Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
 
 “นี่คือโทรทัศน์ของประชาชน ของประชาชนจริงๆ ...เพราะฉะนั้นแล้วผมก็เลยคิดว่า อันเดียวที่เราจะทำได้นอกจาก sms แล้วก็คือ สินค้าที่เข้ามาในเอเอสทีวี นะครับ ผมกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในห้องส่ง และพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ที่บ้าน กำลังดูเอเอสทีวีอยู่... เราต้องหาสินค้าที่มีคุณภาพ ที่พ่อแม่พี่น้องต้องใช้ทุกวัน กะปิ น้ำปลา ยาสระผม ผงซักฟอก ข้าวสาร ซอสหอยนางรม ซอสเห็ดหอม ว่ากันไป ยาสมุนไพร สบู่สมุนไพร ซึ่งพี่น้องต้องซื้ออยู่แล้วจากเทสโก้ โลตัส จากเซเว่น-อีเลฟเว่น ก็อีกหน่อยก็ซื้อจากเอเอสทีวี ช็อป บางอันมีกำไร ขาย 20 บาท กำไร 2 บาท บางอันกำไร 1 บาท บางอันกำไรเยอะหน่อยไม่เป็นไร สบู่สมุนไพรบางอันขาย 58 บาทราคาท้องตลาด อาจจะกำไรสัก 20 บาท
 
แต่รวมๆ แล้วถ้าเรามี ASTV SHOP ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ อำเภอละร้าน แล้วของเราก็ส่งไปให้หมดเลย พี่น้องตื่นขึ้นมาตอนเช้า สบู่หมด ก็ตะโกน ไอ้หนูเอ็งไปซื้อสบู่ที่ร้าน ASTV หน่อย ถ้าพี่น้องทั้ง 76 จังหวัดช่วยกันอย่างนี้ ASTV อยู่ได้เลย อยู่ได้จากรายได้ของการขายสินค้าอุปโภคบริโภค ผมก็เลยอยากจะฝากพ่อแม่พี่น้องทั้งที่อยู่ในห้องส่ง ทั้งที่อยู่ต่างจังหวัด ว่าอีกไม่นานเราก็ต้องเริ่ม ASTV SHOP แล้ว เพราะว่าการตั้ง ASTV SHOP ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องการ ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องการจะทำ แต่เราไม่มีทางเลือก เราต้องทำมาค้าขาย เราคนทำโทรทัศน์ ไปขายสบู่ ขายน้ำปลา ขายข้าวสาร ขายซีอิ้วได้อย่างไร แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เมื่อพี่น้องรัก ASTV แล้วรู้ว่า ถ้าไม่มี ASTV กระบวนการพิทักษ์ราชวงศ์ ปกป้องชาติของเราก็ไม่เกิดขึ้นใช่ไหมพี่น้อง ไม่มีวันจะรวมตัวพ่อแม่พี่น้องได้…”
(คำกล่าวของ สนธิ ลิ้มทองกุล,ประชาไทออนไลน์,09/08/2009)
 
ขอให้สังเกตข้อความ “...ถ้าไม่มี ASTV กระบวนการพิทักษ์ราชวงศ์ ปกป้องชาติของเราก็ไม่เกิดขึ้นใช่ไหมพี่น้อง ไม่มีวันจะรวมตัวพ่อแม่พี่น้องได้…” ดังนั้น “นี่คือโทรทัศน์ของประชาชน ของประชาชนจริงๆ ...” และ ASTV จึงจำเป็นต้องอยู่รอดด้วยการทำธุรกิจจิปาถะดังกล่าว ควบคู่กับการสร้างกระบวนการพิทักษ์ราชวงศ์ ปกป้องชาติ
 
เป็นความจริงว่า สื่อกระแสหลัก นักวิชาการ คนชั้นกลางในเมือง ไม่เคยตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า วาทกรรมกู้ชาติ และปกป้องราชวงศ์ ถูกสร้างขึ้นจากฐานของข้อเท็จจริงอะไร และด้วยเหคุผลที่แท้จริงอะไร นอกจากจะไม่ตั้งคำถามแล้วยังกระโดดเข้าผสมโรงจนทำให้วาทกรรมดังกล่าวกลายมาเป็นเหตุผลรองรับความชอบธรรมของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
 
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นๆอีกที่สังคมยังไม่ตั้งคำถามจนบัดนี้ เช่น
 
1. เหตุใดในยุคสมัยของประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540 จึงยังเกิดปรากฎการณ์การใช้วาทกรรม “กู้ชาติ” “ปกป้องราชวงศ์” สร้างพลังมวลชนของคนชั้นกลางในเมืองได้อย่างมหาศาล ซึ่งคนเหล่านี้เป็นชนชั้นที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษาดี เข้าใจประชาธิปไตยได้ลึกซึ้งกว่าชนชั้นรากหญ้า
 
เพราะเราต้องยอมรับว่า ลำพังการแฉพฤติกรรมการทุจริตของทักษิณ ยังไม่สามารถรวมพลังมวลชนได้มากมายและเหนียวแน่นเท่ากับการใช้วาทกรรม “กู้ชาติ” “ปกป้องราชวงศ์”
 
2. จากข้อ 1 ทำให้สงสัยว่า สื่อกระแสหลัก นักวิชาการ คนชั้นกลางในเมือง ได้ประจักษ์ “ข้อเท็จจริง” ของหลักฐานแห่งแผนการทำลายชาติหรือแผนล้มราชวงศ์ หรือเพียงแต่ได้ฟัง “เรื่องเล่า” เกี่ยวเรื่องดังกล่าว
 
หากเป็นอย่างแรก สื่อกระแสหลัก นักวิชาการ คนชั้นกลางในเมืองที่มีเสียงดังที่สุดใน “พื้นที่สาธารณะ” ก็ประสบความล้มเหลวในการบอก “ข้อเท็จจริง” ให้คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจตรงกัน หากเป็นอย่างหลัง ความงมงายของพวกที่สามารถส่งเสียงดังในพื้นที่สาธารณะมากที่สุด ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองที่สุด
 
3. เพื่อแสดงออกถึงความยึดมั่นในอุดมการณ์ปกป้ององชาติและราชวงศ์ สื่อกระแสหลัก นักวิชาการ คนชั้นกลางในเมือง ยอมที่จะละเว้นให้สำหรับการทำลายประชาธิปไตยเลยหรือ? เช่น การทำรัฐประหาร การใช้วาทกรรมชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ปิดกั้นความเห็นต่างทางการเมือง และทำลายศัตรูทางการเมือง
 
4. สื่อกระแสหลัก นักวิชาการ คนชั้นกลางในเมือง ยอมรับอย่างสนิทใจได้อย่างไรว่า “สื่อสร้างการเลือกข้างในสังคมไทย” ที่ใช้วาทกรรมปกป้องชาติ และราชวงศ์ ปลุกระดมมวลชน สนับสนุนให้เกิดรัฐประหาร ใช้เครดิตการปกป้องชาติ และราชวงศ์ทำธุรกิจจิปาถะควบคู่ไปกับการต่อสู้ทางการเมือง เป็น “สื่อของประชาชน” หรือเป็นสื่อตัวแทนของประชาชนในการต่อสู้เพื่อ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง”
 
ทำไมไม่มีใครตั้งคำถามบ้างว่า นี่คือผลประโยชน์ทับซ้อนของนักกู้ชาติ และราชบัลลังก์ใช่หรือไม่?!
 
ถ้าสื่อกระแสหลัก นักวิชาการ คนชั้นกลางในเมืองวางท่าทีเสมือนยอมรับว่า ไม่ว่า “สื่อสร้างการเลือกข้างในสังคมไทย” จะคิด จะพูด หรือจะทำอะไรก็ถูกทั้งหมดเพียงเพราะเขาเป็นหัวหอกในกระบวนการขจัดทักษิณ นี่ย่อมเป็นท่าทีที่สะท้อนวิธีคิดที่มีปัญหาในตัวมันเอง
 
ปัญหาความแตกแยกในสังคมที่เกิดขึ้น จึงไม่ใช่เพราะว่าชาวบ้านรากหญ้าไม่เข้าใจประชาธิปไตย ยอมตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองฉ้อฉลอย่างที่พวกเขาถูกกล่าวหา
 
หากแต่เป็นเรื่องของการ “ใช้ประชาธิปไตยอย่างฉ้อฉล” ใช้วาทกรรม “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” อย่างไม่ซื่อ และการที่คนชั้นกลางในเมืองให้การยอมรับสนับสนุนส่งเสริมนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือนักกู้ชาติ และราชบัลลังก์ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจเฉกเช่นที่เห็นและเป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้!

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net