รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้การขยายตัวเศรษฐกิจไทยต่ำสุดในอาเซียน มองไม่สามารถพลิกฟื้นได้ด้วยการแจกเงิน 'ดิจิทัลวอลเล็ต' หรือเปิด 'คาสิโนเสรี'

สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ | แฟ้มภาพเพจเอ้ สุชัชวีร์ 

23 มิ.ย. 2567 เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา  รายงานว่าสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอาเซียน ว่าขณะนี้ เศรษฐกิจไทยกำลังถดถอยและตกต่ำ ไม่ว่าจะอ้างอิงดัชนีไหนหรือตัวชี้วัดอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่น่าวิตกกว่า คือไม่ใช่การถดถอยตามภาวะเศรษฐกิจทั่วไป เพราะหลังจากโลกก้าวข้ามวิกฤติโควิด -19 มาได้ หลายประเทศก็กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เว้นแต่ประเทศไทยที่ฟื้นตัวช้าที่สุดในกลุ่มอาเซียน ซึ่งในปีที่แล้ว (2566) เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9 ลดลงจากร้อยละ 2.5 จากปีก่อน และที่สำคัญ การส่งออกสินค้าของไทยลดลงถึงร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงผลตอบแทนในตลาดหุ้นของไทยยังต่ำที่สุดในโลกอีกด้วย

สุชัชวีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเศรษฐกิจของไทย ที่ไม่ใช่แค่อัดฉีดเงินเข้าระบบแบบนโยบายแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นทันที เพราะภาคการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจ กำลังมีปัญหาผุกร่อนจนถึงระดับรากลึก ส่วนการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกของไทยอยู่ในขั้นตกยุค และกำลังไม่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก เนื่องจากเราไม่มีการปรับตัวเพื่อพัฒนาการผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง เลย ประเทศไทยยังคงพึ่งสินค้าส่งออกที่ใช้เทคโนโลยีระดับต่ำหรือกลาง มานานกว่า 30 ปีแล้ว และสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ คือ สินค้าอุตสาหกรรมเหล่านี้กำลังพ้นสมัยไปแล้ว ด้านอาการของภาคการผลิตและส่งออกของไทยตอนนี้ เปรียบเหมือนอาการเคว้งคว้าง เพราะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลางก็เริ่มย้ายไปหาประเทศที่ค่าแรงต่ำกว่าแทน  

สุชัชวีร์ กล่าวด้วยว่า การผุพังถึงฐานรากเช่นนี้ ไม่สามารถแก้ไขหรือพลิกฟื้นได้ด้วยการแจกเงินดิจิทัล หรือเปิดคาสิโนเสรี ที่จะมีผลเพียงกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่การจ้างงานที่แท้จริงจะไม่เกิดขึ้น แต่ยังจะมีส่วนในการสร้างหนี้สาธารณะให้มากยิ่งขึ้น จากที่ตอนนี้สูงถึงร้อยละ 60 ของ GDP แล้ว ขณะที่หนี้ภาคครัวเรือน หรือหนี้สินส่วนตัวของคนไทยก็สูงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ด้วยอัตราร้อยละ  90.6 ของ GDP (ไตรมาส 1/2566) ด้วยเหตุนี้ ตนจึงตั้งข้อสังเกต ว่า ทางออกอยู่ที่ไหน รัฐบาลไทยแก้ปัญหาตรงจุดหรือยัง การหวังพึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวเพียงพอไหม การกระตุ้นการบริโภคในประเทศด้วยนโยบายแจกเงิน จะได้ผลแค่ไหน หรืออาจเปรียบเหมือนเป็นเพียงแค่ไฟไหม้ฟาง ด้วยการสร้างความหวังกับเงินแจก 10,000 บาท