'คนทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน' กำลังลำบาก จากการแข่งขันที่ดุเดือดและการเปลี่ยนผ่านสู่ 'รถยนต์ไฟฟ้า' (EV) ในตลาดรถยนต์จีน สื่อที่ติดตามประเด็นแรงงานแนะแก้ปัญหาด้วยบทเรียน 'การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม' จาก 'สหรัฐฯ-เยอรมนี'
ภาพประกอบสร้างจากเทคโนโลยี AI ของ Image Creator from Microsoft Designer
- China Labour Bulletin (CLB) สื่อที่ติดตามประเด็นแรงงานในประเทศจีน ระบุว่าช่วงปี 2023 คนทำงานชาวจีนในอุตสาหกรรมยานยนต์ประท้วงบ่อยครั้งมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015
- การแข่งขันอย่างเข้มข้นและการเปลี่ยนผ่านสู่ 'รถยนต์ไฟฟ้า' (EV) ส่งผลกระทบต่อคนทำงานในหลายบริษัท พวกเขากำลังเผชิญกับการเลิกจ้างโดยไม่มีค่าชดเชย การค้างชำระเงินเดือน การลดค่าจ้าง และการเพิ่มปริมาณงาน
- CLB ชี้ว่าโครงการริเริ่มเพื่อ 'การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม' (Just transition) โดยสหภาพแรงงานเยอรมันและสหรัฐอเมริกาถือเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าสำหรับสหภาพแรงงานในจีน
China Labour Bulletin (CLB) สื่อที่ติดตามประเด็นแรงงานในประเทศจีน รายงานว่าในปี 2023 แผนที่การประท้วงแรงงานของ CLB บันทึกการประท้วงเรียกร้องสิทธิโดยคนทำงานในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ของจีน มีถึง 21 ครั้ง สูงสุดตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา โดยปี 2023 ถือเป็นปีแห่งการแข่งขันอันดุเดือดระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ จากการประท้วงเรียกร้องสิทธิทั้งหมด 21 ครั้งนั้น เกี่ยวข้องกับผู้ผลิตรถยนต์ 10 ครั้ง และผู้ผลิตชิ้นส่วน 11 ครั้ง
ช่วงปี 2023 แม้ปริมาณยอดขายรถยนต์ทุกประเภทและยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะทำสถิติใหม่ แต่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กหลายแห่งต้องปิดตัวหรือหยุดการผลิต คนทำงานของบริษัทเหล่านี้ประท้วงเรียกร้องสิทธิกรณีนายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างและไม่จ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้าง ขณะเดียวกัน คนทำงานบางส่วนในบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำก็ประสบปัญหาการเลิกจ้างด้วยเช่นกัน โดยคนทำงานที่เหลืออยู่มีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและค่าจ้างที่ลดลง ในฝั่งผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมก็เผชิญความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า คนทำงานต้องเผชิญกับการเลิกจ้าง การย้ายงาน และการลดค่าแรง
คนทำงานและสหภาพแรงงานในเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา ก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน แต่พวกเขาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ 'การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม' (Just transition) ซึ่งหมายถึงการปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ต้องเกิดความเป็นธรรมกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง มีการสร้างโอกาสในการทำงานที่ดีและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สหภาพแรงงานในเยอรมนีและสหรัฐฯ มีทั้งประสบการณ์และความสำเร็จในการลดการสูญเสียตำแหน่งงาน มีโครงการฝึกทักษะใหม่ให้คนทำงาน และการจัดตั้งสหภาพแรงงานในโรงงานใหม่เพื่อส่งเสริมงานที่มีคุณภาพ ประสบการณ์เหล่านี้มีค่าสำหรับสหภาพแรงงานของจีน ที่ยังไม่ได้มีการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าต่อคนทำงานอย่างจริงจัง
คนทำงานเรียกร้องนายจ้างจ่ายค่าจ้าง หลังบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขนาดเล็กทยอยปิดตัวในจีน
ต้นปี 2023 รัฐบาลกลางของจีนได้ยุติโครงการอุดหนุนผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ Tesla ลดราคารถรุ่นยอดนิยมลง จุดชนวนสงครามราคาระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ในจีน
บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กได้รับผลกระทบหนัก และในบรรดาบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีนก็มีเพียง Tesla และ BYD เท่านั้นที่ผ่านจุดคุ้มทุนไปแล้วและสร้างผลกำไรได้ 2 บริษัทนี้ถือเป็นผู้นำระดับท็อป ตามมาด้วยบริษัทขนาดรองที่มียอดขายมากกว่า 100,000 คันต่อปีในช่วงปี 2022-2023 (เช่น Aion, Li Auto, NIO, Xiaopeng และ Leapmotor) นอกเหนือจากนี้จะถือเป็นบริษัทขนาดเล็ก หลายแห่งหยุดการผลิตและค้างค่าจ้าง สวัสดิการประกันสังคม และเงินชดเชยการเลิกจ้างในปี 2023
จากการประท้วงเรียกร้องสิทธิ 10 ครั้ง ของพนักงานบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในปี 2023 นั้น มี 4 ครั้งเกี่ยวข้องกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ตัวอย่างเช่นในเดือน มิ.ย. 2023 พนักงานราว 2,000 คน ของ Aiways ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัท เรียกร้องค่าจ้างค้างจ่ายและเงินประกันสังคม ในขณะนั้นพนักงานไม่ได้รับเงินเดือนมา 3 เดือน แต่ไม่มีใครตอบสนองต่อข้อกังวลและคำร้องของพวกเขา สายโทรศัพท์และข้อความถูกเพิกเฉย นอกจากนี้ พวกเขายังถูกสั่งให้ทำงานทางไกลจากที่บ้านแบบไม่มีกำหนด แทนที่จะได้รับการเลิกจ้างและค่าชดเชยที่ถูกต้อง พวกเขากล่าวว่า "ชีวิตครอบครัว สถานการณ์ทางการเงิน และแผนการในอนาคตของเราได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง...ความทุ่มเททำงานของเราควรได้รับการตอบแทนที่ยุติธรรม นี่คือสิทธิของเรา แต่ตอนนี้เรากำลังถูกทอดทิ้งให้อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เต็มไปด้วยความผิดหวังและความโกรธแค้น"
Airways มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพียง 536 คันในช่วงไตรมาส 1/2023 นอกจากนี้ บริษัทรถยนต์อื่น ๆ ที่มียอดขายน้อยกว่านั้นก็ได้หยุดการผลิตลงเช่นกัน ส่งผลให้เกิดการประท้วงของคนทำงานที่เรียกร้องค่าจ้างและเงินประกันสังคมที่นายจ้างไม่ได้จ่ายให้พวกเขา
'ค่าจ้างลดลง-ปริมาณงานเพิ่มขึ้น' ในบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน
ที่มาภาพ: JOHN LLOYD (CC BY 2.0)
ข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้นที่ Tesla และ BYD ด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่เกิดจากการลดค่าจ้าง ในเดือน เม.ย. 2023 พนักงานของ Tesla ในเซี่ยงไฮ้ได้โพสต์ข้อความทางออนไลน์ระบุว่าเงินค่าตอบแทนตามผลงานถูกลดลงอย่างไม่เป็นธรรมจำนวน 2,000 หยวน พนักงานกล่าวว่าฝ่ายบริหารอ้างว่าการลดค่าตอบแทนตามผลงานนี้เพราะเกิดจากอุบัติเหตุในเดือน ก.พ. 2023 ซึ่งคร่าชีวิตพนักงานวัย 31 ปี รายหนึ่งไป โดยรายงานการสอบสวนของรัฐบาลระบุว่าสาเหตุของอุบัติเหตุเกิดจากความผิดพลาดในการทำงานของพนักงาน 2 คน (รวมถึงผู้เสียชีวิต) และทาง Tesla ควรปรับปรุงการจัดการด้านความปลอดภัย แต่พนักงานกลับรู้สึกสับสนและไม่เชื่อว่าอุบัติเหตุจะนำไปสู่การลดค่าตอบแทนตามผลงานของพนักงานทุกคนในโรงงานที่เซี่ยงไฮ้ พนักงานยังได้ร้องเรียนไปถึง Elon Musk บน Twitter อีกด้วย เหตุการณ์นี้ได้รับความสนใจจากสื่ออย่างกว้างขวางและ Musk สัญญาว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้ ต่อมาในเดือน ก.ค. 2023 พนักงานหลายคนเผยว่าพวกเขาได้รับเงินค่าตอบแทนตามผลงานเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2/2023 แต่ก็ไม่แน่ชัดว่ามีพนักงานจำนวนเท่าไหร่ที่ได้เพิ่ม
ในส่วนของโรงงาน BYD ในเมืองฉางชา มณฑลหูหนาน ตามรายงานของสื่อฉบับหนึ่งระบุว่าพนักงานถูกลดเงินเดือนและมีการลาออกพร้อมกันในช่วงไตรมาสที่ 2/2023 พนักงานคนหนึ่งบอกว่าปริมาณงานของเขาเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปี 2022 แต่ค่าจ้างรายเดือนของเขาลดลงประมาณ 1,000 หยวน สื่ออีกแห่งระบุว่าเงินเดือนของพนักงานอาวุโสในโรงงานที่ฉางชาอยู่ที่ประมาณ 3,000 หยวนต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่าจ้างเฉลี่ยของภาคการผลิตทั่วประเทศอยู่มาก (5,850 หยวน) หรือค่าจ้างเฉลี่ยในฉางชา (7,131 หยวน) พนักงานยังไม่พอใจกับวิธีการจัดสรรโบนัสและค่าปรับของฝ่ายบริหาร เนื่องจากค่าปรับมักจะสูงกว่าโบนัส มีการวิเคราะห์ว่าการขยายตัวของ BYD ในปี 2022 นั้น นำไปสู่สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นและแรงงานส่วนเกินในปี 2023 ประกอบกับการปรับเปลี่ยนสายการผลิตในหลายเมือง ทำให้พนักงานในฉางชาต้องรับผลกระทบจากตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
บริษัทและซัพพลายเออร์ที่เน้นผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปเผชิญความยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า
ที่มาภาพ: China Labour Bulletin
บริษัทรถยนต์แบบดั้งเดิมที่มีสัดส่วนการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ 'เครื่องยนต์สันดาปภายใน' (ICE) สูงก็ประสบปัญหายากลำบากเช่นกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทเหล่านี้มักจะเป็นกิจการร่วมค้า (JV) ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัทจีนและบริษัทต่างชาติ กิจการร่วมค้าที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเยอรมัน (เช่น FAW-Volkswagen) และบริษัทญี่ปุ่น (เช่น GAC-Toyota) เคยประสบความสำเร็จสูงสุด ทว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ กลับสูญเสียส่วนแบ่งตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไป เนื่องจากการปรับตัวสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าค่อนข้างล่าช้า สงครามราคาในปี 2023 ที่เริ่มต้นจากบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าได้ลุกลามมายังกิจการร่วมค้าที่เน้นผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ส่งผลให้พวกเขาเสียส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นไปอีกและต้องมีการเลิกจ้างพนักงานตามมา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ SAIC-Volkswagen ซึ่งยอดขายรถยนต์ลดลง จากประมาณ 2 ล้านคัน ในปี 2019 มาเหลือไม่ถึง 1.2 ล้านคัน ในปี 2023 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 75,000 คัน ในปี 2022 ซึ่งถือว่าตามหลังบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ที่อยู่ในระดับรอง ๆ ลงไปด้วยซ้ำ
SAIC-Volkswagen ได้ปิดโรงงานผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในแห่งหนึ่งในเมืองอันติง เซี้ยงไฮ้ บริษัทได้เลิกจ้างพนักงานจ้างเหมาช่วงในทั้งฝ่ายผลิตและฝ่ายวิจัย "พนักงานจ้างเหมาช่วง" (หรือพนักงานจากบริษัทจัดหางาน) หมายถึงการใช้คนกลางในการจ้างงานเพื่อทำงานชั่วคราว เป็นฤดูกาล หรืองานเสริมเท่านั้น โดยพนักงานประเภทนี้จะได้รับการคุ้มครองน้อยกว่าพนักงานประจำในแง่ของเงินชดเชยการเลิกจ้างและเงื่อนไขอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทต่าง ๆ มักใช้พนักงานจ้างเหมาช่วงขอบเขตงานเกินกว่าหน้าที่ เพื่อลดต้นทุนและลดความรับผิดชอบ ตามคำให้การของพนักงานจ้างเหมาช่วงในฝ่ายวิจัย บางคนที่ถูกเลิกจ้างได้ทำงานในโรงงานผลิตที่เมืองอันติงมาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว และอาจคุ้นเคยกับงานมากกว่าพนักงานประจำเสียด้วยซ้ำ
แผนการของ SAIC-Volkswagen คือการลดการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและย้ายออกจากเซี่ยงไฮ้ เปลี่ยนพื้นที่ในเซี่ยงไฮ้เป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทน พนักงานที่เหลืออยู่ในเซี่ยงไฮ้ได้รับการฝึกอบรมและสามารถทำงานในโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและโรงงานอื่น ๆ ในเซี่ยงไฮ้ได้ กระนั้น พนักงานบางส่วนยังคงเผชิญกับช่วงเวลาทำงาน (กะ) ที่ลดลง รวมถึงเงินเดือนและสวัสดิการที่น้อยลงด้วย
'จ้าว' พนักงานคนหนึ่งเผยว่าเขาเคยมีรายได้ 8,000 หยวน หรือกระทั่งเกิน 10,000 หยวนต่อเดือน แต่ตอนนี้ทำได้เพียง 3,000-4,000 หยวนเท่านั้น บางโรงงานเหลือเพียงกะเดียวที่เริ่มตอนตีสี่เพื่อลดค่าไฟฟ้า 'จาง' พนักงานอีกคนหนึ่งกล่าวว่า "เพื่อประหยัดไฟฟ้า แม้ว่าอุณหภูมิจะร้อนถึง 34 องศาเซลเซียส ก็ยังไม่มีการเปิดแอร์"
ผลกระทบยังลามไปถึงบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ อีกด้วย โรงงานผลิตเกียร์รถยนต์แห่งเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SAIC-Volkswagen และเป็นผู้จัดหาชุดเกียร์ส่งกำลัง ได้เลิกจ้างพนักงานประมาณ 300 คน ในเดือน พ.ค. 2023 และยุติสัญญาจ้างงานกับนักศึกษาจบใหม่ ทั้ง ๆ ที่บริษัทนี้เน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและพอมีกำไรอยู่บ้าง แต่ SAIC-Volkswagen ตัดสินใจปรับโครงสร้างเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า
รูปแบบที่คล้ายกันนี้สามารถพบได้ใน GAC-Toyota ที่มีการเลิกจ้างแรงงานพนักงานเหมาช่วง/ชั่วคราวประมาณ 1,000 คน ในเดือน ก.ค. 2023 พนักงานที่เหลืออยู่ก็เจอปัญหาการลดชั่วโมงทำงานและเงินเดือนลง พนักงานชั่วคราวบางคนมาจากโรงงาน FAW-Volkswagen ใกล้เคียง (ซึ่งมีการเลิกจ้าง) และตอนนี้พวกเขาก็ถูกเลิกจ้างอีกครั้ง หลายคนจำต้องผันตัวเองไปเป็นคนทำงานแพลตฟอร์มในบริษัทขนส่งแทน ตามบทสัมภาษณ์ของสื่อ พนักงานที่เหลืออยู่ไม่ต้องการย้ายไปโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพราะต้องทำงานล่วงเวลามากขึ้นแต่กลับได้ค่าจ้างต่ำลง
แนวโน้มการจ้างงานโดยรวมในประเทศจีน
โดยทั่วไป การจ้างงานในภาคการผลิตรถยนต์ของจีนนั้นมีจำนวนมากกว่า 4 ล้านตำแหน่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และได้เพิ่มขึ้นในปี 2023 แต่ก็ยังไม่ถึงระดับก่อนการระบาดใหญ่ของโควิด-19 การจ้างงานที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญ ในปี 2023 การจ้างงานที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 32% ในขณะที่การจ้างงานโดยรวมภายในภาคการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นเพียง 5% เท่านั้น จำนวนพนักงานของ BYD เพิ่มขึ้นจากประมาณ 200,000 คน ในปี 2020 เป็นประมาณ 600,000 คน ในปี 2022 และมีโรงงานมากกว่า 20 แห่ง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือเพิ่งสร้างเสร็จ
อย่างไรก็ตาม มีความกังวลว่ากระบวนการผลิตแบบอัตโนมัติกำลังคืบคลานเข้ามา แม้ว่า BYD จะเป็นที่รู้จักในด้านการใช้แรงงานคนแบบเข้มข้น แต่โรงงานใหม่ ๆ ของบริษัทกลับมีระดับการใช้ระบบอัตโนมัติที่สูงขึ้น ตามรายงานของสื่อ Tesla ได้มีการเลิกจ้างพนักงานและกำลังติดตั้งอุปกรณ์ระบบอัตโนมัติในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่เซี่ยงไฮ้ รายงานของ Energy Foundation เกี่ยวกับแนวโน้มการจ้างงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนระบุว่า ในปี 2020 การผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทุก ๆ 10,000 คัน จะต้องมีนักวิจัย 143 คน และคนทำงานฝ่ายผลิต 1,052 คน เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนตัวเลขสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั้นอยู่ที่นักวิจัย 1,156 คน และคนทำงานฝ่ายผลิต 3,709 คน Energy Foundation คาดการณ์ว่าตัวเลขเหล่านี้จะลดลงต่ำกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปเมื่ออุตสาหกรรมนี้พัฒนาถึงจุดอิ่มตัว
CLB ชี้ว่าคนทำงานและสหภาพแรงงานต้องเตรียมพร้อมสำหรับทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ตำแหน่งงานด้านรถยนต์ไฟฟ้าในบริษัทต่าง ๆ ดังที่กล่าวไว้ว่าคนทำงานอาจเผชิญกับการเลิกจ้างทั้งในบริษัทรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมด้วยปัญหาต่าง ๆ เช่น เงินชดเชยการเลิกจ้างที่ไม่เพียงพอ การลดเงินเดือน การทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้น การถูกโยกย้ายงาน และการสูญเสียคุณภาพของงานและการจ้างงานอย่างเป็นทางการ แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่การจ้างงานและสิทธิแรงงานก็จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง ทว่าสหภาพแรงงานในจีนยังไม่ได้แก้ไขปัญหาเหล่านี้และวางแผนระยะยาว ทั้งนี้ประสบการณ์ของแรงงานและสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีและสหรัฐอเมริกาสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีได้
ความกังวลของคนทำงานในเยอรมันและสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า
ในเยอรมนีและสหรัฐฯ สหภาพแรงงานแสดงความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียงานอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า สหภาพแรงงาน IG Metall ในเยอรมนีและ UAW ในสหรัฐฯ กังวลว่าเนื่องจากระบบส่งกำลังของรถยนต์ไฟฟ้ามีความซับซ้อนและชิ้นส่วนที่น้อยกว่าเครื่องยนต์สันดาป การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียงาน ขณะที่ตัวบริษัทต่าง ๆ เองก็ระบุว่าการทำให้ผลิตภัณฑ์เรียบง่ายขึ้นเพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้านั้น อาจนำไปสู่การลดชั่วโมงการทำงานลงได้ถึง 30% ต่อคัน ความกังวลของสหภาพแรงงานยิ่งทวีขึ้น เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของกระบวนการอัตโนมัติและการทำให้สายการผลิตเรียบง่ายขึ้น
วิทยานิพนธ์ในปี 2023 โดยซาเฟอร์ ออร์เนค (Zafer Ornek) ได้ระบุถึงคนทำงานในงานอุตสาหกรรมยานยนต์ 3 กลุ่มหลัก ที่มีแนวโน้มสูญเสียงานจากการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าในเยอรมนี ได้แก่ (1) กลุ่มคนทำงานชั่วคราว/คนทำงานเหมาช่วงที่รับจ้างผ่านตัวแทนในบริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ (2) คนทำงานฝีมือที่มีความชำนาญเฉพาะด้านการผลิตเครื่องยนต์สันดาป และ (3) คนทำงานในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งมักเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนทางอ้อมให้กับบริษัทผลิตรถยนต์ใหญ่
คนทำงานชั่วคราวนั้นมักจะได้รับผลกระทบกลุ่มแรกเช่นเดียวกับในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจรอบก่อน ๆ ส่วนคนทำงานฝีมืออายุมากที่มีโอกาสฝึกอบรมใหม่น้อยกว่าก็อาจต้องเผชิญกับการเกษียณก่อนกำหนด ส่วน SMEs นั้นก็มักถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมโครงการวิจัยและพัฒนาของบริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งมีอำนาจต่อรองมากกว่าและสามารถโอนความเสี่ยงและต้นทุนไปยัง SMEs ได้ ดังนั้น SMEs จึงมีความสามารถในการปรับตัวและเติบโตจากการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าน้อยกว่า นอกจากนี้ ทั้งคนทำงานชั่วคราวและคนทำงานใน SMEs ส่วนใหญ่มักไม่ได้สังกัดสหภาพแรงงาน จึงมักเปราะบางและได้รับความเสี่ยงสูงกว่า
ความกังวลที่คล้ายกันนี้มีปรากฏอยู่ในรายงานเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าของ UAW ซึ่งเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ และภาครัฐสนับสนุนการฝึกทักษะใหม่ให้คนทำงานและ SMEs ภายในประเทศ รวมถึงส่งเสริมการจัดตั้งสหภาพแรงงาน UAW เป็นตัวแทนของคนทำงานชั่วคราวและลดระยะเวลาที่คนทำงานชั่วคราวจะได้เป็นพนักงานประจำในการเจรจาต่อรองร่วมกันในปี 2023 ด้วย
สหภาพแรงงานยังกังวลเกี่ยวกับสถานที่ตั้งและคุณภาพงานด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานแบตเตอรี่ ตามรายงานของ UAW ระบุว่าการจ้างงานระบบส่งกำลังกระจุกตัวอยู่ในภูมิภาคตะวันตกกลางของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง ขณะเดียวกัน โรงงานแบตเตอรี่จำนวนมากกลับตั้งอยู่ทางใต้ ซึ่งไม่ค่อยยอมรับแนวคิดสหภาพแรงงาน นอกจากนี้ บริษัทรถยนต์ "Big 3" (General Motors, Ford Motor Company และ Chrysler) ยังปฏิเสธที่จะรวมโรงงานแบตเตอรี่ที่เป็นกิจการร่วมค้าของพวกเขาไว้ในข้อตกลงหลักกับ UAW โดยอ้างว่าโรงงานเหล่านี้เป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก
ที่มาภาพ: China Labour Bulletin
ยอร์จ ฮอฟมัน (Jörg Hofmann) ประธานสหภาพแรงงาน IG Metall ได้ออกมาเตือนถึงการสูญเสียงานที่อาจเกิดขึ้นในเยอรมนี อันเนื่องมาจากการลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่ไม่เพียงพอในโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังไม่มีการยืนยันได้ว่าตำแหน่งงานใหม่จะเกิดขึ้นที่ใดและภายใต้เงื่อนไขอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสหภาพแรงงานของสหรัฐฯ และเยอรมนีมีความกังวลว่าโรงงานแบตเตอรี่จะถูกว่าจ้างผลิต (Outsource) ให้กับบริษัทชั้นนำในจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
สหภาพแรงงานเรียกร้องการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า
ที่มาภาพ: UAW International Union
สหภาพแรงงานสหรัฐฯ และเยอรมนีได้ตอบสนองอย่างแข็งขันต่อการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม พร้อมความพยายามที่จะปกป้องสิทธิของคนทำงาน แนวทางแรกคือการลงทุนจากภาครัฐและภาคเอกชนในการปรับปรุงโรงงานที่มีอยู่เดิม รวมถึงโรงงานใหม่ในพื้นที่ควบคู่ไปกับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะให้แก่แรงงาน แนวทางที่สองคือการจัดตั้งสหภาพแรงงานในโรงงานรถยนต์ไฟฟ้า/แบตเตอรี่ รวมถึงโรงงานในภูมิภาคที่ไม่ค่อยนิยมสหภาพแรงงาน เพื่อรับรองและส่งเสริมงานที่มีคุณภาพภายใต้สหภาพแรงงาน รวมทั้งการเพิ่มอำนาจต่อรองของสหภาพแรงงานเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่
ในการเจรจาต่อรองร่วมของ UAW ในปี 2023 สหภาพแรงงานได้นัดหยุดงานประท้วงเพื่อต่อรองให้มีส่วนร่วมกับการตัดสินใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การลงทุน และการปิดโรงงานของบริษัทรถยนต์ Big 3 นอกจากนี้ UAW ยังทำข้อตกลงกับ Stellantis ให้กลับมาเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ Belvidere Assembly ในรัฐอิลลินอยส์อีกครั้ง หลังจากการปิดตัวลงได้สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่คนทำงานและชุมชนท้องถิ่น Stellantis ยังจะเพิ่มตำแหน่งงานอีก 1,000 ตำแหน่ง ที่โรงงานแบตเตอรี่แห่งใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว UAW ยังบรรลุข้อตกลงกับบริษัท Big 3 ให้รวมคนทำงานโรงงานแบตเตอรี่บางส่วนไว้ในข้อตกลงหลักร่วมกับสหภาพแรงงาน รวมถึงยกระดับค่าจ้างและสวัสดิการของคนทำงานในโรงงานเหล่านั้น อีกทั้ง UAW ยังมุ่งมั่นใช้แรงผลักดันจากผลงานการเจรจาต่อรองเพื่อจัดตั้งสหภาพแรงงานในโรงงานทางภาคใต้ ซึ่งรวมถึงโรงงานของบริษัทต่างชาติและบริษัทสหรัฐฯ ที่ต่อต้านแนวคิดสหภาพแรงงานเช่น Tesla
ในเยอรมนี สหภาพแรงงานและสภาแรงงานได้เจรจารับรองการจ้างงานและโครงการพัฒนาทักษะใหม่กับบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Daimlerในปี 2020 Daimler ได้ประกาศแผนลดตำแหน่งงานหลายพันตำแหน่งในเยอรมนี อย่างไรก็ตาม มีการเจรจาให้หลักประกันการจ้างงานไปจนถึงปี 2029 บริษัทยังได้ให้คำมั่นว่าจะลงทุน 35 พันล้านยูโรในโรงงานที่ตั้งอยู่ในเยอรมนี (รวมถึงการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า) อีกทั้งยังมีข้อตกลงว่าประเด็นการจัดหาชิ้นส่วนทั้งภายในและภายนอกจะต้องมีการเจรจากับสภาแรงงานด้วย นอกจากนี้ โครงการพัฒนาทักษะใหม่ก็ดำเนินการอย่างต่อเนื่องใน Daimler มีพนักงานประมาณ 20,000 คน ได้รับการอบรมในด้านยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2020
CLB ชี้ว่าประสบการณ์ของสหภาพแรงงานในเยอรมนีและสหรัฐฯ มีคุณค่าสำหรับสหภาพแรงงานของจีนที่ยังไม่ได้มีแผนการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่มีต่อคนทำงานประเภทต่าง ๆ เมื่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวดำเนินไปพร้อมกับการแข่งขันที่สูงขึ้นและสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป มีแนวโน้มว่าคนทำงานจะเผชิญกับการเลิกจ้าง การโยกย้ายงาน การค้างค่าจ้าง ค่าชดเชยไม่เพียงพอ และการลดคุณภาพและความมั่นคงของงาน
การสนับสนุนจากสหภาพแรงงานในการปกป้องตำแหน่งงาน การพัฒนาทักษะใหม่ของคนทำงาน การยกระดับคุณภาพงาน และการให้โอกาสคนทำงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้านการผลิตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการทำให้การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมเกิดขึ้นจริงในบริบทของจีน ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่มีการบังคับใช้หรือกำลังพิจารณากฎหมายว่าด้วยห่วงโซ่อุปทานชุดใหม่ในยุโรป สหภาพแรงงานและภาคประชาสังคมสามารถใช้เครื่องมือทางกฎหมายดังกล่าวเพื่อเรียกร้องให้ผู้ผลิตรถยนต์ปลายน้ำรับผิดชอบในการจัดการและแก้ไขการละเมิดสิทธิแรงงานในส่วนต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทานได้ด้วยเช่นกัน
![สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท](https://img.pct.fyi/uploads/big/50cd36632778858506956587c3cd91f7.png)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)