ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนประณาม จนท. ละเมิดสิทธิ ชี้คำสั่งนายผิดอย่าทำตาม

29 ม.ค. 2564 ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนออกแถลงการณ์ประณามเจ้าหน้าที่ ชี้ตำรวจควบคุมตัวผู้ชุมนุมไปที่ บก.ตชด. ภาค 1 ไม่มีกฎหมายให้อำนาจ ยึดโทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้รับความยินยอม ทำให้ผู้ถูกควบคุมตัวไม่สามารถติดต่อญาติ ทนายความ หรือผู้ไว้ใจ กระบวนการจับกุมยามวิกาลเสี่ยงทำให้ผู้ถูกจับถูกอุ้มหาย สลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ใช้กฎหมายกลั่นแกล้งประชาชน และดำเนินคดีด้วยข้อหาร้ายแรง ไม่เป็นธรรม

ในแถลงการณ์ยังระบุว่า ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนจะไม่ส่งเสริมวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด หากเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะไม่ยอมรับข้ออ้างว่าไม่สามารถขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา เพราะคำสั่งที่ผิดกฎหมายเมื่อนำมาปฏิบัติก็ย่อมเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเช่นกัน

แถลงการณ์ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564

ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุมของประชาชานมาอย่างต่อเนื่อง มีสถานการณ์การสลายการชุมชนและการควบคุมตัวผู้ชุมนุมหลายเหตุการณ์ที่ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเกินส่วนของเจ้าหน้าที่อันเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน  เช่น

กรณีที่ 1. การควบคุมตัวผู้ชุมนุม ไปที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้  คือ ตามกฎหมายแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาไปยังสถานีตำรวจที่มีอำนาจสอบสวน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น  เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับควบคุมตัวผู้ต้องหาไปยังกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563  ถึงปัจจุบัน เราพบกรณีนี้อย่างน้อย 2 คดีคือ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 กรณีการ์ดวีโว่ ขายกุ้ง บริเวณสนามหลวง  และเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564 กรณีเขียนป้ายผ้า 112 เมตร ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและสามย่าน ทั้งสองเหตุการณ์นี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม และควบคุมตัวผู้ชุมนุมบางคนโดยการล็อคข้อมือ ด้วยสายเคเบิลไทด์ และยึดมือถือไปโดยที่ไม่ได้รับความยินยอม ทำให้ผู้ต้องหาไม่ได้รับสิทธิในการติดต่อทนายความ ญาติ และบุคคลที่ไว้วางใจในโอกาสแรกที่ถูกควบคุมตัว ทั้งนี้ข้อกล่าวหาที่แจ้งนั้นเป็นความผิดที่มีอัตราโทษน้อย เช่น ความผิดตาม พรก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งถูกประกาศใช้ด้วยวัตถุประสงค์ในการควบคุมโรค แต่ถูกนำมาใช้อย่างเข็มงวดกับกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง  ความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ เป็นต้น

กรณีที่ 2. การจับตัวประชาชนในยามวิกาล โดยไม่มีเหตุอันสมควร กรณีนี้ภาคีฯ พบว่ามีจับกุมโดยมิชอบลักษณะนี้อย่างน้อย 3 กรณีคือ วันที่ 14 มกราคม 2564 ที่มีการจับกุมนิว สิริชัย แนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่หอพักใกล้บริเวณมหาลัยธรรมศาสตร์ ในยามวิกาล

กรณีอาร์ท ทศเทพ การ์ดวีโว่ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญไปสถานีตำรวจภูธรบางแก้ว ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 17 มกราคม 2564 ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการควบคุมตัวเกิน 48 ชั่วโมง ตามที่กฎหมายได้ให้อำนาจไว้ ผู้ถูกเชิญตัวเสี่ยงต่อการถูกบังคับให้สูญหาย

กรณีทีมงานฉายโปรเจกเตอร์ใส่ตึกศรีจุลทรัพย์ ถูกนำตัวไปสถานีตำรวจนครบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในช่วงกลางดึกของวันที่ 23 มกราคม 2564 โดยตำรวจไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาใดๆ แจ้งแต่เพียงว่ามีพฤติการณ์ต้องสงสัยเท่านั้น พร้อมทั้งทำการค้นตัวและของทุกอย่าง และมีการนำบัตรในกระเป๋าสตางค์ทุกใบมาเรียงแล้วถ่ายรูปไว้ ซึ่งตลอดเวลามีการข่มขู่ว่าหากไม่ปฏิบัติตามจะแจ้งข้อหาขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงาน หรือ

กรณีล่าสุด ในวันที่ 28 มกราคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เป็นจำนวนกว่า 10 นาย เข้าจับกุมทีมงานของการ์ดภาคีเพื่อประชาชน โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่โยนระเบิดที่สามย่าน เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564 โดยเป็นการเข้าจับกุมผู้ต้องหาที่บ้านพักในยามวิกาล เป็นต้น

กรณีที่ 3 เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ในการสลายการชุมนุม และควบคุมตัวผู้ชุมนุมที่ใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เช่น เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 กรณีที่การ์ดวีโว่ได้ทำการรื้อลวดหนามที่กางไว้บริเวณแยกอุรุพงษ์เป็นระยะเวลานาน จนส่งผลให้ประชาชนใกล้เคียงได้รับความเดือดร้อน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับเข้าใช้กำลังควบคุมตัวการ์ดวีโว่ ตลอดจนการใช้ความรุนแรงกับการ์ดวีโว่ในกรณีที่ไปขายกุ้ง บริเวณสนามหลวง ก่อนถูกนำตัวไปตชด.ภาค 1 และล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 ที่หน้าสถานีตำรวจนครบาลพญาไท เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความรุนแรงกับมวลชนที่ไปให้กำลังใจเพื่อนที่ถูกควบคุมตัวในสถานีตำรวจ จากเหตุการณ์แขวนป้ายผ้า save บางกลอย จนเป็นเหตุให้ผู้เข้าร่วมบางคนได้รับบาดเจ็บและเยาวชนหญิงคนหนึ่งหกล้มศรีษะฟาดพื้นได้รับบาดเจ็บจาการปฏิบัติติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากกรณีที่กล่าวมาข้างต้นเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีหน้าที่ในการพิทักษ์สันติราษฎร์ได้นำกฎหมายในมือของตนมากลั่นแกล้งประชาชนด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ด้วยการใช้พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558  พระราชบัญญัติเครื่องกระจายเสียง รวมถึงพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินฯที่ประกาศใช้เพื่อการควบคุมโรค ซึ่งกฎหมายต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นกฎหมายที่เป็นลหุโทษ หรือมีอัตราโทษเพียงเล็กน้อย ซึ่งความผิดเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นใดๆที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมากในการเข้าจับกุมหรือควบคุมตัวนำตัวไปที่สถานีตำรวจ มีการใช้เครื่องพันธนาการ อันเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เกินสัดส่วนก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ แม้การจับกุมจะเป็นการจับกุมด้วยข้อหาที่ไม่ร้ายแรงแต่การใช้กฎหมายเล็กๆน้อยๆลักษณะนี้ เป็นการใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งประชาชนให้ต้องได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร และเป็นการขัดขวางต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้อย่างอย่างแรง

และวันที่ 28 มกราคม 2564  เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม มีความเห็นสั่งฟ้องคดีของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ในการชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ทั้งๆที่ผู้ต้องหาพึ่งทำการไปรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยไม่ได้ให้โอกาสแก่ผู้ต้องหาที่ร้องขอยื่นคำให้การเป็นหนังสือภายในกำหนดเวลา 30 วัน อีกทั้ง แจ้งว่าหากผู้ต้องหาไม่มาส่งตัวต่อพนักงานอัยการจะทำการออกหมายจับ และในวันเดียวกัน พนักงานอัยการสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว 3 ส่งสำนวนคดีฟ้องต่อศาลกรณีนักเรียนเลวปราศรัยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 บริเวณแยกราชประสงค์ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โดยไม่ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ตัดโอกาสผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชนในการชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อประกอบสำนวนการพิจารณาสั่งคดีของอัยการ

สังเกตได้ว่าหลังจากที่พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564 ในกรณีที่ไปติดตามกรณีกลุ่มการ์ด We Volunteer โดยระบุในทำนองว่า หากจำเป็นต้องใช้กำลัง ก็สามารถกระทำได้ ให้ใช้กฎหมายในทุกข้อหา ไม่ลังเล สงครามยังไม่จบอย่าพึ่งนับศพทหาร และยังแถลงอีกว่าได้เตรียมพิจารณาดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น การที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวต่อสาธารณะชนเช่นนี้ ชี้ให้เห็นได้ว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมองกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นศัตรูในการสงคราม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานตำรวจที่จะต้องให้การคุ้มครองประชาชนและปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะในสงครามจะไม่สนใจในเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมาย  ทำให้เห็นว่าเป็นการส่งเสริมการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น กรณีสงครามยาเสพติด เมื่อปี 2546 พวกเราภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนขอตั้งคำถามต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า คำแถลงของท่านนั้นเป็นการส่งสัญญาณการอนุญาตให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมทุกรูปแบบใช่หรือไม่  และหากผู้ใต้บังคับบัญชาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะถูกดำเนินการทางวินัยใช่หรือไม่

กรณีที่ 4 การแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนด้วยข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงไม่เป็นธรรม ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เช่นในกรณีการตั้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แก่ประชาชนผู้ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ซึ่งเป็นข้อหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบสุขของประชาชน ซึ่งมีหลายกรณีพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาไม่เข้าองค์ประกอบความผิดแต่อย่างใด โดยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนคดีกว่า 41 คดี อาทิ กรณีทราย เจริญปุระ ที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมอย่างสงบ และมุก พิมพ์สิริ ที่ขึ้นพูดปราศรัยโดยมีเนื้อหากล่าวถึงรายงานพิเศษของสหประชาชาติในการใช้กฎหมายมาตรา 112 ทั้งสองคนถูกตั้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116  จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 บริเวณหน้ากรมทหารราบที่ 11

ด้วยเกียรติภูมิของเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเราเชื่อเหลือเกินว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ และต้องส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิตามกฎหมายบัญญัติรับรองไว้ แต่จากเหตุการณ์ต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น เราเห็นว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐนั้นเป็นไปในทิศทางลิดรอนและทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการใช้กฎหมายที่มีความร้ายแรงเกินกว่าเหตุ กลั่นแกล้งโดยการสร้างภาระให้ประชาชนเกินสมควร  ทำให้ประชาชนไม่มีพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงออกทางการเมือง แม้จะเป็นการแสดงออกด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธก็ตาม สะท้อนถึงความ “ไม่เห็นหัวประชาชน” ที่มุ่งแต่จะบังคับใช้กฎหมายเพื่อปิดปากประชาชนไม่ให้พูดถึงหรือแสดงออกถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาล

การออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ของประชาชน เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในสังคมประชาธิปไตย จำเป็นต้องได้รับการปกป้องไม่ให้ถูกทำให้เสื่อมค่า การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวข้างต้น เป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน และลดทอนศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิในวิชาชีพในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่พึงรับใช้ประชาชน และละเมิดต่อรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดที่ได้บัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้

ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ขอประณามทุกความรุนแรงในนามของกฎหมายที่เจ้าหน้าที่รัฐได้กระทำต่อประชาชนรัฐต้อง “หยุดการใช้อำนาจเกินสัดส่วนอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน หยุดใช้ความรุนแรงกับประชาชน และต้องหยุดการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน” ทันที  ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนจะไม่เพิกเฉยในอันที่จะเป็นการส่งเสริมให้วัฒนธรรมการพ้นผิดลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่ดำรงอยู่ต่อไป เจ้าหน้าที่คนใดที่บังอาจกระทำการอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ต้องรับผิดชอบต่อทุกความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน และเราไม่ยอมรับข้ออ้างของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่ว่า จำเป็นจะต้องกระทำการใดที่ละเมิดต่อประชาชนด้วยเหตุที่ไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้ คำสั่งที่ผิดกฎหมายเมื่อนำมาปฏิบัติก็ย่อมเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเช่นกัน

ด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท