บางท่านอาจเห็นวิสาหกิจขนาดใหญ่ๆ ทำบุญทีมหาศาล เอสเอ็มอีคง "เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง" ไม่ไหว แต่จริงๆ พวกวิสาหกิจใหญ่ๆ หลายแห่ง นอกจากจะไม่ได้ทำดีจริงแล้ว ยังเป็นตัวโกง!?!
ผมในฐานะที่เป็นกรรมการหอการค้าไทย สาขาจรรยาบรรณ และสาขาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นผู้เขียนหนังสือ "CSR ที่แท้" ซึ่งตีพิมพ์แล้วหลายครั้ง และเคยบรรยายในหลักสูตรนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต ด้าน Soft Laws ที่นิด้า ขอวิพากษ์เรื่อง CSR ของวิสาหกิจขนาดใหญ่
ประเด็นแรกที่น่าสนใจคือการบริจาค อันที่จริงการบริจาคเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) ซึ่งมีแกนหลักอยู่ที่การไม่กระทำผิดกฎหมาย อยู่ในทำนองคลองธรรม และการมีมาตรฐานและจรรยาบรรณที่ดี วิสาหกิจบางแห่งบริจาคมากจนขึ้นชื่อในนิตยสารระดับโลก แต่อันที่จริงเป็นการนับรวมเงินบริจาคของพนักงานหรือลูกค้าบ้าง บ้างก็ไถคู่ค้า (Suppliers) มาทำบุญ เป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่คู่ค้าและกลับทำให้ต้นทุนสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ทำให้ขีดความสามารถของวิสาหกิจของตนลดต่ำลงอีกต่างหาก
ห้างหรือร้านสะดวกซื้อแทนที่จะทำตัวเป็นแหล่งกระจายสินค้าที่ถูกและดีแก่ผู้บริโภค กลับกลายเป็นการ "ปิดประตูตีแมว" ยัดเยียดสินค้าและบริการของวิสาหกิจในเครือมาขาย สินค้าราว 80% เป็นของบริษัทในเครือ ของผู้บริหาร ทำลายวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือแม้กระทั่งวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่กลายเป็นคู่แข่ง กลายเป็นการก่ออาชญากรรมไปเสียอีก ในแง่หนึ่งการทำสินค้าในเครือ (House Brand) ก็ทำให้ราคาสินค้าถูกลง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจทำให้เกิดการผูกขาดตัดตอน ขาดธรรมาภิบาลเพราะเที่ยวไป “Copy” สินค้าขายดีมาทำเอง รัฐบาลควรตรวจสอบ แต่บางทีเกิดการ “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” เพราะอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ของวิสาหกิจขนาดยักษ์เหล่านี้
ยิ่งหากเราเปิดแฟรนไชส์กับวิสาหกิจขนาดใหญ่ ทุกอย่างก็ต้องใช้สินค้าของเขาทั้งหมด แบบ "อัฐยาย ซื้อขนมยาย" ทำให้วิสาหกิจขนาดใหญ่ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง แบบ "เรือล่มในหนอง เงินทองไม่ไปไหน" ไม่กระเด็นเลย เช่น ถุงก๊อบแก๊บ หลอดดูด น้ำยาล้างสารพัด เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องชงกาแฟ เครื่องอบต่าง ๆ ฯลฯ ผู้ที่คิดเปิดแฟรนไชส์กลายเป็น "เมืองขึ้น" แถมได้ส่วนแบ่งน้อยมาก เวลาจัดแคมเปญลด ก็ลดจากกำไรของผู้ซื้อแฟรนไชส์ ส่วนวิสาหกิจขนาดใหญ่ ไม่ได้เสียอะไรเลย แม้แต่ธุรกิจน้ำมัน จะเห็นได้ว่า ที่คุยกันนักหนาว่าทำดีต่อสังคมขนานใหญ่ แต่เพียงแค่ "เด็กปั้ม" ยังดูแลให้เขาอยู่ดีกินดีไม่ได้ แสดงว่าคงโกยกำไรเข้าวิสาหกิจยักษ์ใหญ่แทบหมด
การทุจริตก็เป็นอีกประเด็นสำคัญของวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ในไทยหลายแห่ง ผู้บริหารในแทบทุกระดับโกงกิน หากินตามน้ำ การตั้งสาขา การรับเหมาก่อสร้างอาคาร ก็ล้วนมีทุจริต ฝ่ายจัดซื้อกลายเป็นแหล่งโกงกินมโหฬารในวิสาหกิจขนาดใหญ่หลายแห่งทั้งที่วิสาหกิจเหล่านี้ฉากหน้าต่อต้านการทุจริต (แสดงว่าไม่กวาดบ้านตนเองเลย) แถมบ้างก็ยังประกาศว่าตนซื่อสัตย์ทำดีต่อแผ่นดินแบบเทพๆ สารพัด แต่กลับยัดเยียดขายสินค้าผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของตน ทำให้วิสาหกิจเหล่านี้มีเส้นสาย แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่แพ้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจเลย
อาจเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมบิ๊กๆ นักบริหารวิสาหกิจขนาดใหญ่เหล่านี้กล้าโกง แล้ว "เจ้าสัว" "นายหัว" "นางห้าง" ไม่รู้ระแคะระคายบ้างหรือ ความจริงบรรดาเจ้าของก็รู้ แต่เข้าทำนอง "หยิกเล็บเจ็บเนื้อ" กล่าวคือพวกลูกหลานของตนก็ร่วมกัน "เถือ" อยู่เหมือนกัน พวกผู้บริหารเหล่านี้ก็เหมือน "เสือ" ให้เจ้าของกิจการขี่ ตราบเท่าที่ "เสือ" เหล่านี้ยังช่วยเขาหากินได้ ก็ "ไม่ว่ากัน" ในทำนองนี้ ก็เสมือนหนึ่งพระเจ้าสุทโธทนะก็ไม่กล้ากำจัดขุนนางจอมโกงกินที่ห้อมล้อมอยู่ เพราะพวกเขาคือผู้ค้ำจุนอำนาจ จนทำให้เจ้าชายสิทธัตถะรู้แจ้งเห็นจริงถึงระบบการเมืองที่ล้มเหลวและหันเข้าหาทางหลุดพ้น (http://goo.gl/N7YvVr)
ท่านสังเกตไหม ทำไมวิสาหกิจขนาดยักษ์ในไทยหลายราย พอไปต่างประเทศ มักจะ "เจ๊ง" กลับมา สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งก็คือ พวกนี้ทำกิจการสำเร็จในไทยได้ก็เพราะการใช้เส้น การล็อบบี้การเมืองภายในประเทศ ให้วิสาหกิจของตนทำตัวกึ่งผูกขาด "ดูด" เงินได้มหาศาล แต่พอไปต่างประเทศ กลับไม่สามารถใช้เส้นสายได้ ความสามารถล้วน ๆ ก็มีอยู่ในขอบเขตจำกัด ขีดความสามารถในการแข่งขันจึงน้อย และจึงพ่ายแพ้กลับมานั่นเอง
ผมไม่ได้มาให้ร้ายวิสาหกิจยักษ์แห่งใด แต่อยากให้เห็นด้านมืดและให้รู้จัก "กวาดบ้านตนเอง" มีธรรมาภิบาลที่แท้เสียบ้าง เพื่อพัฒนาชาติร่วมกับเอสเอ็มอี และเพื่อพัฒนาขีดความสามารถที่แท้
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)