Skip to main content
sharethis

เมื่อเวลา 06.51 น. วันที่ 2 พฤศจิกายน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มายังพระราชวังดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อทรงร่วมการซ้อมใหญ่ริ้วขบวนพระอิสริยยศเชิญพระโกศออกพระเมรุ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งวันนี้เป็นการซ้อมใหญ่ริ้วขบวนพระอิสริยยศตั้งแต่ริ้วขบวนที่ 1 ถึงริ้วขบวนที่ 5


 


หลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศลแล้ว เวลา 07.34 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงเสด็จฯ มายังบริเวณ พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งในบริเวณดังกล่าว มีเหล่าพระประยูรญาติทำหน้าที่เชิญเครื่องพระอิสริยยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวง อาทิ ร.อ.จิทัศ ศรสงคราม เชิญเครื่องทองน้อย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เชิญเครื่องพระอิสริยยศ มหาจักรีบรมราชวงศ์ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล เชิญเครื่องพระอิสริยยศ นพรัตนราชวราภรณ์ พล.ต.ม.จ.เฉลิมศึก ยุคล เชิญเครื่องพระอิสริยยศ ปฐมจุลจอมเกล้า ม.จ.นวพรรษ์ ยุคล เชิญเครื่องพระอิสริยยศ มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ เชิญเครื่องพระอิสริยยศ มหาวชิรมงกุฎ


 


ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชปฏิสันถารกับพระประยูรญาติอย่างไม่ถือพระองค์ ก่อนจะเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการเชิญพระโกศจำลองลงจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อนำมาประดิษฐานที่พระยานมาศสามลำคาน ซึ่งพระโกศจำลองนั้นมีผ้าลูกไม้สีขาวคลุมอยู่โดยรอบ โดยมี นายวัชรกิติ วัชโรทัย ผู้ช่วยเลขาธิการพระราชวังฝ่ายที่ประทับ และนายจุลพล โตเมศร์ เจ้าพนักงานภูษามาลา ทำหน้าที่ประคองพระโกศจำลองอยู่


 



ทอดพระเนตรพระยานมาศสามลำคาน


หลังจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรเจ้าหน้าที่ประกอบพระโกศเสร็จเรียบร้อย จึงเสด็จฯ มายังบริเวณประตูหน้าวิทยาลัยในวัง (ชาย) เพื่อทอดพระเนตรพระยานมาศสามลำคานขณะเคลื่อนที่ออกจากเกยลา พระบรมมหาราชวัง ทางประตูเทวาภิรมย์ ถนนมหาราช และเมื่อพระยานมาศสามลำคานตั้งขบวนบนถนนมหาราชเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่พระราชพิธีจึงทำการยกเศวตฉัตร 7 ชั้น ขึ้นเหนือพระโกศจำลอง จากนั้นจึงเริ่มบรรเลงปี่พาทย์และแตรสังข์ขึ้น พร้อมกับเคลื่อนขบวนไปยังพระมหาพิชัยราชรถ หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม


 


เมื่อขบวนพระประยูรญาติเชิญเครื่องพระอิสริยยศผ่านไป สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงเสด็จฯ เข้าร่วมขบวนเชิญพระโกศจำลอง โดยมีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แซงเสด็จฯ ขนาบทั้งสองข้าง ตามด้วยพระราชวงศ์ ข้าราชบริพารใน สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวง มูลนิธิและองค์กรในพระอุปถัมภ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวง และข้าราชการในพระองค์เดินตามเสด็จ โดยลักษณะการเดินขบวนของริ้วขบวนที่ 1 จะเดินสืบเท้าปกติตามจังหวะกลอง


 



ทรงฉายรูปริ้วขบวน


ต่อมาเมื่อเวลา 08.50 น. ริ้วขบวนที่ 1 เคลื่อนถึงบริเวณหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งมีขบวนพระมหาพิชัยราชรถเทียบรออยู่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ประทับบริเวณพลับพลายก เพื่อทอดพระเนตรเกรินเคลื่อนพระโกศจากพระยานมาศสามลำคาน ขึ้นประดิษฐานบนพระมหาพิชัยราชรถ ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงหยิบกล้องดิจิทัลส่วนพระองค์ขึ้นมาทรงฉายรูปด้วย ก่อนจะเสด็จฯ ร่วมในริ้วขบวนที่ 2 จากหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ไปยังพระเมรุท้องสนามหลวง ตามขบวนเชิญพระโกศจำลอง โดยมีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แซงเสด็จฯ ขนาบทั้งสองข้างเช่นเดิม


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประมาณเวลา 09.30 น. บริเวณลานด้านหน้ามณฑลพิธีท้องสนามหลวง หลังจากรับช่วงต่อการเชิญพระโกศจากริ้วขบวนที่ 1 แล้ว ริ้วขบวนที่ 2 โดยพระมหาพิชัยราชรถ ซึ่งเคลื่อนมาตามถนนสนามไชย ถนนราชดำเนินใน ถนนเส้นกลาง ก็มาถึงบริเวณมณฑลท้องสนามหลวง นำโดยทหารม้า 2 ม้า วงโยธวาทิต ตามด้วยเหล่าทหารบก 5 กองพัน และทหารสามเหล่าทัพปิดท้ายอีก 5 กองพัน ระหว่างริ้วขบวนประกอบด้วย กลองชนะ 200 ลูก แตรฝรั่ง แตรงอน สังข์ 52 ชิ้น ฉัตรทองแผ่ลวด เหล่านางข้าหลวงสนมฝ่ายใน และผู้ติดตาม ระหว่างนี้มีการยิงปืนใหญ่สลุตเป็นระยะครั้งละ 4 นัด


 


เมื่อพระมหาพิชัยราชรถเคลื่อนมาจอดบริเวณประตูราชวัติ ทางเข้าพระเมรุ ได้ส่งต่อให้ริ้วขบวนที่ 3 เชิญพระโกศทองใหญ่จากพระมหาพิชัยราชรถโดยเกรินบันไดนาคประดิษฐานพระโกศทองใหญ่บนพระยานมาศสามลำคาน ตั้งขบวนพระอิสริยยศ เวียนรอบพระเมรุ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ตามพระโกศ เวียนพระเมรุโดยอุตราวัฏ หรือเวียนซ้าย 3 รอบ แล้วประทับ ณ พระที่นั่งทรงธรรม จากนั้นเทียบพระยานมาศสามลำคานที่เกรินบันไดนาคพระเมรุ เชิญพระโกศโดยเกรินสู่เข้าพระเมรุ ประดิษฐาน ณ พระจิตกาธาน ประกอบพระโกศจันทน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ปิดพระฉากและพระวิสูตรตั้งแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เปิดพระฉากและพระวิสูตร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ขึ้นสู่พระเมรุ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสักการะพระศพ ระหว่างนี้ปี่กลองประโคมอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเสด็จฯ กลับ เสร็จสิ้นพระราชพิธีซ้อมใหญ่


 



มีรับสั่งให้เพิ่มความดังเสียงกลอง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 12.00 น. ภายหลังการเสร็จสิ้นการซ้อมริ้วขบวนพระอิสริยยศ ในริ้วที่ 1, 2 และ 3 แล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมายังกรมศิลปากร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร และคณะช่าง ร่วมโต๊ะเสวย สร้างความปลาบปลื้มแก่บุคคลที่เข้าเฝ้าฯ เป็นอย่างมาก ก่อนเสด็จฯ กลับ นายสิริชัยชาญ ฟักจำรูญ ที่ปรึกษาด้านดนตรีประโคมและมหรสพในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ได้กราบบังคมทูลว่า ในช่วงเคลื่อนพระโกศลงจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้นไปยังพระยานมาศสามลำคาน ช่วงนั้นไม่มีเสียงดนตรีประโคมใดๆ เลยเป็นระยะเวลา 15 นาที จึงขอพระราชทานพระราชวินิจฉัยว่าในช่วงนี้ควรจะมีการบรรเลงเพลงปี่พาทย์นางหงส์ ซึ่งพระองค์มีพระราชกระแสว่า "ได้"


 


นอกจากนี้ ยังมีพระราชกระแสถึงการบรรเลงเพลงพญาโศกว่าทำไมการบรรเลงในงานพระราชพิธีครั้งนี้ ไม่เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ไม่ใช่ทำนองผิด แต่มีพระราชประสงค์ให้เสียงกลองชัดกว่านี้ เพื่อให้คนเดินเป็นจังหวะ ซึ่งนายสิริชัยชาญได้กราบบังคมทูลไปว่า จะประสานไปยังกองดุริยางค์ทหารบก ดูแลเกี่ยวกับการบรรเลงให้เสียงกลองชัดกว่านี้


 



เตรียมประดับกระดาษทองย่นเพิ่ม


นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า วันนี้กรมศิลปากรได้ทำการกำหนดจุดเส้นสีแดงบริเวณทางโค้งตามทางเดินริ้วขบวนเพื่อให้ขบวนเดินไปแล้วมีช่วงเว้นระยะความโค้งเท่ากัน ทำให้ขบวนมีความสวยงาม ส่วนการเคลื่อนริ้วขบวนในวันนี้ ถือว่ามีความพร้อมมาก เนื่องจากเน้นให้ทุกคนอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง สำหรับระยะเวลาของการซ้อมครั้งนี้ ดีกว่าการซ้อม 2 ครั้งที่ผ่านมา แสดงว่ามีการซ้อมที่ราบรื่นมากขึ้นทั้งในส่วนการเชิญพระโกศขึ้นและลงจะใช้เวลาได้ตามกำหนด


 


น.อ.อาวุธ เงินชูกลิ่น ประธานคณะทำงานออกแบบและจัดสร้างพระเมรุ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวว่า จนถึงวันซ้อมใหญ่ในวันนี้ งานก่อสร้างพระเมรุยังไม่เสร็จสมบูรณ์ที่สุด ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมเล็กน้อย เช่น สะพานเกรินบันไดนาคยังไม่ได้ติดลาย แต่สามารถใช้เกรินบันไดนาคซ้อมเลื่อนพระโกศได้ สำหรับลายที่จะประดับนั้นเป็นลายนาคตามชื่อสะพานเกรินบันไดนาค ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องติดลายนี้ เพื่อความสวยงาม อีกทั้งสะพานเกรินมีความยาวมากกว่า 10 เมตร ไม่สามารถใช้เป็นลายสัตว์อื่นๆ ได้นอกจากนาคเพราะมีลำตัวยาวเหมือนกัน ส่วนพระจิตกาธานมีความพร้อมเชิญพระโกศ และพระโกศจันทน์ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว


 



เผยการทำงานไร้ปัญหาทั้งสิ้น


ประธานคณะทำงานฯ กล่าวต่อไปว่า ภาพการทำงานโดยรวมมาจนถึงวันนี้ไม่มีปัญหาอะไร สิ่งที่เป็นอุปสรรคจริงๆ คือ ธรรมชาติ คณะทำงานพยายามแก้เท่าที่จะแก้ได้ เพราะธรรมชาติจะไปแก้ทั้งหมดไม่ได้ ประการแรกคือ ฝน การซ้อมริ้วขบวนทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมามีฝนตกตลอด กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ไปทรงยกพระสัปตปฎลเศวตฉัตร เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ด้วยพระบารมีฝนจึงตกก่อนและตกหลัง ในพระราชพิธีฝนไม่ตกเลย ดังนั้น คณะทำงานได้แก้ไขโดยวางระบบท่อระบายน้ำใต้บริเวณที่ตั้งพระเมรุใหม่ทั้งหมด แม้ฝนจะตกมาขณะนี้อาจจะมีน้ำขังอยู่บ้าง แต่คงไม่นองท่วมเหมือนที่ผ่านมา


 


"อุปสรรคประการที่สอง คือ แดด ซึ่งการป้องกันยากกว่าฝนอีก เพราะแดดโดนพระเมรุทั้งองค์เลย ก่อนหน้านี้มีการนำผ้ามาคลุมกันแดด พอเอานั่งร้านออก พระเมรุโดนแดดสีจึงซีดบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเสียหาย เพราะคณะทำงานได้พยายามป้องกันจนถึงที่สุด จนถึงวันยกฉัตร อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสีของพระเมรุที่ซีดลง คณะทำงานได้เตรียมกระดาษทองย่นที่เหลืออยู่ส่วนหนึ่งติดเฉพาะด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทางเสด็จฯ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนอื่นคงต้องปล่อยไปตามสภาพ" น.อ.อาวุธ กล่าว


 



ส่วนการซ้อมประกอบพระโกศจันทน์รองรับพระโกศบนจิตกาธานนั้น น.อ.อาวุธกล่าวว่า จะเริ่มซ้อมในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งขั้นตอนการประกอบไม่ยาก เพราะทำเป็นชิ้นส่วนสำหรับประกอบง่าย แบ่งเป็น 2 ชิ้น ประกบกันแล้วนำฝามาครอบเป็นการล็อกไปในตัวด้วย อย่างไรก็ตาม คณะทำงานจะต้องมีการซ้อมประกอบตลอด เพราะอย่าลืมว่าในวันพระราชพิธีจริง การประกอบพระโกศจันทน์นั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประทับรออยู่ที่พระที่นั่งทรงธรรม ดังนั้น ต้องประกอบพระโกศจันทน์ให้เสร็จโดยเร็ว พร้อมเพรียงกัน เมื่อประกอบเสร็จพระองค์จะเสด็จฯ ขึ้นมาประกอบเครื่องทองน้อยบนพระเมรุ ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ


 



ชาวไทย-ต่างชาติชื่นชมพิธีซ้อมใหญ่


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในช่วงเช้าของการซ้อมริ้วขบวนพระอิสริยยศฯ นั้น ตั้งแต่เวลา 05.00 น. เริ่มมีประชาชนทยอยเข้ามาจับจองพื้นที่เพื่อร่วมชมและยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณตลอดริมฝั่งถนนตั้งแต่ศาลฎีกาไปศาลหลักเมือง บริเวณถนนราชดำเนินใน หน้าศาลฎีกา หน้ากระทรวงกลาโหม มีประชาชนหนาแน่นเป็นพิเศษ มีการเตรียมร่มกันแดด รวมทั้งเสื่อมาปูรองนั่งอย่างหนาตา พร้อมกับมีพ่อค้าแม่ค้านำแผ่นพลาสติกรองนั่งมาเร่ขายในราคาแผ่นละ 20 บาท ร่มขนาดพกพาคันละ 150 บาท และพัดพลาสติกอันละ 10 บาท ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนพอสมควร


 


ทั้งนี้ประชาชนบางส่วนที่เดินทางมาในวันนี้ เพื่อมาดูลาดเลาและสถานที่ สำหรับเตรียมตัวที่จะมาร่วมงานในวันพระราชพิธี และบางส่วนที่มาวันนี้เพราะเกรงว่าจะวันจริงจะมีประชาชนหลั่งไหลมาหนาแน่นคับคั่งและไม่สามารถเบียดฝูงชนเข้ามาชมพระราชพิธีได้


 


นางซิลเวีย ซูเฮลเลอร์ ชาวเยอรมัน เดินทางมาพร้อมกับสามี ลูกชาย และครอบครัว รวม 6 คน กล่าวว่า ครอบครัวของเธอติดตามสามี ซึ่งเป็นวิศวกรเข้ามาทำงานประจำที่เมืองไทย ส่วนเธอมีโอกาสได้มาเป็นอาสาสมัครในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทำให้ได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับความเป็นมาของพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ทำให้ครอบครัวตั้งใจเดินทางมาแต่เช้าเพื่อมาชมการซ้อมพระราชพิธี โดยมาจับจองพื้นที่นั่งด้านศาลฎีกา


 


นางซูเฮลเลอร์ กล่าวว่า เธอมองว่าพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ เป็นวัฒนธรรมประเพณีโบราณที่น่าสนใจ น่าทึ่ง หาชมได้ยากในยุคปัจจุบัน และลูกๆ ของเธอต่างก็ชื่นชมไม่ต่างจากเธอด้วย ในวันนี้ได้ซื้อภาพพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยที่แม่ค้านำมาขายริมทางใบละ 10 บาท เพื่อนำไปเล่าประกอบให้เพื่อนๆ ฟัง


 


นางสิริ กะไหล่เงิน คุณยายวัย 75 ปี ชาวบ้านจาก จ.ปทุมธานี ซึ่งเคยเข้ามาชมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มาแล้วเมื่อปี 2539 เล่าว่า มารอชมการซ้อมริ้วขบวนตั้งแต่เช้าตรู่ โดยตื่นตั้งแต่ตีสี่แล้วเดินทางมาพร้อมลูกสาวและหลานชายด้วยรถแท็กซี่ ถึงบริเวณงานประมาณ 6 โมงเช้า รู้สึกปลื้มใจที่ได้มาร่วมชมงานพระราชพิธีนี้อีกครั้ง วันจริงตั้งใจจะมาอีก จะอยู่ชมมหรสพในช่วงกลางคืน แล้วเดินทางกลับในเช้าวันรุ่งขึ้น


 



ทหารร่วมริ้วขบวนเป็นลม


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในช่วงการซ้อมริ้วขบวนนั้นแดดแรงส่งผลให้อากาศโดยรอบร้อนมาก ประชาชนที่มาเฝ้าชมการซ้อมริ้วขบวนเป็นลมกันหลายคน รวมทั้งนายทหารที่ยืนตั้งแถวประจำริ้วขบวนหน้าพระเมรุหลายนายเกิดอาการหน้ามืดเป็นลม จนต้องมีการปฐมพยาบาลเป็นการด่วน และต้องนำชุดนายทหารสำรองไปสับเปลี่ยนหน้าที่แทน ซึ่งหน่วยพยาบาลจากกองแพทย์หลวงได้มาประจำช่วยเหลืออย่างทันท่วงที


 


ทั้งนี้ บริเวณหน้าศาลฎีกา ถึงศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กรมทรัพยากรน้ำบาดาลและกรมทรัพยากรธรรมชาติได้มาตั้งจุดเพื่อแจกน้ำบาดาลดื่มได้บรรจุขวดแก่ประชาชนที่มาร่วมชมการซ้อม โดยมีทั้ง 6 จุด พร้อมรถผลิตน้ำบรรจุขวดอีก 3 คันด้วย รวมทั้งยังมีภาครัฐและเอกชนมาตั้งซุ้มแจกน้ำดื่มโดยรอบด้วย


 


ที่มา: เว็บไซต์คมชัดลึก


 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net