Skip to main content
sharethis

วรภพ ส.ส. พรรคก้าวไกล เตือน ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเตรียมจ่ายค่าไฟแพงอย่างถ้วนหน้าในเดือนมกราคมนี้ เนื่องจากมาตรการตรึงราคาค่าไฟลดค่า Ft บ้านเรือนที่ใช้ไฟไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือนของรัฐบาลหมดอายุ ชี้ รัฐบาลควรเลิกเกรงใจกลุ่มทุนพลังงาน และเปลี่ยนนโยบายพลังงานแก้ปัญหาค่าไฟแพงให้ประชาชน

 

12 ม.ค. 2566 วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเตือนประชาชนผู้มีรายได้น้อยเตรียมจ่ายค่าไฟแพงอย่างถ้วนหน้าในเดือนมกราคม 2566 เหตุเพราะมาตรการตรึงราคาค่าไฟให้กับผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลหมดอายุ ซึ่งมาตรการตรึงค่าไฟเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น จะแก้ที่ต้นเหตุต้องปรับนโยบายพลังงานให้มีการกำหนดสัดส่วนค่าไฟที่เป็นธรรม

วรภพกล่าวว่า เดือนแรกปี 2566 ประชาชนเตรียมจ่ายค่าไฟแพงกันถ้วนหน้า หลังการทบทวนค่าเอฟทีของ กกพ. แม้ได้ข้อสรุปว่าจะยังคงตรึงค่า Ft ของบ้านอยู่อาศัยไว้ที่ 93.43 สตางค์/หน่วย ในราคาเดียวกับปลายปี 2565 (ในขณะที่ภาคธุรกิจจ่ายแพงขึ้นไปอีก 61.49 สตางค์/หน่วย) แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนครัวเรือนจะต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นกว่าเดิม เพราะ รัฐบาลใจป๋าได้แค่ 4 เดือน เนื่องจาก งวดเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา รัฐบาลมีมติ ครม. ใช้งบกลาง เพื่อมาช่วยเหลือค่าไฟ 8,000 ล้านบาท โดยให้ส่วนลดค่า Ft บ้านเรือนที่ใช้ไฟไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน ทำให้ค่าไฟที่บ้านเรือนจ่ายในงวดสิ้นปี 65 ไม่ใช่ราคาจริง

วรภพ วิริยะโรจน์

โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป รัฐบาลจะไม่ออกมาตรการควักเงินช่วยลดค่าไฟบ้านเรือนแล้ว นั่นเท่ากับว่าประชาชนผู้ใช้ไฟที่ใช้ไฟน้อยกว่า 500 หน่วยต่อเดือน จะต้องกลับมาจ่ายค่าไฟฟ้า Ft ในราคาจริงที่แพงขึ้น เช่น ถ้าครัวเรือนใช้ไฟฟ้า 300 หน่วย งวดสิ้นปี 65 Ft หลังส่วนลดรัฐบาล คือ 1.39 สตางค์/หน่วย แต่ต้นปี 66 Ft จะกลายเป็น 93.43 สตางค์/หน่วย ซึ่งหมายถึงทำให้ค่าไฟฟ้าจะต้องจ่ายแพงขึ้น 276 บาท/เดือน หรือ 22% คือจากเดิมที่เคยเสียค่าไฟ 1,264 บาท จะต้องจ่าย 1,539 บาทในเดือนนี้

วรภพให้ความเห็นว่า มาตรการส่วนลดค่าไฟที่ออกมาเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น เพราะสุดท้ายที่มาของเงินก็เป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งนั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าว่ารัฐบาลควักเงินมาช่วยได้แค่งวดเดียว ก็ช่วยต่อไม่ไหวแล้ว แต่รัฐบาลยังคงไม่ยอมแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แล้วเลิกเกรงใจกลุ่มทุนพลังงาน เพียงแค่มีความกล้าหาญทางการเมืองซักนิด เปลี่ยนนโยบายพลังงานให้ยั่งยืน

เริ่มตั้งแต่เจรจากับโรงไฟฟ้าเอกชนที่ไม่ได้เดินเครื่องเพื่อลดหรือเลื่อนการจ่ายค่าประกันกำไร และเปลี่ยนนโยบายก๊าซ นำก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมาผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าราคาถูกก่อนนำไปให้กลุ่มทุนพลังงานแย่งเอาก๊าซจากอ่าวไทยไปขายให้อุตสาหกรรมเป็นเชื้อเพลิง ทั้งๆ ที่ อุตสาหกรรมสามารถปรับเปลี่ยนไปใช้ น้ำมันเตา แทน ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้อยู่แล้ว ถ้านโยบายรัฐชัดเจน

“ถ้าก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล นโยบายทั้งหมดกี่กล่าวมานี้ เราสามารถทำได้ทันที เพราะรัฐบาลที่มาจากประชาชนย่อมเข้าใจ และรู้ดีที่สุดว่าต้องแก้ปัญหาอย่างไรให้ตอบสนองกับประโยชน์ของประชาชน” วรภพ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net