Skip to main content
sharethis

นักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตยพลัดถิ่นชาวจีน วิเคราะห์การประท้วงในจีนช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อาจขยายตัวสู่วงกว้างมากขึ้นในปี 2566 นี้ บางคนหวังถึงขั้นจะกลายเป็นการโค่นล้มรัฐบาลและเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตย


ผู้ประท้วงในมณฑลเหอหนานของจีนสร้างความเสียหายให้กับรถตำรวจ หลังจากตำรวจพยายามบังคับห้ามจุดดอกไม้ไฟที่จัตุรัสหงเต้าหยวน ในมณฑลหลู่อี้ มณฑลเหอหนาน เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2566 | ที่มาภาพ: RFA

ปีที่แล้ว (2565) ประเทศจีนเกิดเหตุการณ์ประท้วงหลายครั้งในประเด็นต่างๆ ที่มีผู้คนเข้าร่วมจำนวนมากแบบที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเทียบกับในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงด้วย "กระดาษขาว" เพื่อต่อต้านมาตรการ "โควิดเป็นศูนย์" ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาก็มีการประท้วงต่อต้านการสั่งห้ามดอกไม้ไฟทั่วประเทศ

Wei Jingsheng นักกิจกรรมพลัดถิ่นผู้ต่อต้านรัฐบาลจีนได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเรดิโอฟรีเอเชียเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า มันอาจจะเป็นสัญญาณในการเริ่มต้นต่อต้านอำนาจนิยมภายใต้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในระดับวงกว้างก็เป็นได้ ในอดีต Wei Jingsheng เคยเป็นผู้นำขบวนการเดโมเครซีวอลล์ 1979 ผู้ที่รณรงค์ในเรื่องการคิดและเขียนเกี่ยวกับประชาธิปไตยในจีน

Wei มองว่าแรงส่งของการเคลื่อนไหวประท้วงในจีนตอนนี้ยังคงไม่แผ่วลง Wei กล่าวว่า "มีบางคนกำลังบอกว่าขบวนการเคลื่อนไหว 'กระดาษขาว' นั้นจบลงแล้ว แต่พวกเราก็ยังคงเห็นการแสดงออกถึงความรู้สึกของประชาชนเกิดขึ้นอยู่ เช่นขบวนการดอกไม้ไฟที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้"

Wei ผู้ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวอีกว่า "มันอาจจะดูเป็นการประท้วงในเรื่องที่ค่อนข้างจะเล็กน้อย แต่มันก็ยังคงเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่ามีการต่อต้านสีจิ้นผิงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ ... เมื่อพิจารณาเรื่องที่อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้มีอยู่อย่างแพร่หลายแล้ว มันถึงเป็นไปได้ที่จะมีความคืบหน้าที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นหลังจากนี้"

มีการตั้งข้อสังเกตจาก Wei ว่าไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดกระแสการประท้วง "กระดาษขาว" เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการประท้วงที่มีต้นเหตุจากความไม่พอใจต่อนโยบายการล็อกดาวน์ของรัฐบาล การประท้วงปะทุขึ้นหลังจากมีข่าวเรื่องผู้คนในซินเจียงเสียชีวิตจากเหตุไฟไหม้หลังการล็อกดาวน์ การประท้วงดังกล่าวนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ย. 2565 นอกจากนี้ยังไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดกระแสการประท้วงต่อต้านมาตรการแบนดอกไม้ไฟด้วย

อย่างไรก็ตาม Wei มองว่ามีความเป็นได้สูงว่า จะเกิดการระบาดหนักของ COVID-19 ในช่วงตรุษจีนปีนี้ (ประมาณวันที่ 22 ม.ค.) ซึ่งเขาเชื่อว่า "จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลนี้" ได้

แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่เช่นกันว่า กระแสการประท้วงที่เกิดขึ้นนี้อาจจะจางลงไปและไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวงกว้างท่ามกลางการที่รัฐบาลจีนพยายามบดขยี้พลังการต่อต้านของประชาชน

โครงการ "สอนความรักชาติ"

มีรายงานที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจริงหรือไม่ แต่มีการแพร่กระจายตามโซเชียลมีเดียระบุว่า หน่วยงานทางการในเหอหนาน ที่มีผู้ชุมนุมประท้วงเผชิญหน้ากับตำรวจในการประท้วงต่อต้านการแบนดอกไม้ไฟช่วงปีใหม่ กำลังเพิ่มความพยายามในการ "สอนความรักชาติ" ให้กับนักเรียนในมณฑลเหอหนาน เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้มีกระแสการต่อต้านรัฐบาลแตกหน่อออกมาได้

อย่างไรก็ตาม Chen Pokong คอลัมนิสต์เชื้อสายจีนที่อาศัยในสหรัฐฯ ก็ประเมินไว้ว่า การพยายามสอนให้คนรุ่นใหม่ในจีน "รักชาติ" และรักในพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้นนั้นไม่น่าจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อเรื่องมันมาถึงระดับนี้แล้ว

Chen กล่าวว่า "เรื่องนี้เป็นความล้มเหลวของรัฐบาลสมัยสีจิ้นผิง เพราะเรื่องการทำงานเชิงอุดมการณ์และการให้การศึกษาด้านการเมืองถือเป็นส่วนที่รัฐบาลสีเน้นย้ำเป็นหลัก และมีการเริ่มต้นตั้งแต่กับเด็กในโรงเรียนประถมศึกษา ... ความพยายามเช่นนี้ล่วงเลยมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว แต่การที่พรรคคอมมิวนิสต์ยังต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาล้มเหลวมากขนาดไหน"

Chen เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ในจีนจะยังคงต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อไป Chen บอกว่า "ผู้คนที่ไร้ความหวังมีปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยการเพิ่มความตระหนักรู้มากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง"

ความฮึกเหิมและความชิงชังรัฐบาลร่วมกัน

Hu Ping หัวหน้ากองบรรณาธิการของสื่อนิตยสารต่อต้านรัฐบาลจีน "เบจิงสปริง" ซึ่งผลิตในสหรัฐฯ กล่าวว่า อำนาจส่วนตัวของสีจิ้นผิงน่าจะมาถึงจุดสูงสุดแล้ว หลังจากในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 20 ได้มีมติแต่งตั้งสีจิ้นผิงให้ได้ขึ้นเป็นผู้นำจีนในสมัยที่ 3 ซึ่งในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีผู้นำจีนที่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ 3 สมัยมาก่อน

Hu กล่าวว่าการประท้วง "กระดาษขาว" นั้นเป็นการโต้ตอบโดยตรงต่อการสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการสอดแนมประชาชน, การล็อกดาวน์ และการคุมขังผู้คนในค่ายกักกันโรค ภายใต้มาตรการควบคุมโรคระบาดที่เข้มงวดของสีจิ้นผิง

Hu ตั้งข้อสังเกตว่า ในอดีตนั้นเป็นเรื่องยากกว่าที่จะมีการต่อต้านร่วมกันเป็นหมู่คณะเพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนมักจะเน้นตั้งเป้าหมายเล่นงานประชาชนที่มีอัตลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง รวมไปถึงกลุ่มคนที่เต็มใจแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลจีนต่อหน้าสาธารณะตามแนวคิดทางการเมืองของพวกเขาเอง

แต่นโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่ Hu เรียกว่าเป็น "นโยบายป่าเถื่อน" นั้นส่งผลกระทบกับทุกคนโดยไม่แยกแยะว่าจะเป็นใคร มันจึงทำให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขา "ถูกลงโทษอย่างหนัก" การมีความรู้สึกชิงชังร่วมกัน Hu มองว่าความรู้สึกร่วมกันเช่นนี้จะส่งผลสะท้อนทำให้มีขบวนการต่อต้านแบบที่ประชาชนรวมกลุ่มกันมีความเป็นไปได้มากขึ้น

Hu วิเคราะห์ว่าการเมื่อการประท้วงในจีนเริ่มเกิดขึ้นทั่วประเทศมาแล้วครั้งหนึ่ง มันก็จะกลายเป็นแรงสร้างความฮึกเหิมให้กับคนกลุ่มอื่นๆ ทำตาม เพราะเมื่อผู้คนได้ลงมาบนท้องถนนร่วมกันและยืนหยัดเคียงข้างกันกับคนจำนวนมากมันก็จะทำให้พวกเขารู้สึกมีแรงดลใจและมีกำลังใจ Hu บอกว่าเริ่มเห็นแม้กระทั่งคำขวัญและการเรียกร้องทางการเมืองให้สีจิ้นผิงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกจากตำแหน่งบ้างแล้ว

"เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะทำให้มีความมั่นใจและความแน่วแน่ในการที่จะต่อต้านรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น และผลพวงที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้ไม่ควรจะประเมินมันต่ำเกินไป" Hu กล่าว

ผู้คนจะให้ความสำคัญกับขบวนการประชาธิปไตยอีกครั้ง?

ในแง่นี้ Wei ถึงขั้นมองว่าการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจจะอยู่ไม่ไกล Wei บอกว่า ขบวนการประชาธิปไตยในจีนดำเนินมามากกว่า 40 ปีแล้ว มีขึ้นมีลง และมีจุดหักเห อยู่หลายครั้งมาก ในสภาพของจีนในปัจจุบัน มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่กีและมีโรคระบาดใหญ่ คนรุ่นใหม่จำนวนมากหางานทำไม่ได้ ในขณะที่คนสูงอายุก็เสียชีวิตไปเรื่อยๆ

Wei มองว่าสภาพการณ์เช่นนี้ทำให้เกิดความเป็นไปได้ว่าผู้คนจะหันมาให้ความสำคัญกับกระบวนการประชาธิปไตยอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้มาจากการโน้มน้าวชักชวนจากนักวิชาการแต่มาจากการที่ประชาชนธรรมดาทั่วไปด้วยกันเองที่ส่งอิทธิพลต่อกันและกัน นั่นหมายความว่าขบวนการเคลื่อนไหวในอนาคตของจีนอาจจะเป็นขบวนการเคลื่อนไหวแบบไม่จำเป็นต้องมีผู้นำขบวนก็ได้

"ผมมีความรู้สึกในทางบวกเกี่ยวกับขบวนการประชาธิปไตยในจีนตอนนี้ เพราะว่าประชาชนมีความแตกต่างจากที่พวกเขาเคยเป็นเมื่อช่วง 40 ปีก่อน ในตอนนั้นพวกเขาไม่ได้รู้สึกมากขนาดนี้ว่าจีนควรจะเป็นประชาธิปไตย" Wei กล่าว

"นโยบายดันทุรังของสีจิ้นผิงเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปไม่สามารถทนได้ตั้งแต่แรกแล้ว และในตอนนี้ทุกคนก็มองเห็นความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการเพราะว่าข้อมูลข่าวสารเดินทางได้รวดเร็วมากในทุกวันนี้" Wei กล่าว

Wang Juntao นักกิจกรรมประชาธิปไตยผู้มีประสบการณ์ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวว่า ขบวนการต่อต้านจากประชาชนในประวัติศาสตร์มักจะเริ่มต้นจากการประท้วงแบบที่เกิดขึ้นเองและกระจัดกระจายในประเด็นใดเประเด็นหนึ่งโดยเฉพาะ

Wang บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจีนตอนนี้เป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ "คุณจะเห็นได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้น" Wang กล่าว เขาเชื่อว่าขบวนการกระดาษขาวและการเคลื่อนไหวต่อต้านการแบนดอกไม้ไฟนั้นอาจจะนำไปสู่ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ใหญ่กว่าที่จะมีการเสนอข้อเรียกร้องทางการเมืองที่ชัดเจนมากกว่าได้

Hu ประเมินว่า ในปี 2566 อาจจะมีการประท้วงใหญ่ในแบบที่เน้นต่อต้านตัวผู้นำสีจิ้นผิงเองเลยก็เป็นได้ โดยที่สีจิ้นผิงเป็นคนที่ถูกกล่าวหาว่าทำให้เกิดการระบาดใหญ่ของ COVID-19 เพราะปิดกั้นไม่ให้แพทย์ Li Wenliang เปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณชนในช่วงที่โรคระบาดนี้ยังใหม่อยู่ในเมืองอู่ฮั่น

Wei บอกว่าเขาหวังว่าจะได้เห็น "การวิวัฒน์อย่างสันติ" จากระบอบอำนาจนิยมไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในจีน ซึ่ง Wei มองว่ามันจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลงของจีน แต่ก็อาจจะมีสถานการณ์ความเป็นไปได้หลายแบบที่จะนำไปสู่การล่มสลายของระบอบทั้งหมด โดยที่ Wei หวังว่ามันจะกลายเป็นการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติแบบในไต้หวัน หรืออย่างน้อยก็อาจจะมีขบวนการประท้วงเกิดขึ้นมากกว่านี้ในจีน


เรียบเรียงจาก
China's recent wave of protests could see a resurgence in the coming year: analysts, Radio Free Asia, 04-01-2023

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net