Skip to main content
sharethis
  • โฆษกก้าวไกล ร่วมรำลึกถึง 2 เหตุการณ์นองเลือดเดือนพฤษภา ปี 35 และ 53 ย้ำเตือน เคารพเจตนารมณ์คนเดือนพฤษภา ต้องไม่เอาทั้ง 3 ป. และพวกมาปกครองประเทศอีก เพราะล้วนแต่เป็นผู้มีส่วนร่วมก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดในสังคมประชาธิปไตย
  • รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ชี้ 12 ปีสลายชุมนุมเสื้อแดง ผู้สูญเสียไม่เคยสัมผัสเศษเสี้ยวความยุติธรรม หวังปฎิรูปทหารเป็นจริงเสียทีในยุคประยุทธ์

20 พ.ค.2565 เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า เนื่องในวันครบรอบ 12 ปี การล้อมปราบประชาชนในวันที่ 19 พ.ค.53 รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ระบุว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ค.65 ที่ผ่านมา ในการแถลงข่าวของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ผนึกกำลังขีดเส้นใต้ความล้มเหลว ขีดเส้นตายรัฐบาล ท่ามกลางสถานการณ์ที่นายกรัฐมนตรีอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงจุดตกต่ำขนาดที่คนในพรรครัฐบาลเองยังไม่อยากจะร่วมหัวจมท้ายด้วย ในขณะเดียวกันปรากฏกระแสข่าวของความพยายามที่จะผลักดันคนอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นมาแทนที่

ในวันนั้น ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ในฐานะตัวแทนของพรรค ได้กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า "เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม เราย่อมรำลึกถึงเหตุการณ์ทางการเมืองอย่างน้อย 2 เหตุการณ์ คือพฤษภา 35 และพฤษภา 53 
.
พฤษภา 35 พี่น้องประชาชนจำนวนมากเสียเลือดเนื้อชีวิตเพื่อยืนยันในหลักการว่า ‘นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ต่อต้านนายกฯ คนนอก’ พฤษภา 53 พี่น้องประชาชนจำนวนมากเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อยืนยัน ‘ขับไล่รัฐบาลที่มาจากค่ายทหาร’ ดังนั้น ไม่เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งที่เราจะเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังเดือนสิงหาคมชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ"

“สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร และรวมไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ทั้ง 3 คนล้วนแต่เป็นผู้มีส่วนร่วมก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดในสังคมประชาธิปไตย ตั้งแต่การรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไปจนถึงการสังหารหมู่ประชาชนที่ออกมาใช้เสรีภาพเรียกร้องขอกำหนดอนาคตของพวกเขาเอง

“ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เริ่มเข้ามามีอำนาจโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งจากใครเลยแม้แต่คนเดียว และแม้พยายามสืบทอดอำนาจต่อมาผ่านการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญที่ตัวเองเขียนมาแล้วมัดมือชกให้คนอื่นยอมรับ แต่พอวันนี้คนหนึ่งกำลังจะไปไม่รอด ก็จะดันอีกคนเข้ามาสืบต่ออีกผ่านกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีจากกระบวนการปลดล็อคให้สภาเสนอชื่อคนนอกที่พรรคการเมืองไม่ได้เสนอชื่อไว้ได้ การกระทำเช่นนี้ขัดแย้งโดยตรงต่อสิ่งที่พี่น้องประชาชนต่อสู้เรียกร้องจนต้องเสียเลือดเนื้อชีวิตเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535”  

รังสิมันต์ ระบุต่อไปว่า ในวันนี้ วันที่ 19 พ.ค.565 คือวันครบรอบ 12 ปี ที่พี่น้องประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งต้องเสียเลือดเนื้อชีวิตไม่ต่างกัน เราก็เห็นกันตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ได้นำพาทหารออกจากสถานที่ที่พวกเขาควรอยู่ ออกจากหน้าที่ที่พวกเขาควรทำ เข้ามายุ่งวุ่นวายในสนามการเมืองเพียงเพื่อคอยพยุงให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไป ไม่ใช่แค่ในรัฐบาลแต่ยังรวมถึงในรัฐสภาด้วย และยังคิดที่จะอยู่อย่างนี้ต่อไปอีก จึงย่อมขัดแย้งโดยตรงต่อสิ่งที่พี่น้องประชาชนต่อสู้เรียกร้องเช่นเดียวกัน

“สรุปแล้วในวันนี้เจตนารมณ์ของคนเดือนพฤษภาทั้ง 2 ยุคสมัยล้วนแต่กำลังถูกเหยียดหยามโดย 3 ป. นี้ แล้วเราจะยังยอมให้เป็นแบบนี้ต่อไปอีกหรือ?

“พวกเราทุกคน ซึ่งรวมถึงบรรดานักการเมืองเพื่อนร่วมอาชีพของผม ควรร่วมยืนยันอย่างหนักแน่นที่สุดว่าไม่ว่าสิ่งที่คนพวกนี้เจรจาต่อรองกันที่บ้านป่ารอยต่อจะเป็นอย่างไรก็ตาม หากมันเป็นเพื่อจะให้ใครแม้คนใดคนหนึ่งในพวกนี้ได้อยู่ในอำนาจต่อไป จะเป็นประยุทธ์ ประวิตร หรืออนุพงษ์ หรือใครอื่นใด พวกเราไม่เอาทั้งนั้น ที่ผ่านมาพวกเขาทำร้ายประชาชนมามากพอแล้ว พวกเราไม่ต้องการเห็นใครที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องต้องบาดเจ็บล้มตายเหมือนพี่น้องคนเดือนพฤษภาเหล่านี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นเพื่อเคารพเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนเหล่านี้ ก็ขออย่าให้ที่ยืนแก่ 3 ป. สิ่งที่พวกเขาควรทำคือเอาทหารกลับกรมกองไปให้หมด และเตรียมรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง อย่าให้พวกเขาได้มามีอำนาจปกครองประเทศนี้อีกเลย” รังสิมันต์ ระบุ

รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ชี้ 12 ปีสลายชุมนุมเสื้อแดง ผู้สูญเสียไม่เคยสัมผัสเศษเสี้ยวความยุติธรรม หวังปฎิรูปทหารเป็นจริงเสียทีในยุคประยุทธ์

วันเดียวกัน ทีมสื่อพรรคเพื่อไทย รายงานต่อสื่อมวลชนด้วยว่า ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  ครบรอบ 12 ปีของการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ปี 2553 ในฐานะของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขอร่วมไว้อาลัยให้กับผู้เสียสละชีวิต และครอบครัวผู้สูญเสียที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรม  น่าเศร้าที่กระบวนการยุติธรรมยังไม่สามารถควานหาตัวผู้กระทำผิดที่สั่งการให้เกิดการสั่งฆ่าประชาชนกลางเมือง  ไม่มีการถอดบทเรียนเพื่อช่วยบรรรเทาความรุนแรงสูญเสียที่จะเกิดขึ้น ตรงกันข้ามผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เข่นฆ่าประชาชนกลับมีตำแหน่งสูงขึ้น มีชีวิตที่สุขสบาย และยังมีคนบางคนบางกลุ่มยังออกมาส่งเสียงระวังเกิดการยึดอำนาจและการรัฐประหารอีก   แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังตกอยู่ในวังวนของการยึดอำนาจโดยทหารไม่มีวันจบสิ้น 

ทั้งนี้ เชื่อว่าสิ่งที่คนไทยอยากเห็น คือ การปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจังในยุคพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  มากกว่าการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ที่สิ้นเปลืองทั้งงบประมาณแผ่นดินและยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ในยุคที่ประชาชนทุกข์ยากแสนเข็ญ  ขณะเดียวกันกระบวนการยุติธรรมของประเทศจะต้องเร่งสืบหาข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของประชาชนจากการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์และทุกกรณี  เพราะที่ผ่านมาทำได้เพียงการไต่สวนหาสาเหตุของการตายจากกระสุนของเจ้าหน้าที่เท่านั้น 

“เหตุการณ์ในวันนั้น ภาพจำที่ชัดเจนยังติดตามาจนถึงทุกวันนี้คือการใช้อาวุธและรถถังมาสลายการชุมนุม ชายแต่งกายในชุดลายพรางแบบทหารยืนบนรางรถไฟฟ้ากราดยิงใส่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงในวัดปทุมวนารามอย่างโหดร้ายต่อหน้าต่อตา  กระสุนปืนจำนวนมากพุ่งสู่ประชาชนมือเปล่าที่วิ่งหนีตาย ผ่านมา 12 ปี  ผู้เสียชีวิตและครอบครัวผู้เสียชีวิตยังไม่เคยสัมผัสถึงเศษเสี้ยวความยุติธรรม ประชาชนทำได้แค่รอหยาดฝนแห่งความยุติธรรมเท่านั้น” ตรีชฎากล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net