Skip to main content
sharethis

นักวิชาการขอรัฐทบทวนนโยบายกองทุนประกันสังคมที่ให้นำเงินจากกองทุนชราภาพออกมาใช้ก่อน เลือกรับบำเหน็จแทนบำนาญได้ และขอคืนหรือขอกู้จากกองทุนได้ ชี้แม้จะช่วยเหลือผู้ประกันตนเดือดร้อนทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้า แต่เป็นการละเมิดต่อหลักการประกันสังคม และอาจนำมาสู่ปัญหาฐานะทางการเงินของกองทุนชราภาพในระยะยาวได้

 

13 มิ.ย. 2565 อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ อนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมาย การกำหนดอัตราเงินสมทบ และ การพัฒนาสิทธิประโยชน์ สำนักงานประกันสังคม เสนอแนวทางแก้ไขผลกระทบฐานะการเงินกองทุนประกันสังคมจากนโยบาย 3 ข้อ

  • ให้นำ “เงิน” จากกองทุนชราภาพออกมาใช้ก่อน
  • ให้เลือกรับบำเหน็จแทนบำนาญได้
  • ขอคืนหรือขอกู้จากกองทุนได้

นโยบาย 3 ข้อแม้นมีเป้าหมายต้องการช่วยเหลือผู้ประกันตนเดือดร้อนทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้าแต่เป็นการละเมิดต่อหลักการประกันสังคม และอาจนำมาสู่ปัญหาฐานะทางการเงินของกองทุนชราภาพได้ จึงขอเสนอให้ทบทวนนโยบายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากต้องการเดินหน้านโยบายดังกล่าวจำเป็นต้องมีมาตรการและแนวทางเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้กองทุนชราภาพเข้าสู่สภาวะการล้มละลายภายใน 30 ปี และผู้ประกันตนที่รับบำเหน็จอาจใช้จ่ายเงินหมดภายใน 5 ปีหลังการเกษียณ โดยแนวทางและมาตรการเพิ่มเติมมีดังต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง ต้องปรับเพดานค่าจ้างเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณจ่ายเงินสมทบ เพดานค่าจ้างเฉลี่ยที่ 15,000 บาทใช้มามากกว่า 30 ปีแล้ว ไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะนี้ ผู้ประกันตนร้อยละ 37.5 เปอร์เซ็นต์ มีค่าจ้างเท่ากับหรือสูงกว่าเพดานค่าจ้างปัจจุบัน ขอเสนอให้ปรับเพดานค่าจ้างเป็น 17,500-20,000 ในปีนี้และให้ปรับเพิ่มทุกปีตามการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างเฉลี่ย การทำตามข้อเสนอดังกล่าวจะทำให้เงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่มประมาณ 5-6 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างเฉลี่ยไม่ต้องรับภาระจ่ายสมทบเพิ่ม ส่วนผู้ประกันตนมีค่าจ้างสูงกว่าเพดานค่าจ้างเฉลี่ยใหม่ต้องจ่ายสมทบเพิ่มเพียงเล็กน้อย การกำหนดเพดานค่าจ้างเฉลี่ยให้เหมาะสมจะทำให้สามารถกำหนดสิทธิประโยชน์และเงินสมทบให้เหมาะสมกับภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งก่อให้เกิดความยั่งยืนทางการเงินและก่อให้เกิดความมั่นคงต่อกองทุนประกันสังคมอีกด้วย แม้นไม่มีนโยบาย 3 ข้อ ก็จำเป็นต้องปรับเพดานค่าจ้างอยู่แล้ว ยิ่งมีนโยบายนี้ยิ่งต้องดำเนินการเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกองทุน เพื่อกระจายรายได้จากผู้มีรายได้มากไปสู่ผู้มีรายได้น้อยภายในระบบประกันสังคม รายได้ที่เพิ่มเติมของกองทุนประกันสังคมทำให้กองทุนประกันสังคมสามารถจัดสิทธิประโยชน์เงินทดแทนการขาดรายได้ทั้งกรณีว่างงานและกรณีบำนาญชราภาพได้ดีขึ้น นอกจากนี้เป็นการรองรับค่ารักษาพยาบาลที่ปรับสูงขึ้นด้วย ข้อเท็จจริง ณ. วันนี้ก็คือ มีผู้รับบำนาญสะสมแล้วถึง 420,000 คน จากประมาณการผู้รับบำนาญสะสมจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านคนในปี พ.ศ. 2574 อีกประมาณ 10 ปี หากมีการใช้นโยบาย 3 ข้อโดยไม่ปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างเฉลี่ย กองทุนชราภาพมีความเสี่ยงทางการเงินและอาจเข้าสู่ภาวะล้มละลายสูงมากหากผู้ประกันตนแห่กันไปขอคืนหรือรับบำเหน็จจำนวนมาก ส่วน การรับสิทธิประโยชน์เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีว่างงานในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโควิด อย่างปี พ.ศ. 2564 มีผู้ใช้สิทธิสูงถึง 1.5 ล้านคน ล่าสุด ผู้ใช้สิทธิประกันการว่างงานลดลงบ้างจากเศรษฐกิจและภาวะการจ้างงานกระเตื้องขึ้น

ประการที่สอง การเพิ่มอายุผู้มีสิทธิได้รับเงินบำนาญจากกองทุนชราภาพจาก 55 ปี เป็น 60 ปี โดยทยอยปรับเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ประการที่สาม ควรศึกษาถึงความจำเป็นต้องเพิ่มอัตราจ่ายเงินสมทบทั้งส่วนของนายจ้าง ลูกจ้างและรัฐบาลเพื่อให้รายรับ (เงินไหลเข้ากองทุน) เพียงพอต่อ รายจ่าย (เงินไหลออกกองทุน) เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มสูงขึ้น อย่างค่าใช้จ่ายกรณีเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่าง อัตราเงินเฟ้อเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (Medical Inflation) อยู่ที่ 8-9 เปอร์เซ็นต์

ประการที่สี่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ความคล่องตัว ความโปร่งใสตรวจสอบได้ ความเป็นอิสระ และเกิดการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ลดการแทรกแซงทางการเมือง ลดการใช้นโยบายประชานิยมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของกองทุนประกันสังคม จึงเสนอให้มีการศึกษาเพื่อแปรสภาพ สำนักงานกองทุนประกันสังคม จาก หน่วยราชการ เป็น องค์กรอิสระของรัฐที่ประกอบไปด้วย คณะกรรมการที่มีมาจากการเลือกตั้งของผู้แทนผู้ประกันตน ผู้แทนนายจ้าง ผู้ทรงคุณวุฒินักวิชาการจากการสรรหาที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และ ผู้แทนกระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น

บางคนอาจได้เงินจากกองทุนประกันการว่างงาน สวัสดิการรวมทั้งเงินช่วยเหลือจากรัฐแล้วก็ยังไม่เพียงพอ จึงขอเลือกรับบำเหน็จแทนบำนาญเมื่ออายุครบ 55 ปี ขอนำเงินจากองทุนชราภาพมาใช้ก่อน และ ขอกู้จากกองทุน ข้อเสนอดังกล่าวเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระยะสั้น การเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ประกันตนในการใช้เงินกองทุนชราภาพตามข้อเรียกร้องอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่เหมาะสมในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจสำหรับผู้ประกันตนที่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้าอย่างหนัก แต่จะก่อให้เกิดปัญหาระยะยาวติดตามมาไม่น้อย

อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า กองทุนชราภาพในกองทุนประกันสังคมนี้ออกแบบมาเพื่อรับมือและลดความเสี่ยงหากสมาชิกกองทุนประกันสังคมมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่าเงินที่เก็บออมไว้ และ บรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากปัญหาสังคมชราภาพของไทย ตามหลักการต้องการเป็นหลักประกันรายได้ให้กับผู้สูงวัยมีบำนาญไว้ใช้จ่ายตลอดชั่วอายุขัย ซึ่งกองทุนประกันชราภาพของกองทุนประกันสังคมนั้นจะต่างจากระบบ Defined Contribution Scheme ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนการออมแห่งชาติที่ผู้ส่งสมทบจะมีบัญชีของตัวเองชัดเจน บำเหน็จบำนาญที่ได้จึงขึ้นอยู่กับเงินออมสมทบของตัวเอง ขณะที่ระบบประกันสังคมนั้นเป็นแบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขจ่ายเงินบำนาญจากกองกลาง กองทุนชราภาพของกองทุนประกันสังคมอาจประสบปัญหาสภาพคล่องหากมีคนมาขอใช้สิทธิรับบำเหน็จและขอคืนเงินจำนวนมาก แม้นจะมีข้อกำหนดว่า ขอคืนได้ไม่เกินร้อยละ 30 สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทก็ตาม หรือ มาขอกู้กันมากๆเพราะมีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ สภาพคล่องกองทุนประกันสังคมอาจมีปัญหาได้

ในหลายประเทศ แม้นมีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจก็จะไม่ยอมให้จ่ายเป็นบำเหน็จเพราะโดยหลักการกองทุนประกันชราภาพแล้วต้องการให้เป็นหลักประกันรายได้ไปตลอดชีวิต มีบางประเทศให้รับบำเหน็จได้ แต่ผู้ประกันตนก็มักใช้เงินหมดภายในเวลาไม่กี่ปีและไม่มีหลักประกันรายได้หลังจากนั้นและต้องกลับมาเป็นภาระของสังคมและรัฐในที่สุด ส่วนกรณีการขอคืน “เงินกองทุนชราภาพ” นั้นควรใช้มีวิธีขยายสิทธิประโยชน์ประกันการว่างงานสำหรับผู้เดือดร้อนทางเศรษฐกิจจะดีกว่า หรือ รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่มีรายได้น้อย การดึงเงินจากกองทุนประกันชราภาพไปใช้เพื่อลดปัญหาทางงบประมาณหรือการก่อหนี้เพิ่มของรัฐเฉพาะหน้า แต่จะสร้างปัญหาระยะยาวติดตามมาอยู่ดี ส่วนการขอกู้จากกองทุนหรือนำเงินที่สะสมไว้มาเป็นหลักประกันนั้น ธนาคารพาณิชย์อาจจะลังเลปล่อยกู้หรือไม่ เพราะเงินสมทบก็คล้ายการจ่ายค่าเบี้ยประกันเพื่อซื้อบริการไปแล้ว หากเอาเงินสมทบมาขอกู้เงินความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้น ยกเว้นธนาคารของรัฐที่รัฐบาลสั่งให้สนองนโยบายหรืออีกทางหนึ่ง สำนักงานประกันสังคมต้องจัดตั้ง “ธนาคารของกองทุนประกันสังคม” ขึ้นมา ขอให้ทางกระทรวงแรงงานและรัฐบาลพิจารณาข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและส่งผลกระทบระยะยาวต่อกองทุนประกันสังคมด้วยความรอบคอบ  

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net