เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.วันนี้ (27 พ.ค.) เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด 7 จุด ในพื้นที่เขตตัวเมืองหาดใหญ่

สถานที่เกิดเหตุ ประกอบด้วย 1. สี่แยกท่งเซียเซียงตึ๊ง ถ.ศุภสารสังสรรค์ (มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย) 2. ศาลพระภูมิห้างสรรพสินค้า Big C (เบื้องต้นมีรายงานผู้บาดเจ็บจำนวน 7 ราย ผู้ชาย 6 ราย  ผู้หญิง 1 ราย) 3. บริเวณแยกฉื่อฉาง 4. ตรงข้ามโรงแรมการ์เด้นโฮม ถ.ฉัยยากุล 5. โรงแรมเจบี หาดใหญ่ ถ.จุติ 6.ด้านหน้าร้านยาหมอเภสัช 7.หน้าห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส

จุดเกิดเหตุทั้งหมดตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นระเบิดที่ซุกซ่อนไว้ในถังขยะ ยกเว้นจุดที่เกิดขึ้นที่โรงแรมเจ.บี.หาดใหญ่ ที่มีผู้ขว้างระเบิดเข้าไป ทั้งนี้ ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า วัตถุระเบิดที่ใช้ เป็นระเบิดแสวงเครื่องหรือระเบิดชนิดใด รวมถึงวิธีการจุดชนวนระเบิด ที่ยังไม่ชัดเจนว่า เป็นการจุดชนวนโดยโทรศัพท์มือถือ หรือการใช้นาฬิกา โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ตัดสัญญาณมือถือทุกระบบ และกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกห่างพื้นที่เกิดเหตุ

สำนักข่าวเนชั่นรายงานว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงเหตุการณ์การวางระเบิดที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หลายจุดว่า ได้ประสานงานในทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องรวมถึง กอ.รมน. หน่วยเก็บกู้ระเบิด เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร เข้าไปดูเรียบร้อยแล้ว น่าจะควบคุมพื้นที่ได้ ทั้งนี้เป็นระเบิดลูกเล็กๆ นำไปวางตามที่ต่างๆ หวังผลระเบิดเล็กน้อย ไม่น่าเป็นห่วง เจ้าหน้าที่ลงไปควบคุมในพื้นที่ รอตรวจสอบอยู่

"เป็นระเบิดลูกเล็ก ๆ กระป๋องนม ไปวางตามที่ต่าง ๆ หวังผลระเบิดเล็กน้อย ไม่น่าเป็นห่วง เจ้าหน้าที่ลงไปควบคุมในพื้นที่ รอตรวจสอบอยู่ เราวิเคราะห์กันในชั้นต้น เป็นระเบิดลูกเล็ก ไม่หวังผลในทางทำลาย เป็นการก่อกวน ไม่ได้หวังผลทำลายอะไร"พล.อ.สนธิกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 49 เคยเกิดเหตุระเบิดเมืองหาดใหญ่มาแล้ว 5 จุด ที่บริเวณหน้าห้องน้ำชั้น 5 โรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้าไดอาน่า ดีพาร์ทเม้นสโตร์ ถนนศรีภูวนาถ, ประตูทางเข้า-ออก ห้างสรรพสินค้าโอเดี้ยน ชอปปิ้งมอลล์ ถนนธรรมนูญวิถี, ผับดีพวอร์เนอร์ ชั้นใต้ดินห้างสรรพสินค้าโอเดี้ยน, หน้าเชอร์รี่นวดแผนโบราณ ห่างจากห้างสรรพสินค้าโอเดี้ยน ประมาณ 100 เมตร และตู้เอทีเอ็มหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาหาดใหญ่ ถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 1 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 67 ราย เสียชีวิต 2 ราย

ที่มา : ศูนย์ข่าวแปซิผิก, ผู้จัดการออนไลน์, สำนักข่าวเนชั่น และ เว็บไซต์คมชัดลึก