ประธานญาติวีรชน 35 ชี้ฝ่ายค้านเปิดโปงความล้มเหลวของ 'ประยุทธ์'

ประธานญาติวีรชน 35 ชี้ฝ่ายค้านเปิดโปงความล้มเหลวของ 'ประยุทธ์' - เลขา ครป. ขอให้ 4 นายพลตอบคำถามคดีค้ามนุษย์ เรียกร้อง 'ประวิตร-จักรทิพย์' รับผิดชอบโยกย้ายไม่เป็นธรรม - 'ทนายนกเขา' เชื่อไม่นานเพลง 'ตื่นเถิดไทย' กระหึ่มทั่วแผ่นดินไทย


อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 | แฟ้มภาพ

20 ก.พ. 2565 สภาที่ 3 แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนว่านายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 เปิดเผยภายหลังอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เสร็จสิ้นแล้ว ว่าจากข้อมูลของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่เผยให้เห็นความล้มเหลวตลอดเกือบ 8 ปี ของการอยู่ในอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พิสูจน์ชัดเจนว่า ความสามารถไม่ได้มาตรฐานระดับนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจประเทศพังยับเยิน ประชาชนล้มตายยิ่งกว่าทำสงคราม เกิดวิกฤติทุกด้าน  จนถึงวันนี้บ้านเมืองอยู่ในภาวะฝีแตก และจะลุกลามพังทลายขยายต่อเนื่อง ปรากฎเป็นรูปธรรมที่ประชาชนทุกคนเผชิญกับตัวเอง ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่ไม่มีรายได้ ไม่มีงานทำ ตัวเลขคนตายหลายหมื่นศพ และจะมีล้มตายอีกมาก เพราะไร้ความสามารถตามมาตรฐานที่ควรมีในการรับมือโควิด-19 ของรัฐบาล ไม่สามารถกระตุกจิตสำนึกอำมหิตความรับผิดชอบใดๆจากผู้มีอำนาจ รับผิดชอบสกเไม่เป็นเลย ประชาชนถูกกดให้ โง่ จน เจ็บ เพื่อที่รัฐบาลจะได้อำนาจต่อไป  ขณะที่คนรวย เจ้าสัว นับวันยิ่งรวยขึ้น ชนชั้นปกครอง นับวันยิ่งขยายอำนาจ แต่พลังประชาชน พลังการตรวจสอบถูกกำหราบปราบปรามให้อ่อนแอไร้พลังจากการใช้กฎหมายอย่างอยุติธรรม

“วงจรการสืบทอดอำนาจของระบอบประยุทธ์ยังคงขับเคลื่อนต่อโดยไม่แยแสต่อความเสียหายและความทุกข์ของแผ่นดิน ไม่ใส่ใจที่จะปฏิรูปประเทศให้เจริญก้าวหน้าเพื่ออนาคตของลูกหลาน  ไม่สร้างความสมานฉันท์ปรองดองกับประชาชน สังคมไทยแตกแยกร้าวลึกอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน   ความสงบยังไม่เกิดและยังไม่จบ เพราะประยุทธ์คือตัวปัญหา  สิ่งที่หวั่นเกรงคือ สังคมไทยจะเดินไปสู่ยุคมิคสัญญี ที่คนไทยจะถูกเข่นฆ่าอีกครั้ง เพราะโดยกฎของธรรมชาติ ที่ใดมีการกดขี่ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่าจะอยู่ต่อ อำมหิต ไม่ยอมลาออกตามเสียงเรียกร้อง และมองคนที่ร้องเตือนให้ลงจากอำนาจว่าเป็นศัตรู ดังนั้นการปราบปรามอย่างรุนแรงเด็ดขาด ก็ต้องเกิดขึ้น ซึ่งคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์  มีความอำมหิตเพียงพอ” นายอดุลย์ กล่าว

นายอดุลย์ กล่าวเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคมที่เห็นแก่อนาคตของชาติได้ช่วยกันในทุกวิถีทาง เรียกร้อง เคลื่อนไหว กดดัน ให้พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากอำนาจเสียแต่วันนี้ เพื่อไม่ให้ประเทศชาติเดินไปสู่หายนะหรือการนองเลือด และหลุดพ้นจาก ความซวย ที่มีนายกฯเฮงซวย ในสังคมประชาธิปไตยถ้ามีเสียงต่อต้านมากขนาดนี้ก็ต้องลาออกไปแล้ว แต่ยังหน้าด้านอยู่อีก  ดังนั้น ทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา รวมทั้งนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล หรือกลุ่มบุคคลใดที่ออกมาต่อต้านประยุทธ์ ถือว่าเป็นพันธมิตรกับประชาชน แม้ยังไม่สำเร็จประชาชนต้องเอาใจช่วย และหากสามารถทำให้ประยุทธ์ลงจากอำนาจได้จะเป็นคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อชาติบ้านเมือง

นายอดุลย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับบทบาทของคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ในโอกาสครอบครบรอบ “30 ปีพฤษภาประชาธรรม” จะร่วมกับภาคีเครือข่ายกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ ต่อเนื่องจนกว่าพล.อ.ประยุทธ์จะลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยในวันที่ 23 ก.พ.นี้ วลา 13.00-16.00 น. ณ ห้องประชุมคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.ประสานมิตร) จะจัดเวที "ประสานมิตร : ถอดบทเรียนการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ จาก รสช. ถึงเหตุการณ์ 17 พ.ค. 35 บทบาททหารกับการเมืองไทย" เพื่อสรุปบทเรียนและบทบาทของกองทัพ ป้องกันไม่ให้ทหารทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองอีกต่อไป

เลขา ครป. ขอให้ 4 นายพลตอบคำถามคดีค้ามนุษย์ เรียกร้อง 'ประวิตร-จักรทิพย์' รับผิดชอบโยกย้ายไม่เป็นธรรม

ด้านคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนว่า นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึงเรื่องขบวนการค้ามนุษย์ว่า ต้องขอขอบคุณ รังสิมันต์ โรม ได้ทำให้สังคมไทยเข้าใจปัญหานี้ทางโครงสร้างอย่างชัดเจนขึ้นในระบอบอำนาจนิยมอุปถัมภ์ของชนชั้นนำไทย พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 คือตำรวจน้ำดีที่สุดคนหนึ่งในวงการตำรวจไทย ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ควรจะรักษาไว้และให้รางวัลเชิดชู ไม่ใช่ขับไสไล่ส่งออกไปจากองค์กรจนกระทั่งต้องขอลี้ภัยไปต่างประเทศ เพราะแพ้ภัยอำนาจอิทธิพลที่กลายเป็นรัฐซ้อนรัฐในรูปของพี่น้องโรงเรียนเตรียมทหาร และนายร้อย จปร. ที่กลายเป็นระบบอุปถัมภ์นิยม ทั้งในหน่วยงานราชการ อำนาจเถื่อนและเศรษกิจสีเทา โครงสร้างสังคมไทยลักษณะนี้จึงอนุญาตให้แก๊งมาเฟีย เจ้าพ่อค้ายา ผู้มีอิทธิพลเถื่อน เข้าสู่ระบบ และมีหน้ามีตาในสังคมการเมืองไทย กระทั่งนั่งอยู่ในรัฐสภา

การที่ พล.ต.ต.ปวีณ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ทั้งที่เป็นตัวหลักในการทำคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา จนสามารถจับกุมนายทหารระดับนายพล ตำรวจยศใหญ่ กระทั่งนักการเมืองท้องถิ่นได้หลายคนนั้น ผมคิดว่ามีคนที่จะต้องรับผิดชอบและตอบคำถามในเรื่องนี้หลายคน ไม่ใช่แค่ตอบคำถามประชาชนไทย แต่ตอบคำถามประชาคมโลกด้วย

คนที่หนึ่ง คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่นั่งเป็นประธานที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2558 และมีคำสั่งย้าย พล.ต.ต.ปวีณ ไปรักษาราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.ประวิตร ต้องรับผิดชอบและตอบคำถามว่า กลั่นแกล้งสั่งย้ายทำไม หรือตั้งใจส่งเขาไปตายหรือไม่ เพราะชายแดนใต้เป็นพื้นที่พิเศษ เต็มไปด้วยอำนาจมืดและขบวนการที่เกี่ยวข้องในเส้นทางค้ามนุษย์ริมชายแดน ทำไมไม่ให้เขาทำงานคดีต่อต้านขบวนการค้ามนุษย์ต่อไป หรือมอบอำนาจเลื่อนตำแหน่งให้

คนที่สอง คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่เพิ่งได้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ในขณะนั้น ที่อ้างว่าได้รับคำแนะนำจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเตรียมทหาร (ตท.) รุ่น 16 ของ พล.ท.มนัส คงแป้น จำเลยคนสำคัญในคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ว่าให้ย้ายไปชายแดนใต้เนื่องจาก พล.ต.ต.ปวีณ เชี่ยวชาญกฎหมายความมั่นคง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ต้องรับผิดชอบและตอบคำถามในเรื่องนี้ว่า การสั่งย้ายทั้งๆ ที่มีคดีค้างอยู่และมีผลงานเป็นที่ปรากฎถือเป็นการกลั่นแกล้งและปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือไม่ และได้สอบถามความสมัครใจเจ้าตัวในการสั่งย้ายนี้ด้วยหรือเปล่า

นอกจากนี้ หลังจากคดีนี้พัวพันกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายและ พล.ต.ต.ปวีณ หัวหน้าชุดทำคดี ได้ถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายการเมือง จนตัดสินใจทำหนังสือลาออกเมื่อ 5 พ.ย. 2558 และขอลี้ภัยภายหลังขอให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ทบทวนคำสั่งไม่สำเร็จนั้น ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคงได้เห็นปัญหาจึงพยายามขอให้ พล.ต.ต.ปวีณ ยับยั้งใบลาออกและให้โอนย้ายไปทำงานในสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ (สนง.นรป.904) แทน หรือย้ายไปที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเพื่อดูคดีค้ามนุษย์ต่อ เพื่อให้ตำรวจน้ำดีได้ทำงานช่วยบ้านเมืองต่อไป แต่ขณะไปถอนใบลาออกในอีกวันต่อมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. กลับบอก พล.ต.ต.ปวีณ ให้ลาออกไปอยู่เงียบๆ แทน โดยต่อสายให้ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ประจําสํานักพระราชวังพิเศษ ซึ่งเป็นผู้เสนอทางเลือกนี้ ได้ยืนยันกับ พล.ต.ต.ปวีณ โดยตรง

ซึ่งประเด็นนี้ทำให้ พล.ต.ต.ปวีณ อาจกลัวว่าการปฏิเสธเข้าสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ อาจเป็นภัยคุกคามจากการปฏิเสธก็ได้ จึงขอลี้ภัยไปยังออสเตรเลีย เพราะอยู่ใน สตช.ก็ไม่ได้แล้ว อาจมีภัยจากการทำคดีค้ามนุษย์และอาจถูกกลั่นแกล้งคดี ม.112 ดังนั้น คนที่สาม ที่ต้องตอบคำถามก็คือ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย นั่นเอง ว่าเขารับงานใครมาหรือไม่? ทำไมเสนอทางเลือกใหม่ต่างไปจากสองทางเลือกแรกและขัดกับข้อเสนอของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ต้องการให้ไปช่วยงานในตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งต่อมา พล.ต.อ.จุมพล ก็ได้กลายเป็นผู้ต้องหาคดีประพฤติชั่วร้ายแรงและบุกรุกพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติ โดยสำนักพระราชวังลงโทษไล่ออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการพระราชวังฝ่ายความมั่นคงและกิจกรรมพิเศษ ในวันที่ 27 ก.พ. 2560 ปัจจุบันพ้นโทษออกมาแล้ว

สำหรับข้อครหาที่ว่า พล.ท.มนัส เสียชีวิตในเรือนจำจากเหตุหัวใจวายนั้นมีการตัดตอนคดีหรือไม่ ในเรื่องนี้กรมราชทัณฑ์เคยเผยแพร่เอกสารยืนยันการเสียชีวิตของ พล.ท. มนัส ระหว่างถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม กรุงเทพฯ ในวันที่ 2 มิ.ย. 2564 แล้ว หลังจากเข้ารับการรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ 1 เดือน เนื่องจากมีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูง ไขมันในโลหิตสูง และหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ และได้เสียชีวิตขณะเดินออกกำลังกายแล้ววูบหมดสติ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และผบ.เรือนจำ อาจต้องเผยแพร่เอกสารผลชันสูตรจากแพทย์ด้วย

และ คนที่สี่่ ที่ต้องรับผิดชอบและตอบคำถามสังคมไทยคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ย่อมรู้เห็นเป็นใจไม่มากก็น้อย เพราะ พล.ต.ต.ปวีณ กำลังทำคดีสำคัญเพื่อกู้หน้าประเทศไทย สร้างภาพลักษณ์ใหม่แก่ประชาคมโลก หลังจากที่ถูกกดดันจากผลการจัดระดับประเทศไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report: TIP Report) ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของไทย นอกจากนั้น พล.ต.ต.ปวีณ เคยทำเรื่องขอให้พล.อ.ประยุทธ์ ช่วยทบทวนคำสั่งด้วย แต่ก็ไม่มีการตอบรับ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะรู้เห็นเป็นใจและไฟเขียวด้วย

ขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทยเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก บุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกลายเป็นกลุ่มที่เกี่ยวพันกับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติไปโดยปริยาย จึงอาจทำให้รูปแบบองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้อาจถูกนำตัวขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศไทยได้เช่นกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ

เบื้องหลังของขบวนการค้ามนุษย์โรฮิงญาล้วนเป็นตัวอย่างที่น่าศึกษา เพราะทำกันอย่างเป็นระบบ มีผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ระหว่างทางมีผลประโยชน์มหาศาลเป็นเดิมพัน จากการที่มีการเปิดเผยค้นพบแคมป์พักชั่วคราวของขบวนการค้ามนุษย์บนเทือกเขาแก้ว ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา อ.รัตภูมิ หลายพื้นที่ในจังหวัดสงขลาในปี 2558 ซึ่งถูกสร้างขึ้นในลักษณะเกือบถาวรและรอบบริเวณยังพบหลุมฝังศพมากมายหลายสิบหลุมจนโลกต้องตะลึง นอกจากนี้ยังพบที่ จ.พังงา จ.ชุมพร และ จ.ระนอง ด้วยโดยมีทั้งชาวโรฮิงญา พม่า ไทย และมาเลเซีย เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้

ขบวนการต้นทางมีคนที่ถูกเรียกว่า "มาชี" สามารถพูดได้ 3 ภาษา คือภาษาโรฮิงญา ภาษาพม่า และภาษาอังกฤษ เป็นผู้คุมดูแลระหว่างการเดินทางและในค่ายพัก โดยมีเครือข่ายมาชีทั้งหมดประมาณ 300 คน ในขณะนั้น ทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย และพม่า มาชีจะนำพาชาวโรฮิงญาขึ้นเรือเล็กออกจากพม่าและชายแดนบังกลาเทศ มาขึ้นเรือใหญ่กลางทะเล และขึ้นฝั่งในหลายจังหวัดของไทย ไม่ว่าจะเป็น จ.ระนอง จ.พังงา ตามแนวอันดามัน เพื่อขึ้นรถเดินทางต่อไปยังแคมป์กักขังใกล้ชาย แดนไทย-มาเลเซีย ที่ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ระหว่างทางจึงต้องมีการเข้าหาเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อขอเปิดทาง โดยเฉพาะตำรวจท้องที่ หรือตำรวจทางหลวงต่างๆ ทำให้นายหน้าโรฮิงญามักจะรู้จักมักคุ้นกับเจ้าหน้าที่รัฐของไทยหลายคนเป็นอย่างดี

จากการที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรหัวไทร จ.นครศรีธรรมราช จับกุมรถขนส่งชาวโรฮิงญาได้กว่า 101 คน ซึ่งเสียชีวิตลงจากสภาพการเดินทางแออัดภายในรถ 3 คน มีการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงผู้ต้องหาทั้งในพื้นที่ จ.ระนอง และ จ.สงขลา จากการจับกุมในครั้งนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถขยายผลเชื่อมโยงไปยังนายหน้าขบวนการค้ามนุษย์อีกหลายคน รวมถึงบางคนที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์และถูกฆ่าตาย นำไปสู่การพบศพอีกจำนวนมากมายในค่ายพักชั่วคราวบนเทือกเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่่งเป็นจุดชำระเงินค่าไถ่หรือค่าหัวแรงงานนั่นเอง

ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงบางส่วนใช้ช่องว่างทางกฎหมายหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากนโยบายด้านความมั่นคงและงบลับทางการทหาร เพื่อหารายได้จากธุรกิจสีเทาจนสร้างเป็นโครงข่ายที่ใหญ่โต โดยหลังจากปี 2556 เป็นต้นมาที่มีการจับกุมชาวโรฮิงญาครั้งใหญ่ซึ่่งก่อนหน้านั้นพวกเขาจะเป็นผู้นำพาผู้อพยพด้วยกันเองและมีคนในพื้นที่คอยให้การช่วยเหลือ แต่ต่อมามีคนไทยตั้งตัวเป็นนายหน้าเรียกค่าไถ่รับผลประโยชน์แทน ทำให้เกิดขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติอย่างเป็นระบบและเกิดค่ายกักขังบนภูเขาขึ้น 

ในช่วงนั้น หน่วยงานทางปกครองของไทยบางหน่วยจึงใช้วิธีจัดงบประมาณ ดำเนินการในทางลับเพื่อขนชาวโรฮิงญาออกจากราชอาณาจักร เพื่อแก้ปัญหาการพักพิงในประเทศไทย เนื่องจากเมื่อถูกจับกุมในฐานะลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จะไม่สามารถส่งกลับประเทศต้นทางได้ เนื่องจากพม่าและบังกลาเทศไม่ยอมรับคนเหล่านี้เป็นพลเมือง จากนโยบายความมั่นคงและการใช้งบลับดังกล่าว กลายเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐบางคน จับมือกับนักการเมืองท้องถิ่นและฝ่ายปกครอง รวมทั้งตำรวจ ร่วมกันแสวงหาผลประโยชน์ ด้วยการวางโครงข่ายขบวนการนำพาชาวโรฮิงญาส่งให้ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแลกกับผลประโยชน์ ดังคดีที่มีการจับกุม พล.ท.มนัส คงแป้น ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่เกี่ยวข้อง และสั่งย้ายข้าราชการตำรวจหลายคนที่ได้รับส่วย 

นอกจากนี้ ริมชายแดนเทือกเขาแก้ว อ.สะเดา จ.สงขลา ที่ขบวนการค้ามนุษย์ใช้ควบคุมชาวโรฮิงญาจำนวนมากเพื่อการค้ามนุษย์ เรียกค่าไถ่ และส่งตัวไปประเทศเพื่อนบ้านนั้น ยังเคยเป็นที่ควบคุมผู้อพยพชาวอุยกูร์อีกด้วยเช่นกัน ถ้าจำกันได้ก่อนหน้านั้นทางการไทยเคยจับกุมผู้อพยพชาวอุยกูร์ได้กว่า 280 คน ซึ่งต่อมามีการพิสูจน์สัญชาติจนมีการส่งตัวไปยังตุรกี 171 คน ส่วนอีก 109 คน ถูกส่งกลับไปยังประเทศจีนเพื่อดำเนินคดีตามคำร้องขอ ซึ่งต่อมาได้เกิด "วินาศกรรมราชประสงค์" ขึ้นใจกลางกรุงเทพมหานคร

'ทนายนกเขา' เชื่อไม่นานเพลง “ตื่นเถิดไทย” กระหึ่มทั่วแผ่นดินไทย

นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย กล่าวใน “เพจกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.)”  ว่า ประเด็นที่พูดคือ 1. ควันหลงอภิปลาย สภารามเกียรติ์ริมน้ำ  2.หนี้สินแผ่นดิน ประชาชนคือผู้รับกรรม 3. สถานการณ์โลกกับความมั่นคงของชาติ  วันนี้จะเห็นร่องรอยของคนที่ยอมเป็นข้ารับใช้ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ญี่ปุ่นหรือนานาชาติอีกหลายประเทศ ที่มากอบโกยโกงกินตั้งรกรากอยู่ในพื้นแผ่นดินไทยมานาน โดยเฉพาะการปรากฏตัวชัดเจน หลังการเปลี่ยนแปลงเมื่อพ.ศ. 2475  ซึ่งความมุ่งหมายที่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ความคิดนี้ของกลุ่มอำนาจเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  มีคนไทยบางคนบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มที่มีอำนาจทางการเมือง มีอำนาจทางธุรกิจต่างๆ ยอมตนไปรับใช้

“คิดว่าในเวลาไม่นานนี้พี่น้องทุกคน จะได้ยินเสียงเพลง “ตื่นเถิดไทย” เปิดกันทั่วแผ่นดินไทยพร้อมกับการดำเนินกิจกรรม ที่เรียกร้องให้เกิดอธิปไตยของไทยอย่างแท้จริง วันนี้หลายคนอาจจะมองว่าประชาธิปไตยมีความสำคัญ  ตนไม่ขอเถียงแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ให้กำเนิดประชาธิปไตยคืออธิปไตยของประเทศเรา  วันนี้ประชาชนต้องค้นหาความจริง ว่าสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองดำรงอยู่ต่อไปได้ อยู่ที่ประชาธิปไตยและอยู่ที่อำนาจอธิปไตย  ประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์จะทำให้สมบูรณ์ได้มีคุณธรรมได้ ก็ด้วยการเอาอธิปไตยของชาติ อธิปไตยของพวกเราทุกคนกลับมา แล้วจัดการบุคคลที่เป็นไฟของชาติให้เสร็จสิ้นไป เราจึงจะมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”

นายนิติธร กล่าวว่าในเรื่องของการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตนมีข้อสังเกต 2 เรื่อง คือ เราไม่เห็นว่าสภาล่มเพราะมีการถ่ายทอดสด และมีการทำข่าวของสื่อทุกแขนง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สภาไม่ล่ม ส่วนอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เขาทำในสภานั้นแท้จริงแล้ว คือโรงละคร เราจะเห็นการปรากฏตัวของพระรามพระลักษณ์ ทั้งการพูดและการแสดงทั้งหมด สื่อความหมายว่าคือละคร ถ้าเปรียบเป็นภาคใต้ก็คือหนังตะลุง ซึ่งเราจะเห็นผู้กำกับผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ปรากฏการณ์แค่นี้ต้องคิดว่าเมื่อเห็นแล้วก็เพียงพอ ที่จะเห็นการดำเนินการต่างๆและการประชุมมาจากโรงละครเดียวกัน นักแสดงทีมเดียวกันเครือข่ายเดียวกัน ดำเนินไปตามผู้กำกับผู้เขียนบท

“เพราะฉะนั้นการแสดงวันนี้ การไปอภิปรายที่ผ่านมาสิ่งที่เกิดขึ้นคือ การนำเสนอข้อมูลหาความแปลกใหม่ที่เกิดประโยชน์ ต่อการพัฒนาประเทศหรือความทุกข์ยาก ของประชาชนได้น้อยมาก เพราะพูดปัญหาซ้ำๆไม่มีใครพูดถึงรากเหง้าของปัญหา ประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่เข้าใจว่า ประเทศเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ไม่เห็นพูดถึงความขัดแย้งของโลกและไทยมีอธิปไตยหรือไม่”

แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย กล่าวว่าการทำหน้าที่ในรัฐสภาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นความไร้คุณภาพของบุคคล และระบบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มีช่องว่างมากมาย การกลั่นกรองบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ ยังต้องแก้ไขปรับปรุง และในขณะนี้สิ่งที่ผ่านๆมาไม่รวมครั้งนี้ เราจะเห็นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายขั้วไปแล้ว คือไม่มีฝ่ายค้านอย่างแท้จริง  หากมีการยุบสภาหรือลาออก ตรงนี้จะแสดงให้เห็นว่าใครย้ายพรรคบ้าง ตรงนี้จะเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นในอนาคต

“การอภิปรายของ ส.ส.ผู้หญิงคนหนึ่งในสภา อยากให้จับตาดูว่ากรณีที่เกิดขึ้น ที่สถานีรถไฟบางซื่อ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และกรณีของการฉีดวัคซีนขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรงนี้ใครได้ประโยชน์ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ของการทุจริตคอรัปชั่นเบียดบัง สร้างสถานการณ์หรือไม่เพื่อให้ได้มาจากผลประโยชน์  ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการทุจริตคอรัปชั่น งบประมาณรัฐบาลที่เสียไปและไม่ปกติแน่นอน ขอให้ประชาชนจับตาในเรื่องนี้ให้ดีโดยเฉพาะเรื่องการประเมินสถานการณ์โควิดที่ผิดพลาด ต่ำกว่าความเป็นจริงจึงเกิดผลกระทบต่างๆตามมา”

นายนิติธร กล่าวว่านอกจากนี้มีคนพูดถึงการบริหารจัดการโควิด ซึ่งมีคนรู้จักของตนคนหนึ่ง ไปยื่นเรื่องต่อสำนักงานการตรวจการแผ่นดิน (สตง.) ว่าขอให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณประจำปี ซึ่งไม่รู้ว่าสตง. ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว หรือถ้ามี ส.ส.คนไหน อยากตรวจสอบงบประมาณของรัฐ ก็ตามไปที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้   ซึ่งตนจะไปติดต่อคนที่ไปยื่นว่าคืบหน้าถึงไหนแล้ว และอยากฝาก ส.ส.ฝ่ายค้านว่า ตนได้แจ้งเบาะแสไปแล้ว ถ้าจะไปตามข้อมูลและเอกสาร ก็จะทำให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ มากกว่าที่ประชาชนไปดำเนินการไว้ และจะเกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง                

ส่วนการปรากฏตัวของนายทักษิณ ชินวัตร แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย  กล่าวว่า  ขณะนี้ ที่น่าแปลกใจ คือการออกนอกประเทศ ของนายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีการรัฐประหาร ก็ไม่เข้าใจว่าฝ่ายรัฐประหารไปเอื้ออะไรหรือไม่ หรือการรัฐประหารลืมแถลงว่า จะให้ 2 พี่น้องพ้นไปจากการถูกดำเนินคดีจับกุมคุมขัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่นรอดไปด้วย โดยการรัฐประหาร และผู้รัฐประหารก็รอดพ้นไปด้วยการนิรโทษกรรมของตัวเอง

นายนิติธร กล่าวว่าเพราะฉะนั้นอดคิดไม่ได้ว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกันหรือไม่เปิดทางให้กันหรือไม่ คงต้องไปขุดคุ้ยดูว่า ในกลุ่มคน เหล่านี้ยังมีนอมินีหรือรับประโยชน์ใดๆ ในกิจการของเมืองไทยหรือไม่  ตนคิดว่าถ้าจะแก้ไขปัญหาและประชาชนอยากได้อธิปไตยกันจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้ามาบริหารในขณะนี้ ถ้าไม่ทำเรื่องเหล่านี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า ท่านมีสันดานแบบเดียวกันหรือมีพฤติกรรมแบบเดียวกันหรือไม่ และใครมีคุณสมบัติที่ตนพูดถึง ก็ขอให้ปรับปรุงตัว บ้านเมืองจะได้ดีขึ้น อย่าดีแต่ปากเพราะการเข้ามาของนายทักษิณในขณะนี้ มีการปรากฏตัวและมีปรากฏการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ในเรื่องของการเตรียมพร้อมการชุมนุมของหลายฝ่าย

“ในเดือนมีนาคมก็จะมีการชุมนุม ผมขอเตือนให้ระวังจะไปเข้าทาง ให้เกิดความขัดแย้งบานปลาย ขณะนี้บรรดาพวกที่เคลื่อนไหว ล้มล้างเสาหลักของประเทศ เสาหลักอธิปไตย เขาทำงาน 24 ชั่วโมง เรื่องนี้อยากให้ประชาชนต้องช่วยกันดู และเข้าใจว่าถึงเวลาแล้วที่ประชาชน ต้องทำหน้าที่จากจิตสำนึกของตนเอง ตามรัฐธรรมนูญและเป็นพลเมืองของแผ่นดินไทย เพื่อความสงบสุขในแผ่นดินของเรา” แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย  กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท