Skip to main content
sharethis

นักวิเคราะห์จากสื่อตะวันตกมองความเป็นไปได้เกี่ยวกับเรื่องที่หูจินเทาถูกเชิญออกจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในงานพิธีการ ความเป็นไปได้มีตั้งแต่เรื่องสุขภาพ การสกัดไม่ให้มีการโหวตคัดค้านการอยู่ยาวของสีจิ้นผิง ไปจนถึงเรื่องที่น่าสะพรึงและถือเป็นความโหดเหี้ยมทางการเมืองจากการแสดงอำนาจของสีจิ้นผิงในฐานะว่าที่ผู้นำสมัยที่สาม

(ซ้าย) หูจินเทา อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระหว่างพฤศจิกายน 2545 ถึงพฤศจิกายน 2555 ภาพถ่ายเมื่อปี 2555 (ขวา) เหตุการณ์หูจินเทาออกจากที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ 22 ตุลาคม 2565 โดยข้างกันนั้นคือ สีจิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนปัจจุบัน และประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนสมัยที่ 3 (ที่มา: Wikipedia และ RFA)

การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมาสิ้นสุดลงด้วยดราม่าที่น่าประหลาดใจและเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เมื่อ หูจินเทา อดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยปี 2545-2555 ถูกนำตัวออกจากที่ประชุมพรรคในช่วงเวลาก่อนการโหวตลงมติรอบสุดท้ายเพียงเล็กน้อย โดยที่หูจินเทามีสีหน้าสันสบและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

ในช่วงที่เหตุการณ์เกิดขึ้นนั้นมีภาพบันทึกซึ่งแสดงให้เห็นว่า หูจินเทาได้นั่งอยู่ตรงที่นั่งสำหรับผู้มีตำแหน่งสำคัญอยู่ข้างผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนปัจจุบันคือ สีจิ้นผิง ดูเหมือนว่าหูจนเทาได้ถามคำถามบางอย่างกับสีจิ้นผิงและนายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียง ทั้งสองคนพยักหน้าตอบหูจินเทา จากนั้นสีจิ้นผิงก็ดูเหมือนจะยื่นมือสกัดไม่ให้หูจินเทาได้รับเอกสารบางอย่าง ต่อมาลี่จ้านชูผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์อีกคนหนึ่งก็ได้นำตัวหูจินเทาลุกจากที่นั่ง ตัวหูจินเทาแสดงท่าทีรั้งรอว่าจะลุกออกไปดีหรือไม่

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สื่อต่างประเทศหลายแห่งเช่นซีเอ็นเอ็นระบุว่าเป็นสิ่งที่ดูแล้ว "ดราม่าอย่างมาก" สำหรับพิธีการการประชุมพรรคคอมมิสต์จีนที่มักจะมีการวางบทบาทการแสดงท่าทีต่างๆ ตามพิธีการเอาไว้อย่างเข้มงวด บางครั้งถึงขั้นเตรียมพิธีต่างๆ มาเป็นเวลาหลายเดือนก่อนประชุมจริง ทำให้เกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ต่อการทำให้อดีตผู้นำอย่างหูจินเทาถูกพาตัวออกไปอย่างเก้ๆ กังๆ เช่นนี้

มีการวิเคราะห์จาก เจมส์ ปาล์มเมอร์ รองบรรณาธิการของนิตยสาร Foreign Policy ไว้ในหลายแง่มุม โดยเริ่มต้นจากการระบุถึงบริบทเกี่ยวกับหูจินเทาก่อนว่า เขาไม่เคยมีอำนาจในจีนมากเท่าสีจิ้นผิง ในตอนที่หูจินเทาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนนั้นยังเป็นยุคสมัยที่การเมืองจีนถูกเรียกว่าเป็นการนำแบบหมู่คณะ ไม่ใช่การนำแบบเน้นตัวบุคคลคนเดียวมีอำนาจ นอกจากนี้หูจินเทายังต้องเผชิญกับการที่เจียงเจ๋อหมิน ผู้นำคนก่อนหน้านี้เคยมีอิทธิพลอย่างมากจนอาจจะบดบังผู้นำคนถัดมาอย่างเขา

นอกจากนี้ในช่วงที่หูจินเทาดำรงตำแหน่งผู้นำ ก็ยังมีการนำเสนอเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันจากพรรคคอมมิวนิสต์ผ่านทางสื่อ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของพรรคและต่อผู้นำพรรคเอง และเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเพราะผลพวงจากการที่หูจินเทาพยายามเปิดกว้างให้จีนมีเสรีภาพมากขึ้นแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มัวแต่ง่วนอยู่กับการหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองมากกว่าที่จะบังคับใช้วินัยพรรค

หลังจากที่หูจินเทาลงจากตำแหน่งผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 2555 เขาก็ได้รับการยกย่องจากสื่อของรัฐบาลจีนในแง่ที่เขาสละอำนาจ ซึ่งตรงกันข้ามกับกรณีของสีจิ้นผิงโดยสิ้นเชิงจากการที่สีจิ้นผิงได้รับการชื่นชมจากสื่อในแง่ที่เขายังคงอยู่ในอำนาจ หูจินเทาเหมือนจะอยู่นอกเวทีมาโดยตลอดนับจากนั้น มีอดีตพวกพ้องของหูจินเทาจำนวนมากที่ถูกจับกุมในช่วงที่สีจิ้นผิงทำการกวาดล้างครั้งใหญ่ กรณีที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดคือกรณีของลิ่งจี้ฮั่ว ในปี 2558 นอกจากนี้ หูจินเทายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอำนาจของกลุ่มอดีตผู้นำสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีนที่เขาเคยเป็นหนึ่งในผู้นำด้วย แต่กลุ่มเครือข่ายอำนาจกลุ่มนี้ก็ถูกทำลายไปลงด้วยเช่นกัน

มาสู่คำถามที่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนล่าสุด ทั้งที่หูจินเทามีชื่ออยู่ในรายชื่อสมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมด้วย แต่ก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ ออกมาจากทางการจีนว่าทำไมหูจินเทาถึงถูกพาตัวออกจากห้องประชุม และแน่นอนว่า เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ทางการเมืองของจีน การพูดคุยหารือกันเรื่องนี้ถูกเซ็นเซอร์อย่างหนักในโลกออนไลน์ของจีน

ปาล์มเมอร์ วิเคราะห์ว่า ความเป็นไปได้อย่างแรกคือ เป็นเพราะปัญหาสุขภาพของหูจินเทาเอง เห็นได้ชัดว่าหูจินเทาดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่มีการประชุมพรรค ผมของเขาหงอกทั่วศีรษะ ซึ่งถ้าเป็นในยุคก่อนหน้านี้มันจะถือเป็นสัญญาณว่าเขาได้สละอำนาจแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ จากการที่ผู้นำจีนทุกคนมักจะย้อมผมกันหมด แต่ดูเหมือนว่าภายใต้การนำของสีจิ้นผิงจะอนุญาตให้มีผมหงอกปนมาได้บ้าง

อย่างไรก็ตามปาล์มเมอร์ก็มองว่าความเป็นไปได้แรกก็มีข้อโต้แย้งในตัวมันเอง เพราะถึงแม้หูจินเทาจะมีปัญหาสุขภาพแต่ทำไมต้องถึงขั้นรีบนำตัวเขาออกจากห้องประชุมอย่างเร่งด่วนทั้งๆ ที่ยังคงมีกล้องถ่ายทำอยู่ และตัวหูจินเทาเองก็ดูรั้งรอที่จะออกไป และแม้กระทั่งในบริบทของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเองที่มักจะรักษาความลับและระมัดระวังในเรื่องบรรทัดฐานต่างๆ ทำไมไม่มีคนอื่นๆ ที่ช่วยเหลือสหายร่วมพรรคอย่างหูจินเทา

ปาล์มเมอร์ประเมินความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งว่าหูจินเทาได้รับการตรวจพบว่าติดโรค COVID-19 แบบที่ไม่คาดฝัน แต่นั่นก็หมายความว่าผลการตรวจโรคในแบบ PCR ออกมาเป็นบวกแบบผิดเวลา ในขณะที่ผลตรวจแบบด่วนของคนอื่นๆ ที่ใกล้ชิดกับผู้นำออกมาว่าไม่พบโรค

ความเป็นไปได้ที่สอง ปาล์มเมอร์บอกว่าอาจจะเพราะมีข้อมูลบางอย่างที่เข้ามาอย่างด่วน จึงทำให้สีจิ้นผิงผู้ที่น่าจะเป็นคนบอกให้ไปตรวจสอบข้อมูลนั้นๆ ได้รับรู้ข้อมูลจนกลัวว่าหูจินเทาจะงดออกเสียงหรือจะโหวตคัดค้านการให้สีจิ้นผิงดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำแบบอยู่ยาวต่อไปในจีนเป็นสมัยที่ 3 การโหวตคัดค้านหรืองดออกเสียงจากหูจินเทา จะทำให้การโหวตคะแนนเสียงทิ้งท้ายการประชุมพรรคออกมาอย่างไม่เป็นเอกฉันท์

เรื่องนี้อาจจะเป็นเพราะหูจินเทาเคยพูดเรื่องนี้ไว้กับอดีตเพื่อนร่วมงานในรัฐบาลเก่าที่อยู่หลังเวที หรืออาจจะเป็นเพราะสัญญาณที่บ่งบอกว่าหูจินเทาเป็นโรคสมองเสื่อมทำให้เขาตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างฉับพลันว่าจะมีอะไรผิดพลาด ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมหูจินเทาถึงแสดงออกอย่างสับสนในตอนที่ถูกเชิญตัวออกไป

สำหรับความเป็นไปได้แบบที่สาม ที่ปาล์มเมอร์ประเมินไว้ เป็นสิ่งที่ปาล์มเมอร์มองว่ามีความน่าสะพรึงมากที่สุดคือการที่เรื่องนี้ถูกวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้า สิ่งที่ผู้คนได้เห็นคือการที่สีจิ้นผิงจงใจสร้างความอับอายต่อหน้าธารกำนัล ให้กับอดีตผู้นำที่มาก่อนเขา และอาจจะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูว่า เขาจะใช้วิธีนี้เป็นเครื่องมือในการควบคุมคนในพรรค หลังจากนั้นก็จะตามมาด้วยการลงโทษในทางกฎหมาย

ถ้าความเป็นไปได้แบบที่สามนี้เป็นจริง ก็นับเป็นการกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่เป็นการส่งสารอย่างแรงกล้าจากสีจิ้นผิงว่าเขามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงออกให้เห็นตลอดช่วงที่มีการประชุมสมัชชาพรรค เรื่องนี้จะทำให้ถูกมองว่าเป็นสีจิ้นผิงจะกลายเป็น "หัวใจหลัก" ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนแบบที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญจีน (ซึ่งมักจะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขและมีการระบุกฎหมายต่างๆ ในเชิงสัญลักษณ์เสียเป็นส่วนใหญ่) เขาจะกลายเป็นทั้งศูนย์กลางและคนนำพรรคหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนต่อเป็นสมัยที่ 3 แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในจีน

อย่างไรก็ตามปาล์มเมอร์ก็มองว่าสิ่งที่สีจิ้นผิงทำไม่จำเป็นสักเท่าไหร่เพราะอำนาจที่หูจินเทาเคยมีอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์ในตอนนี้ไม่มีอยู่อีกแล้ว หลังจากที่พันธมิตรใกล้ชิดของเขาถูกล้างบางโดยรัฐบาลของสีจิ้นผิงเอง ทำให้หูจินเทาไม่น่าจะเป็นภัยอะไรต่ออำนาจของสีจิ้นผิง เว้นแต่ว่าหูจินเทาจะร่วมมือกันกับอดีตผู้นำที่เกษียณอายุแล้วรายอื่นๆ

หรือในอีกแง่หนึ่งก็อาจจะมองได้ว่ามันเป็นการกระทำที่มีความโหดร้ายอย่างมาก ทำไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงระบอบราชการนิยมแบบเลนินนิสต์ที่จีนนำมาดัดแปลงให้เป็นแบบตัวเอง ในสภาพเช่นนี้พวกเขาจะสามารถสั่งจับกุมหูจินเทาหรือสั่งให้ถูกคุมขังอยู่ในบ้านตัวเองเงียบๆ ไปก็ได้โดยอ้างเรื่องสุขภาพของเขา และถึงแม้ว่าจะมีการพยายามสร้างความเสื่อมเสียอับอายให้กับหูจินเทาเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูต่อหน้าคนในพรรคพวกเขาก็สามารถทำได้ภายใต้การประชุมแบบที่ไม่เปิดเผยกับคนนอก แบบเดียวกับที่เหมาเจ๋อตุงมักจะทำกับกลุ่มผู้นำพรรคที่ท้าทายเขา

มีการตั้งข้อสังเกตว่า คณะกรรมการกลางเพื่อการตรวจสอบทางวินัย (CCDI) ซึ่งนับเป็นตำรวจลับภายในของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำตัวโหดเหี้ยมมากขึ้นในช่วงรัฐบาลสีจิ้นผิง จากที่มีการใช้วิธีการทารุณกรรมบ่อยครั้งขึ้น และมีกรณีการจับกุมคัมขัง สวีฉ่ายโฮ่ว เจ้าหน้าที่กองทัพระดับสูงของจีนเมื่อปี 2557 ในช่วงที่เขากำลังรับการรักษามะเร็งแล้วก็เสียชีวิตในอีกปีหนึ่งถัดจากนั้น

ปาล์มเมอร์ระบุว่า อาจจะเป็นไปได้ว่าเราอาจจะไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงเลยในอีกหลายปีนับจากนี้ และอาจจะมีการประกาศเกี่ยวกับสุขภาพของหูจินเทาหรือเหตุการณ์นี้อาจจะไม่มีคำอธิบายใดๆ เลยต่อสาธารณชน มีอีกกรณีหนึ่งที่เป็นไปได้ต่ำคือเขาจะถูกจับกุมอย่างเป็นทางการโดย CCDI ซึ่งจะนับเป็นการยกระดับเหตุการณ์อย่างใหญ่หลวง และมีการอ้างข้อกล่าวหาทางอาญามาดำเนินคดีและคุมขังหูจินเทา

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับหูจินเทาก็ตาม อำนาจของสีจิ้นผิงดูมีความชัดเจนขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม เป็นต้นมา มีรายชื่อของคณะกรรมาธิการกลางที่ประกอบด้วยบุคคลประมาณ 200 คน ที่จะเป็นผู้คัดเลือกตัวแทนคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประกาศออกมาเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ในรายชื่อนี้ไม่มีหลี่เค่อเฉียง ผู้ได้รับการอุปถัมภ์จากหูจินเทารวมอยู่ในรายชื่อด้วย และกลุ่มผู้นำพรรคสายปฏิรูปเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับหูจินเทาก็ไม่ได้ถูกระบุในรายชื่อด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่าคณะกรรมาธิการสามัญฯ อาจจะประกอบด้วยพวกเดียวกันกับสีจิ้นผิงแทบทั้งสิ้น

เมื่อช่วงปี 2556 กลุ่มผู้สังเกตการณ์จีนเคยพูดติดตลกด้วยวลี "ยุคทองของเสรีนิยมภายใต้หูจินเทา" เพราะว่าจริงๆ แล้วยุคของหูจินเทาก็ไม่ได้เสรีขนาดนั้น ยังคงมีความเป็นอนุรักษ์นิยมทางการเมือง และภาคประชาสังคมก็พัฒนาได้เชื่องช้า แต่ทว่าในยุคนี้มุขตลกเดิมกลับไม่ตลกอีกต่อไปเพราะดูจะเข้าใกล้ความจริงมากกว่า ตรงที่ว่า เมื่อเทียบกันกับความเหี้ยมเกรียมของสิ่งที่สีจิ้นผิงกระทำแล้ว ยุคสมัยของหูจินเทาดูจะมีเสรีภาพและความเปิดกว้างมากกว่าอย่างน่าอัศจรรย์

เรียบเรียงจาก

What the Hell Just Happened to Hu Jintao?, James Palmer, Foreign Policy, 22-10-2022

Former Chinese leader Hu Jintao unexpectedly led out of room as Party Congress comes to a close, CNN, 22-10-2022

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net