่อสี่ปีที่แล้วถึง 4-5 เท่า เรื่อง 112 ที่เคยเป็นวาระต้องห้ามของสังคมไทย วันนี้กลายเป็นวาระสาธารณะที่แลกเปลี่ยนกันได้อย่างกว้างขวางแล้ว 3 ปีหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ เมล็ดพันธุ์ได้เติบโตงอกงาม เพดานได้ถูกยกขึ้น พวกเขาล้มเหลวในการทำลายเราโดยสิ้นเชิง

เวลานี้โมงยามแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว ไม่มีทางที่จะหวนคืนทุกอย่างกลับได้แล้ว ประชาชนตื่นรู้ทางการเมืองแล้ว และจะไม่ยอมกลับไปหาอดีตที่มืดมิดอีก นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของประเทศไทยที่จะเปลี่ยนแปลง โอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ไม่มีเวลาไหนที่ฉันทามติเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะดังสนั่นทั้งแผ่นดินเท่าเวลานี้ เวลานี้เป็นเวลาแห่งการฝันใหญ่ ไม่ใช่เวลาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัว

“หน้าที่ของผมในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลจบลงที่เวทีนี้ ต่อไปเป็นหน้าที่ของทุกคน ในวันที่ 14 พ.ค. ที่จะส่งพรรคก้าวไกลไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่งพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี” ธนาธรกล่าว

'ชัยธวัช' ลั่นพรรคก้าวไกลคือคำตอบของยุคสมัย อย่าให้การเลือกตั้ง 14 พ.ค. นี้เป็นสงครามครั้งสุดท้ายของใคร แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

ชัยธวัช ตุลาธน กล่าวในการปราศรัยใหญ่ของพรรคก้าวไกล “คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ว่า พรรคก้าวไกลคือคำตอบของยุคสมัยที่โจทย์การเมืองสำคัญ คือคำถามที่ว่าอำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของใคร พรรคก้าวไกลคือพลังทางการเมืองที่จะทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน การเมืองแบบเดิมสนใจเฉพาะการเอาชนะเลือกตั้ง แต่ไม่เคยเอาชนะความคิดในสังคม  ย้ำ เรากำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของยุคสมัย อย่าทำให้การเลือกตั้ง 14 พ.ค. นี้เป็นเพียงสงครามครั้งสุดท้ายของใคร แต่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคสมัยใหม่

ชัยธวัชเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่าแต่ละยุคสมัย โจทย์ของการเมืองไทยแตกต่างกันออกไป เมื่อ 30 ปีก่อน การเมืองไทยเป็นแบบรัฐราชการที่นายกรัฐมนตรีเป็นแค่ปลัดประเทศ สังคมจึงต้องการนายกฯ ที่เข้มแข็ง ต่อมาการปฏิรูปการเมืองธงเขียว การเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 40 ทำให้เกิดพรรคการเมืองน้องใหม่ที่ชนะได้ด้วยการขายนโยบาย รัฐบาลเข้มแข็งจนสามารถส่งมอบนโยบายได้ จนประชาชนให้ความนิยมสูง อำนาจการเมืองจึงย้ายมารวมศูนย์ที่อำนาจจากการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายเครือข่ายอำนาจเก่าที่ไม่ต้องการให้อำนาจจากการเลือกตั้งกลายเป็นอำนาจสูงสุด จึงก่อรัฐประหารถึง 2 ครั้ง

ดังนั้น โจทย์การเมืองใหม่ที่เป็นปัญหาใจกลางของยุคสมัยนี้ คือ อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของใคร แล้วอำนาจทางการเมืองของประเทศนี้ รวมศูนย์อยู่ที่ไหน จะอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลจากการเลือกตั้ง หรืออยู่ที่อำนาจกองทัพ องค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ และเครือข่ายทุนใหญ่ที่แนบแน่นกับอำนาจตามจารีตประเพณี

“แน่นอนครับ เรายังต้องการการเมืองที่แข่งขันกันเชิงนโยบายเพื่อตอบโจทย์ความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน แต่การแข่งขันนโยบายเพื่อการกินดีอยู่ดีจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่แก้โจทย์ของยุคสมัยใหม่ไปด้วย” ชัยธวัชกล่าว

ชัยธวัชกล่าวว่าพรรคก้าวไกลเกิดขึ้น เพราะต้องการสร้างพรรคการเมืองของประชาชน เพื่อผลักดันโครงการเปลี่ยนประเทศไทยผ่านระบบรัฐสภา ทำให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนอำนาจสูงสุดของประชาชน เพราะการเมืองเดิมสนใจแต่เรื่องการเอาชนะเลือกตั้ง จึงไม่มีโครงการเปลี่ยนประเทศไทยเพื่อสร้างประชาธิปไตย จึงไม่มีการปฏิรูปกองทัพ คิดแต่จะเอาใจนายพล หวังว่านายพลจะใจดีด้วย การเมืองเดิม สนใจแต่จำนวน ส.ส. ในสภา เอาชนะเลือกตั้งถล่มทลายได้ แต่ไม่เคยเอาชนะความคิดในสังคม รัฐบาลที่แม้จะชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย จึงไม่สามารถปกป้องอำนาจของประชาชนได้ ไม่สามารถผลักการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมือง โครงสร้างเศรษฐกิจ และโครงสร้างสังคมได้

“ก้าวไกลจึงเป็นคำตอบแห่งยุคสมัย ทำงานการเมือง เพื่อเอาชนะทางความคิด และทำงานทางความคิด เพื่อเอาชนะทางการเมืองในที่สุด ก้าวไกลจึงไม่ใช่แค่พรรคการเมือง แต่ก้าวไกลคือสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง คือพลังใหม่ที่กำลังจะมาแทนที่พลังเก่า คือโครงการเปลี่ยนประเทศไทย” ชัยธวัชกล่าว

สุดท้าย ชัยธวัชกล่าวว่า 5-10 ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุด เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงรอยต่อแห่งยุคสมัย แต่สังคมไทยยุคใหม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่า พลังกลุ่มไหนจะขึ้นมามีพลังเหนือกลุ่มอื่นๆ ถ้าพลังที่ต้องการแช่แข็งประเทศไทยชนะ หน้าตาของสังคมไทยในอนาคตจะเป็นแบบหนึ่ง แต่ถ้าพลังที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยชนะ หน้าตาของสังคมไทยในอนาคตก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง

“14 พฤษภาคมนี้ จะเป็นวันชี้ชะตาอนาคตของประเทศไทย พวกเราต้องช่วยกัน อย่าทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นสงครามครั้งสุดท้ายของใคร แต่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคสมัยใหม่ ด้วยการกาก้าวไกลทั้งสองใบให้ถล่มทลาย ไม่ต้องกลัวว่าคะแนนจะตกน้ำ เพราะทุกคะแนนที่กาให้ก้าวไกล จะยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลง แค่ลงคะแนนให้ก้าวไกลถล่มทลาย สังคมไทยก็เปลี่ยนไปแล้วทันที” ชัยธวัชกล่าวทิ้งท้าย

‘พิธา’ ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน “จบปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ พาสังคมไทยไปสู่อนาคต”

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ร่วมเวทีปราศรัยใหญ่พรรคก้าวไกล ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน โดยกล่าวว่า ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่วันนี้ เพราะมีความฝันและความหวังแบบเดียวกัน เราเชื่อเหมือนกันว่า ประเทศไทยที่เรารักดีกว่านี้ได้ ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ ถ้าเราเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ความฝัน ความหวัง ของพวกเรานั้นเรียบง่าย หลากหลาย ตรงไปตรงมา

สำหรับพี่น้องในภาคเหนือ ความฝันของประชาชนเพียงแค่มีอากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจ มีที่ดินทำกินของตัวเอง สำหรับพี่น้องภาคอีสาน สิ่งที่เราต้องการคือไม่ให้หน้าแล้งต้องขนน้ำไปหาคน หน้าฝนไม่ต้องขนคนไปหาน้ำ สำหรับพี่น้องภาคตะวันออก ขอแค่ไม่ต้องทนกับกลิ่นเน่าเหม็นของเหมืองหรือโรงงานขยะ สำหรับคนวัยเกษียณ ความฝันของประชาชนเรียบง่ายเพียงแค่รัฐบาลจะดูแลคุณมากกว่าไข่ต้มฟองเดียว ส่วนใครที่อยู่ในวัยเดียวกับตน วัยที่เป็นพ่อคน เราอยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ขีดเขียนโดยประชาชน มีการกระจายอำนาจให้ประชาชนเลือกผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด สำหรับคนรุ่นใหม่ อยากเห็นการยกเลิกเกณฑ์ทหาร เอาอำนาจนิยมออกจากการศึกษาไทย

“ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ผมเดินทางไปรวบรวมความหวัง ความฝันของผู้คนทั่วประเทศ เห็นข้อจำกัดของการเมืองไทยที่ผ่านมาแจ่มชัดมากขึ้น วันนี้ ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน เพื่อจบปัญหาเก่าในอดีต เผชิญปัญหาใหม่ในปัจจุบันอย่างมีวุฒิภาวะ แล้วพาสังคมไทยไปสู่อนาคตที่เราไม่เคยไปถึงมาก่อน” พิธากล่าว

พิธากล่าวว่า ปฏิเสธกันไม่ได้ว่า สิ่งที่ฉุดรั้งสังคมไทยเอาไว้ สำคัญมากๆ คือเราติดหล่มความขัดแย้งทางการเมืองมาไม่ต่ำกว่า 17 ปี วันนี้พวกเราก็ยังบอกไม่ได้ว่าระบบการเมืองแบบไหนที่เรายอมรับที่จะอยู่ร่วมกันได้ แต่จะจบปัญหานี้ได้ ต้องยุติวงจรรัฐประหาร เริ่มต้นกันที่การปฏิรูปกองทัพอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้บรรลุ 3 เป้าหมาย คือ (1) ทำให้กองทัพอยู่ภายใต้พลเรือน (2) ทำให้กองทัพจิ๋วแต่แจ๋ว กองทัพมีขนาดเล็กลง แต่โปร่งใสขึ้น ทันสมัยขึ้น มีสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อยมากขึ้น และ (3) ภารกิจของกองทัพมีเพียงป้องกันภัยความมั่นคงจากภายนอกประเทศ ส่วนปัญหาความมั่นคงภายใน ปล่อยให้เป็นเรื่องของพลเรือน เช่นนี้แล้ว กองทัพก็จะมีศักดิ์ศรี ไม่มาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน

สำหรับคนที่เคยเห็นด้วยกับการรัฐประหารนั้น ตนเข้าใจว่าหลายท่านไม่ไว้วางใจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มองเห็นการเมืองในสภาเป็นเรื่องสกปรก เกลียดการคอร์รัปชัน ผลประโยชน์ทับซ้อน ระบบอุปถัมภ์ หรือการใช้อำนาจโดยมิชอบ ตนอยากจะบอกทุกคนว่า 17 ปีที่ผ่านมา มันได้ให้บทเรียนแก่พวกเราอย่างสาสมแล้วว่า การเมืองดีๆ ที่เราอยากเห็นนั้นไม่มีทางลัด มีแต่ต้องทำให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงมากขึ้นๆ เท่านั้น ถึงจะแก้ปัญหาที่เราไม่พึงปรารถนาได้ การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั้นไม่มีอยู่จริง และนักการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งต่างหาก ที่ฉ้อฉลและตรวจสอบไม่ได้ยิ่งกว่านักการเมืองจากการเลือกตั้ง

ดังนั้น เพื่อจบปัญหาเก่าให้ได้ สิ่งที่รัฐบาลก้าวไกลจะทำไปพร้อมกับการปฏิรูปกองทัพ ยุติวงจรรัฐประหาร คือตนจะทำให้สังคมกลับมาศรัทธาในระบบรัฐสภาอีกครั้ง จะยกระดับคุณภาพของนักการเมืองไทย สร้างระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ระบบป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ ที่มีประสิทธิภาพ สิ่งที่พวกเราต้องการ คือ ‘ระบบการเมืองที่ดี’ ไม่ใช่การเมืองที่ฝากความหวังไว้กับ ‘คนดีย์’ ที่บางทีรู้หน้า แต่อาจไม่รู้ใจ

พิธากล่าวว่า ทุกสังคมย่อมมีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย สังคมไทยก็เช่นกัน เกิดความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ ความปรารถนาแบบใหม่ เกิดพลังทางสังคมใหม่ๆ และเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้น ย่อมถูกต่อต้านจากสิ่งเก่า แต่สุดท้าย เชื่อว่าสังคมไทยจะหาจุดลงตัวได้ เป็นจุดลงตัวที่ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด เป็นจุดลงตัวที่เรายอมรับร่วมกันได้ แม้จะไม่เห็นตรงกันทุกเรื่อง และจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องสร้างสังคมไทยให้พร้อมรับความแตกต่างหลากหลาย บริหารจัดการความเห็นต่างไม่ให้กลายมาเป็นความขัดแย้ง ด้วยการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก และทำให้เรามีระบบนิติรัฐ มีระบบกฎหมายที่ดี มีกระบวนการยุติธรรมที่ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทำให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเจ้าของประเทศ เป็นเป้าหมายหลักของรัฐ ความมั่นคงของชาติคือความมั่นคงของประชาชน ไม่ใช่มองประชาชนเป็นศัตรูของชาติ

พิธากล่าวว่า ความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่เป็นผลมาจากปัญหาที่คนรุ่นก่อนหน้าสร้างทิ้งเอาไว้ นั่นคือการนำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ถ้าไม่มีใครอิงแอบสถาบันเพื่อก่อรัฐประหาร ถ้าไม่มีใครเอาเรื่องล้มล้างสถาบันมาปลุกปั่นทางการเมืองให้คนเกลียดชังกันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ถ้าเราไม่ใช้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือมาทำลายล้างกัน วันนี้เยาวชนจำนวนมากที่ตกเป็นผู้ต้องหาตาม ม.112 คงได้ใช้ชีวิตวัยเยาว์อย่างที่ควรจะเป็น ไม่ถูกกักขังจำกัดเสรีภาพ

“ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่ๆ อย่างมีวุฒิภาวะ แก้ปัญหาที่ต้นตอ ด้วยการยุติการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นการเมือง แล้วหากุศโลบายที่ดีเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จัดวางพระราชอำนาจและพระราชสถานะให้เหมาะสมสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ทำแบบนี้สถาบันจึงจะดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามในสังคมไทย”

พิธากล่าวว่า เมื่อจบปัญหาเก่า จัดการปัญหาใหม่ได้ เราจะสร้างฉันทามติของสังคมไทยใหม่ แล้วพวกเราจะมีสมาธิ มีสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อนำพาประเทศไปสู่อนาคต นายกพิธา และทีมพิธาในรัฐบาลก้าวไกล พร้อมจะวางรากฐานใหม่ที่มั่นคงของสังคมไทยด้วยระบบรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ สร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตด้วย เปิดโอกาสและแบ่งปันความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรมด้วย การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยกเครื่องระบบราชการและระบบงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ กระจายอำนาจให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด ปฏิวัติระบบการศึกษาให้เท่าทันโลก นี่คือการจบปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ พาสังคมไทยไปสู่อนาคต

“ผมพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผม ไม่ว่าท่านจะโหวตหรือไม่โหวตให้ผม ผมก็จะรับใช้ท่าน ผมพร้อมจะนำประสบการณ์และความเข้าใจทั้งต่อโลกเก่าและโลกใหม่ มาบริหารประเทศเพื่อไปสู่อนาคตใหม่ของประเทศไทยที่ไปไกลกว่าที่เคยเป็นมา ผมพร้อมจะนำประสบการณ์ที่มองเห็นข้อจำกัดของการเมืองแบบเดิม เพื่อทำในสิ่งที่การเมืองในอดีตทำไม่สำเร็จ 14 พฤษภาคมนี้ ไปเลือกตั้งด้วยความหวัง ไม่ใช่เลือกด้วยความกลัว เลือกเพื่อออกจากอดีต เลือกเพื่อไปสู่อนาคต ไม่ใช่เลือกเพื่อวนกลับไปที่เดิม คำตอบสุดท้าย ชัดเจน ตรงไปตรงมา มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง กาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ถึงเวลาประชาชนกล้าฝันใหญ่ ก้าวให้ไกล ก้าวไปด้วยกัน” พิธากล่าว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net