แอมเนสตี้เปิดรายงานระบุ ตร.ไทยมักใช้ความรุนแรงเกินขอบเขตปราบปรามผู้ชุมนุมโดยสงบ 

แก๊สน้ำตา-ฉีดน้ำแรงดันสูง-ใช้สารเคมีเกินขอบเขต-ใช้กระสุนยางระยะประชิด แอมเนสตี้เปิดรายงาน ตำรวจไทยมักใช้ความรุนแรงเกินขอบเขตปราบปรามผู้ชุมนุมโดยสงบ จี้ทางการไทยปฏิบัติให้สอดคล้องหลักการด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออก   

2 ก.ค. 2564 วันนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเปิดรายงานวิจัยล่าชุดชื่อ  “หน้าแสบร้อนเหมือนโดนไฟไหม้” (My face burned as if on fire) ระบุทางการไทยมักใช้ยุทธวิธีที่รุนแรงและเกินขอบเขตอยู่เสมอ เพื่อปราบปรามขบวนการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่เป็นเยาวชนซึ่งขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในประเทศ รวมทั้งการทุบตีผู้ชุมนุม การฉีดน้ำแรงดันสูงที่ผสมสารเคมี และการยิงกระสุนยางในระยะประชิด โดยรายงานฉบับนี้ได้บันทึกข้อมูลอย่างละเอียด และการวิเคราะห์การชุมนุมที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา เผยให้เห็นภาพอย่างละเอียดของการใช้กำลังจนเกินขอบเขตมิชอบด้วยกฎหมายต่อผู้ชุมนุมโดยสงบ   

รายงานของแอมเนสตี้เป็นผลจากการทำงานของผู้สังเกตการณ์ภาคสนาม ซึ่งได้สัมภาษณ์ผู้เสียหายและประจักษ์พยานหลายสิบคน ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานในภาวะวิกฤตระหว่างประเทศของแอมเนสตี้ ยังได้ตรวจสอบวิดีโอ 87 ชิ้นที่เผยให้เห็นภาพการใช้ความรุนแรงของตำรวจ  

เอ็มเมอร์ลีน จิล รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า ผู้ที่อยู่ในพื้นที่การชุมนุมและผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ได้มีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือพฤติกรรมที่รุนแรง แต่พวกเขากลับต้องถูกกระทำด้วยความรุนแรงอย่างเจ็บปวดจากการใช้กำลังของตำรวจ มีการทุบตีประชาชน การยิงด้วยกระสุนยางและแก๊สน้ำตา ทั้งหมดเพียงเพราะพวกเขากล้าที่จะรวมตัวและแสดงออกโดยสงบ 

“ในขณะที่การชุมนุมขยายตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี ทางการไทยไม่ได้ดำเนินการเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ที่อ่อนไหว ทั้งยังทำให้ชีวิตของบุคคลจำนวนมากเสียงอันตราย รวมทั้งเด็ก”  

คำในการของพยานจำนวนมากในรายงานฉบับนี้ เน้นให้เห็นการใช้สารเคมีที่สร้างความระคายเคืองจนเกินขอบเขตต่อประชาชน รวมทั้งการใช้แก๊สน้ำตาและการฉีดน้ำแรงดันสูง ผู้เสียหายระบุว่าได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งแผลไหม้ที่รุนแรงและเลือดไหลออกทางจมูก   

ประจักษ์พยานและผู้เสียหายยังระบุถึงหลายเหตุการณ์ของการควบคุมฝูงชนที่มีความอันตราย ตั้งแต่การเล็งเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงใส่ศีรษะของประชาชน ไปจนถึงการยิงกระสุนยางอย่างไม่เลือกเป้าหมายใส่ฝูงชน  

ที่เปิดเผยในวันนี้ ทางการไทยมักใช้ยุทธวิธีที่รุนแรงและเกินขอบเขตอยู่เสมอ เพื่อปราบปรามขบวนการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่เป็นเยาวชนซึ่งขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในประเทศ รวมทั้งการทุบตีผู้ชุมนุม การฉีดน้ำแรงดันสูงที่ผสมสารเคมี และการยิงกระสุนยางในระยะประชิด  

ด้านปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่า รายงานฉบับนี้พร้อมทั้งข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องจากแอมเนสตี้จะถูกส่งต่อให้กับทางการไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเรียกร้องให้ตำรวจคุ้มครองสิทธิของผู้ชุมนุมโดยสงบทุกคน และอำนวยความสะดวกให้พวกเขาได้ใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและการแสดงออกอย่างเต็มที่ ทางองค์กรยังกระตุ้นให้ตำรวจเน้นการใช้วิธีการที่ไม่รุนแรง รวมทั้งการเจรจา การไกล่เกลี่ยและการพูดคุย เพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง   

แอมเนสตี้ยังขอกระตุ้นทางการไทยให้ยกเลิกข้อหาทั้งหมดที่มีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรม ที่ตกเป็นเป้าหมายเนื่องจากการใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ 

กฎหมายที่สร้างปัญหารวมทั้งพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ และพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องถูกยกเลิก และต้องเปลี่ยนมาใช้มาตรการที่มีข้อจำกัดน้อยกว่าและสอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบ และแสดงความเห็นโดยไม่ต้องถูกดำเนินคดี   

“ทางการไทยกำลังใช้ความรุนแรงและการคุกคามด้วยกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อปราบปรามความไม่พอใจที่เกิดขึ้นทั้งประเทศ การใช้ยุทธวิธีสร้างความหวาดกลัวเหล่านี้ มีแต่จะเน้นให้เห็นถึงความทุกข์ยากจำนวนมากที่เกิดขึ้นกับผู้ชุมนุม และยิ่งกระตุ้นให้เกิดการชุมนุมมากขึ้น”  

"ถึงเวลาต้องใช้แนวทางใหม่ เป็นแนวทางที่ยอมรับว่าการชุมนุมส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นไปโดยสงบ และเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออก   

“สุดท้ายแล้ว การเคลื่อนไหวของเยาวชนเป็นการเรียกร้องให้มีการเจรจา ทางการไม่ควรตอบโต้ด้วยไม้กระบอง เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง สารเคมี และการตั้งข้อหาที่ปราศจากมูลความจริง” ปิยนุชกล่าว 

นอกจากนั้นแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังปล่อยแคมเปญ RUBBER DUCKS, NOT RUBBER BULLETS ในโซเชียลมีเดียทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไอจี ทวิตเตอร์ โดยเชิญสมาชิกและผู้สนับสนุนทั่วโลกเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ที่มีข้อความ “RUBBER DUCKS, NOT RUBBER BULLETS” พร้อมติด #เป็ดยางไม่ใช่กระสุนยาง เพื่อแสดงออกถึงการยืนหยัดเคียงข้างเยาวชนที่ออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนมโดยสงบในประเทศไทย โดยแคมเปญดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564-มีนาคม 2565 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท