สรุป 'โรม' อภิปรายเปิดโครงข่ายทั้งทุน พม่า-จีนเทา เอี่ยวคนในรัฐบาล จีนเทาเหิมขนาดแอบอ้างใกล้ชิดสถาบันฯ

บันทึกการอภิปรายของ ส.ส.โรม ถึงเรื่องโครงข่ายระหว่าง "ทุนมินลัต" กับ ส.ว.อุปกิตที่เข้าไปเอี่ยวแต่ถูกละเลยไม่มีคดีด้วยอาจเพราะเป็นเจ้าของที่ดินที่ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ จนถึงกลุ่มจีนเทาที่เข้ามาหากินในไทยที่ผ่านช่องทาง "ธรรมนัส"

15 ก.พ.2566 ทีมสื่อพรรคก้าวไกลรายงานถึงการอภิปรายของ รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคที่อภิปรายใน 2 ประเด็นคือความเกี่ยวข้องระหว่างขบวนการค้ายาเสพติดและฟอกเงินของกลุ่มทุนมินลัตและอุปกิต ปาจรียางกูร วุฒิสมาชิก และความเกี่ยวพันระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มทุนจีนสีเทาอย่างตู้ห่าว

รังสิมันต์กล่าวถึงประเด็นแรกว่า จากนโยบายเกี่ยวกับการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่เคยแถลงไว้ว่าจะแก้ไขทั้งระบบทั้งแหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายาด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดพร้อมป้องกันการนําเข้าส่งออกโดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

หลังการแถลงตำรวจกองบังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส. บช.น.) มีการจับกุมกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดประมาณ 3 - 4 กลุ่ม เป็นกลุ่มที่ไปรับซื้อยาบ้าจากประเทศพม่าเอามาขายต่ออีกทีหนึ่ง โดยวิธีการจ่ายค่ายาให้กับผู้ผลิตเป็นการขนเงินสดไปฝากตามตู้ ATM ต่างๆ โดยใช้บัญชีม้าที่จ้างคนมาเปิดแต่ผู้คุมบัญชีจริงอยู่ต่างประเทศ และเงินในบัญชีม้ายังถูกโอนต่อไปเข้าบัญชีของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อซื้อไฟฟ้ามา แล้วต่อสายส่งข้ามแดนไปขายที่เมืองท่าขี้เหล็กเปลี่ยนกลับเป็นเงินค่ายาบ้าจ่ายให้ผู้ผลิตในที่สุด

รูปความเชื่อมโยงโครงข่ายบริษัทที่รังสิมันต์เปิดเผยในสภาที่ถูกเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม

รังสิมันต์เปิดเผยชื่อบริษัทที่ทำธุรกรรมลักษณะนี้มี 3 บริษัท ได้แก่ 1. บริษัท Myanmar Allure Group Company Limited (จดทะเบียนในพม่า) 2. บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด และ 3. บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด และพบว่าทำกันมาอย่างน้อยตั้งแต่ปี 2550 แล้ว ซึ่งเขาชี้ว่าเป็นว่าเป็นการฟอกเงินโดยอำพรางเงินที่ผิดกฎหมายด้วยการทำให้ดูซับซ้อนและดูเหมือนได้มาโดยสุจริต

จากนั้นเมื่อ 17 ก.ย.2565 เมื่อทางตำรวจ บก.สส. บช.น.ทราบตัวผู้ฟอกเงินแล้วได้จับกุมผู้ต้องหารายสำคัญได้ 4 ราย คนหนึ่งเป็นชายชาวพม่า ชื่อ ทุนมินลัต (Tun Min Latt), คนหนึ่งเป็นชายสัญชาติไทย ชื่อนาย “D” และอีก 2 คนเป็นหญิงไทยชื่อนาง “ป.” และนางสาว “น.” ซึ่งตามข่าวล่าสุดทั้ง 4 คนถูกนำตัวฟ้องคดีต่อศาลแล้ว แต่ยังมีคนที่หลบหนีหมายจับอีก 2 คนคือพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ ที่เพิ่งถูกเปิดโปงว่าเป็นเจ้าพ่อพนันออนไลน์ 1 ใน 3 รายใหญ่ของไทย และอีกคนชื่อนางสาว “ก.”

นอกจากนั้นยังพบว่า ทุนมินลัต ชายชาวพม่าที่ถูกจับนั้นมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจมาอย่างยาวนานกับ 1 ใน 250 วุฒิสมาชิกของไทยอย่าง อุปกิต ปาจรียางกูร ซึ่งเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและเคยถือหุ้นใหญ่ในบริษัท Allure Group และเคยร่วมกับทุนมินลัตก่อตั้ง Myanmar Allure นอกจากนี้อุปกิตยังมีศักดิ์เป็นพ่อตาของนาย “D” ที่ถูกจับพร้อมทุนมินลัต ซึ่งนาย D ยังมีชื่อหรือเคยมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการอยู่ในทั้ง Allure Group และ Myanmar Allure ด้วยเช่นกัน

รูปความเชื่อมโยงโครงข่ายบริษัทที่รังสิมันต์เปิดเผยในสภาที่ถูกเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม

“ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการเลือกนายอุปกิตให้เข้ามาเป็น ส.ว. ได้ ก็คือคณะกรรมการสรรหาที่มีประธานกรรมการชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีหนึ่งในกรรมการชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และวิษณุ เครืองาม ไปหาตัวอุปกิตมาโดยอ้างว่านี่คือผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญด้าน “พลังงาน” ซึ่งผมดูทรงแล้วน่าจะเชี่ยวชาญด้านการเอากิจการพลังงานมาบังหน้าเรื่องอื่นมากกว่า จากนั้นบรรดาคนดีเหล่านี้ก็ไปร่วมกับหัวหน้า คสช. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ อนุมัติให้นายอุปกิตผ่านการคัดเลือกเป็น ส.ว. อย่างเต็มตัวอีกทีหนึ่ง” รังสิมันต์ยังตั้งข้อสังเกตว่าคนเหล่านี้ที่เอาอุปกิตเข้ามาเป็น ส.ว.จะไม่ทราบพื้นเพมาก่อนได้อย่างไรและจะต้องร่วมรับผิดชอบด้วยหรือไม่

รังสิมันต์ยังเปิดหลักฐานข้อความในแอพแชทที่ทำให้เห็นว่า ส.ว.อุปกิตยังมีความเกี่ยวข้องแม้เขาจะเคยออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องและขายหุ้นในบริษัทข้างต้นไปแล้วก่อนเป็น ส.ว. แต่พบว่ายังมีการส่งข้อความสั่งให้ นาง ป.ไปจดจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ในชื่อ Allure P&E อีกทั้ง นาง “ป.” เคยให้การกับเจ้าหน้าที่ DSI ยอมรับว่าตัวเองเป็นนอมินีให้เอาชื่อไปใช้ถือหุ้น Allure P&E หรือเคยถือหุ้น Allure Group และยังส่งรายงานให้ส.ว.อุปกิตและยังเรียกว่าเจ้านายด้วย

ส.ส.ก้าวไกลชี้ว่า Allure P&E ก็คือบริษัทที่ฟอกเงินผ่านการซื้อขายไฟฟ้าโดยมีทุนมินลัตถือหุ้นใหญ่ ส่วนนาง “ป.” ถือหุ้นเป็นนอมินีให้ ส.ว.อุปกิต ส่วนกรรมการอีกคน ทุนมินลัตฝากมาว่าขอเป็น “เมียสัมสุข” ก็คือนางสาว “น.” ที่ถูกจับไปด้วย

นอกจากนั้นนาง ป.สารภาพว่าในรายงานที่ส่งให้ ส.ว.อุปกิตยังแจกแจงด้วยว่าเป็นค่าไฟฟ้าเท่าไหร่ ค่าเงินเดือนคนของ Allure เท่าไหร่ และรายได้ของส.ว.อุปกิตที่ทุนมินลัตคำนวณให้และยังให้ ส.ว.อุปกิต โอนเงินค่าใช้จ่ายไปให้แล้วทุนมินลัตยังส่งสลิปโอนเงื่อซื้อไฟฟ้าให้ด้วย กระบวนการนี้เกิดขึ้นทุกเดือน ซึ่งเขาเห็นว่าหาก ส.ว.อุปกิตลาออกแล้วจริงคงไม่ต้องให้นาง ป.คอยส่งรายงานให้ตลอด และทุนมินลัยยังเรียกชื่อ ส.ว. อุปกิตว่า “พี่อู” (P’ Ou) แสดงถึงความสนิทสนมแค่ไหน ส่วนทางด้าน ส.ว. อุปกิตยังส่งสลิปให้ทุนมินลัตรับทราบเหมือนกันว่าเป็นเงินเดือน Allure ด้วย

รูปความเชื่อมโยงโครงข่ายบริษัทที่รังสิมันต์เปิดเผยในสภาที่ถูกเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม

นอกจากนั้น ส.ว. อุปกิตยังมาปรึกษากับทุนมินลัตให้ช่วยปลอมลายเซ็นพร้อมส่งตัวอย่างหน้าหนังสือเดินทาง (passport) ของพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ ซึ่งเป็นเจ้าพ่อบ่อนพนันออนไลน์และเป็นผู้ต้องหาที่กำลังหลบหนีในคดีฟอกเงินอยู่และส.ว.อุปกิตยัง ไปให้ และพันณรงค์ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Allure Group ที่ได้หุ้นมาจากนาย “D” ลูกเขย ส.ว. อุปกิต โดยมี ส.ว. อุปกิตเองเซ็นเป็นพยานด้วย

อีกทั้งทุนมินลัตยังคุยกับ ส.ว.อุปกิตว่าให้ช่วยจ่ายค่าเช่าที่ของโรงแรม Allure Resort ไปด้วยแล้วยังจะมาตอบตกลงรวมแชร์กันทั้งที่ส.ว.อุปกิตเคยอ้างว่าขายหุ้นไปแล้ว

ภาพหลักฐานและพฤติการณ์ทั้งหมดนี้ มันส่อให้เห็นว่า ส.ว. อุปกิตไม่ได้วางมือจากธุรกิจไปไหน แต่ยังคงอยู่เบื้องหลังทุกๆ คน ทั้งทุนมินลัต ทั้งลูกเขย ทั้งลูกน้องตัวเอง ในธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งของการฟอกเงินค้ายาเสพติดและคนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์และ คสช. ที่ตั้งคนแบบนี้เข้ามา ผมไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะไม่รู้อยู่แก่ใจว่า ส.ว. คนดีของท่านไปทำอะไรแบบนี้อยู่หลังฉาก

เมื่อหลักฐานชัดขนาดนี้ ทางตำรวจ บก.สส. บช.น. จึงมีการขอหมายจับ ส.ว. อุปกิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ในความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงิน ศาลอนุมัติหมายจับให้ด้วย แต่บ่ายศาลกลับถอนหมายจับ โดยในคำสั่งศาลระบุว่า

“พิจารณาแล้ว เห็นว่าผู้ร้องให้ออกหมายจับ ศาลได้พิจารณาคำร้องแล้ว ได้ออกหมายจับตามขอ. เมื่อพิจารณาคำแนะนำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ทางผู้ร้องแจ้งเจ้าหน้าที่ศาลว่าผู้ถูกออกหมายจับเป็นบุคคลสำคัญ แต่ไม่ได้แจ้งให้ทางศาลทราบ. จึงให้เพิกถอนหมายจับกับหมายค้นเสีย เพื่อให้หมายเรียกก่อน ภายใน 15 วันหากทางบุคคลสำคัญดังกล่าวมิได้มาตามหมายเรียก ให้ผู้ร้องดำเนินการขอหมายจับต่อไป. สำหรับหมายเรียกให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการโดยด่วน. เหตุที่ให้ออกหมายเรียกเนื่องจากบุคคลดังกล่าวเชื่อว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี”

รังสิมันต์ชี้ว่าที่ศาลให้เหตุผลในการถอนหมายจับนั้นคือการจะออกหมายจับใครต้องดูก่อนหรือว่าเป็นบุคคลสำคัญไม่ใช่ความร้ายแรงของคดีใช่หรือไม่และศาลเห็นว่าตำรวจยังปกปิดไม่ยอมบอกศาลก่อนด้วย และยังตั้งคำถามว่าถือเป็นการที่ผู้พิพากษาที่ไม่ได้พิจารณาออกหมายมาแทรกแซงการทำงานของผู้พิพากษาที่พิจารณาออกหมายจับหรือไม่

“โบราณว่ากำแพงมีหู ประตูมีช่อง แอบไปทำอะไรกันไว้อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ ผมเองมีเพื่อนทำงานในศาลอาญาหลายคนอยู่ ซึ่งในวันที่มีการถอนหมายจับกันนั้น ก็แว่วๆ มาว่าในห้องที่คุยกัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาขอหมายจับ มีผู้พิพากษาท่านที่เพิ่งอนุมัติหมายจับให้ มีอธิบดีศาลอาญา และนอกจากนั้นยังมีรองอธิบดีศาลท่านหนึ่งที่เคยมีประวัติไม่ให้ประกันตัวจำเลยคดีการเมืองมาแล้วหลายครั้ง ชื่อ “อรรถการ ฟูเจริญ” เพื่อนๆ ผมเดินผ่านไปแถวๆ ห้องนั้น ได้ยินเสียงท่านอรรถการดังสุด พูดเยอะสุดเลยครับ ไม่รู้ทำไม พูดเยอะกว่าอธิบดีศาลอีก ราวกับเป็นคนนำการประชุมเองเลย แล้วพอคุยกันตรงนั้นเสร็จ คำสั่งถอนการอนุมัติหมายจับก็ออกตามมา และจะต้องมีการทำหนังสือถึงคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมด้วย”

ส.ส.ก้าวไกลตั้งข้อสังเกตอีกว่าแม้ศาลจะถอนหมายจับและให้ออกหมายเรียกแทนไปตั้งแต่ 3 ต.ค.2565 ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา แต่ตลอดเดือนตุลาคม 2565 ที่สภายังปิด กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส)ที่มีอำนาจในการออกหมายเรียกมีเวลาอยู่ 28 วัน แต่ไม่เคยออกหมายจนกระทั่งสภาเปิดใน 1 พ.ย.2565 สภาเปิด ทำให้ ส.ว.อุปกิตอาศัยความคุ้มกันของ ส.ว. ถ่วงเวลาให้ไม่ต้องถูกเรียกไปสอบสวนจนได้ ทำให้ในเวลานี้มีเพียงทุนมินลัตและนาง “ป.” ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ในศาล ทั้งที่ตามกฎหมายถ้าผู้กระทำการเป็น ส.ว. อยู่ ตามกฎหมายฟอกเงินรับโทษ 2 เท่า ตามกฎหมายยาเสพติดรับโทษ 3 เท่า กลับรอดไปได้

รังสิมันต์กล่าวถึงตำรวจที่ตามคดีจนสามารถจับกุมทุนมินลัตได้จนมีผลงานอย่าง ว่าที่ พ.ต.อ.กฤศณัฏฐ์ ธนศุภณัฏฐ์ ผกก.สส.2 บก.สส. บช.น. และควรอยู่ที่เดิมเพื่อติดตามขยายผลกลับถูกย้ายไปอยู่ สภ.บ้านเดื่อ จ.ชัยภูมิ ทั้งๆ ที่ ผบ.ตร. เคยสั่งการไว้เองว่าจะย้ายใคร ต้องคำนึงถึงความต่อเนื่องในการทำคดียาเสพติดด้วย

เขากล่าวอีกว่าทั้งการล็อบบี้ภายในศาลให้ถอนหมายจับ ไม่มีการออกหมายเรียก และตำรวจที่ทำคดีถูกสั่งย้ายความผิดปรกติเหล่านี้เป็นสัญญาณบอกว่าให้หยุดความพยายามดำเนินคดีกับ ส.ว. อุปกิต

“มันจะเกิดขึ้นอย่างสอดประสานกันขนาดนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่มีคนคอยบงการทั้งหมดอยู่ข้างหลัง คนที่ไม่อยากให้ ส.ว. อุปกิตถูกจับดำเนินคดี คนที่มีผลประโยชน์ร่วมกับ ส.ว. อุปกิตอย่างเหนียวแน่นและยังอยากใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันต่อไป นั่นคือคนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

รังสิมันต์ชี้ถึงเหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ช่วยส.ว. อุปกิตว่าเกี่ยวข้องกับที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของพรรครวมไทยสร้างชาติในซอยอารีย์ซึ่งเดิมเป็นของบริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA ที่ ส.ว. อุปกิต เคยเป็นผู้บริหารและถือหุ้นด้วยแม้จะอ้างว่าลาออกและขายหุ้นทิ้งไปหมดแล้ว แต่บริษัทยังโอนกรรมสิทธิที่ดินกลับมาให้ส.ว.อุปกิตเมื่อมา 4 สิงหาคม 2564 และเป็นเจ้าของที่ดินมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเขาทราบว่า UPA ขายได้เงินมา 101 ล้านบาท ซึ่งราคาต่ำกว่าที่เขาเห็นในประกาศขายบ้านเนื้อที่ขนาดใกล้เคียงกันในซอยนี้ที่ตั้งราคาไว้ตั้ง 150 ล้านบาท

“จึงชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ตั้งนายอุปกิตให้เป็น ส.ว. เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ นอกจากจะช่วยโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังช่วยรับเหมาสร้างพรรคใหม่ให้ด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้วผมก็อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ช่วยชี้แจงมาด้วยว่าได้มีการทำสัญญาให้พรรครวมไทยสร้างชาติเช่าที่ดินและตึกตรงนี้หรือไม่? ราคาเช่าเท่าไหร่? หรือว่าใจดีมาก ให้ยืมใช้กันฟรีๆ ไปเลย? หมดยุคยืมแค่นาฬิกาแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ถึงขั้นยืมที่ดินสร้างพรรคกันแล้วใช่ไหม?” รังสิมันต์ชี้ว่าเป็นหลักฐานที่ พล.อ.ประยุทธ์กำลังใช้งาน ส.ว.อปกิต ที่ต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติความครอบงำของพรรคการเมืองใดๆ ให้คอยเป็นธุระจัดการให้ในการหาที่ตั้งพรรคการเมืองที่ตนจะเป็นหัวหน้าพรรค

รังสิมันต์ตั้งคำถามว่าหากพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจะตอบแทนให้แก่ ส.ว.อุปกิตอย่างไร และเขาจะไม่แปลกใจถ้าจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของขบวนการฟอกเงิน ขบวนการสนับสนุนผู้ค้ายาชิ้นนี้จะหลุดรอดลอยนวลไปได้ และถ้า ส.ว. อุปกิตยังรอด เขาเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะต้องหาทางช่วยให้ทุนมินลัตที่มีส่วนสำคัญในขบวนการด้วย

ส.ส.จากก้าวไกลให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จากกลุ่ม Justice for Myanmar ระบุว่าทุนมินลัตและพ่อของเขายังเปิดทางให้กับส.ว.อุปกิตเข้าไปทำธุรกิจในพม่าด้วย โดยทุนมินลัตที่เป็นเจ้าของเครือบริษัท Star Sapphire Group ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดหาอาวุธและสนับสนุนการเงินให้กับกองทัพพม่า ปัจจุบันทั้งทุนมินลัตและพ่อของเขาอยู่ในบัญชีดำของสหภาพยุโรป อีกทั้งพ่อของเขาที่เคยเป็นอธิบดีกรมการโรงแรมฯ ของพม่าเมื่อปี 2542 ก็คือผู้ที่เซ็นอนุญาตให้ส.ว.อุปกิตสร้างโรงแรม Allure Resort ขึ้นในท่าขี้เหล็กโดยมี Star Sapphire เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างให้

รังสิมันต์ชี้ว่าโรงแรม Allure Resort ของ ส.ว.อุปกิตนั้นที่จริงเป็นบ่อนคาสิโนที่อาศัยช่องว่างกฎหมายไปเปิดติดกับชายแดน แล้วก็จัดรถรับเอาคนไทยไปเล่นพนันกันที่นั่น มีนักพนันบางรายเคยให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ด้วยว่าเคยไปเสพยาบ้าที่ซื้อมาจากชาวว้าที่เป็นเอเยนต์ขาประจำที่นั่นด้วย และส.ว.อุปกิตยังยอมยกรายได้ 6% ของบ่อนเข้ากองทัพพม่าโดยตรง

เขากล่าวต่อว่าตำรวจไทยยังเจอว่าทุนมินลัตถือครองสมุดบัญชีธนาคารและสัญญาซื้อขายคอนโดของลูกชายและลูกสาวของมินอ่องหล่าย หัวหน้าคณะรัฐประหารพม่าที่ครองอำนาจสูงสุดในปัจจุบันด้วยและทรัพย์สินเหล่านี้ก็ได้มาจากการค้ายาเสพติด แม้จะพบรายการทรัพย์สินแล้วแต่ ป.ป.ส. ก็ไม่ได้ไปตามยึดหรืออายัดเพิ่มเติมไม่เรียกเจ้าของทรัพย์สินมาสอบปากคำถึงความเกี่ยวข้อง

“แสดงให้เห็นว่าคนอย่างทุนมินลัตไม่ใช่แค่นักธุรกิจทั่วๆ ไป แต่เป็นถึงพ่อค้าอาวุธคนสนิทที่ดูแลทรัพย์สินให้กับครอบครัวของผู้นำเผด็จการพม่า คนที่ใกล้ชิดขนาดนี้ มีหรือที่มินอ่องหล่ายจะปล่อยให้ติดคุกไทยไปได้ง่ายๆ”

รังสิมันต์กล่าวต่อว่าในเดือนที่ผ่านมา พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทยไปเยือนมินอ่องหล่ายถึงที่พม่าถึง 3 วันภายหลังมีข่าวการตรวจเจอเอกสารของลูกมินอ่องหล่ายไม่กี่วัน เขาเห็นว่าเป็นโอกาสที่มินอ่องหล่ายจะฝากข้อความไปยังรัฐบาลไทยเพื่อขอไถ่ตัวทุนมินลัตกลับออกมาให้ได้

ส.ส.ก้าวไกลกล่าวว่าถ้าหากว่า พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร ที่ตั้งอุปกิตเข้ามาเป็นส.ว.รู้ดีเขาเป็นใครทำอะไรมา และยังช่วยปกป้องกันถึงทุกวันนี้เพราะหวังผลประโยชน์ตอบแทนจากธุรกิจมืดของ ส.ว. อุปกิตแล้วก็มินอ่องหลายทั้งสองคนนี้ไม่ให้ทุนมินลัตถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน เพราะการฟอกเงินให้กับขบวนการค้ายาข้ามชาติหรือการพนันข้ามชาติต้องมีคนพม่าอย่างทุนมินลัตช่วยด้วยแสดงถึงความไม่สนใจว่าคนที่ตัวเองตั้งเข้ามาจะมีประวัติอย่างไร

“แล้วเงินที่ได้มาจากการทำลายชีวิตของประชาชนทั้ง 2 ชาติก็เอามาแบ่งกันระหว่างผู้มีอำนาจเหล่านี้ ของพม่าก็เอาไปซื้ออาวุธให้กับกองทัพ อาวุธที่ทุนมินลัตเป็นนายหน้านำเข้ามาไปใช้สังหารประชาชนในประเทศตัวเอง ใช้กวาดล้างผู้ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ใช้ขับไล่ชาวโรฮิงญาให้ต้องหนีตายไปยังประเทศอื่นรวมถึงไทยด้วย ส่วนของไทยก็เอามาเป็นทุนรอนให้กับการสืบทอดอำนาจของพวกกินไม่รู้จักอิ่มอย่าง พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรต่อไป”

“หนึ่งในปัญหาตลอดกาลของประเทศนี้อย่างเรื่องยาเสพติดนั้น การจะจัดการถอนรากถอนโคนออกไปให้ได้อย่างเด็ดขาดจะไม่มีวันเป็นจริงเลยหากพวกคนที่อยู่ในวงอำนาจการเมืองไทยที่เข้าไปเกี่ยวข้องผ่านการฟอกเงินหรือการสนับสนุนต่างๆ ไม่ถูกรื้อทิ้งไปด้วย ทำแบบนี้ก็มีแต่รอวันที่กลุ่มผู้ค้ายารายใหม่จะผุดขึ้นมาผ่านท่อน้ำเลี้ยงเดิมที่ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลนี้ไม่เคยจะจัดการอย่างจริงจัง”

ทุนจีนสีเทาเอี่ยวคนในรัฐบาล อ้างสถาบันฯ หากิน

รังสิมันต์อภิปรายประเด็นต่อมาถึงเรื่องกลุ่มทุนจีนสีเทาที่เข้ามาก่ออาชญากรรมในไทยอย่างกรณี ตู้ห่าว หรือที่มีชื่อไทยว่า ชัยนัฐร์ กรชายานันท์ ก่อนหน้านี้เคยทำทัวร์ศูนย์เหรียญที่ภูเก็ต เมื่อปี 2555 เคยมีคดีจ้างวานเผาสวนงูคู่แข่ง ซ้อม รปภ. จนพิการแต่อัยการสูงสุดในขณะนั้นกลับสั่งไม่ฟ้อง จากนั้นตู้ห่าวยังมาเปิดผับชื่อ “จินหลิง” ที่หลังฉากเป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาขนาดใหญ่ในกรุงเทพ

ส.ส.ก้าวไกลชี้ว่าแม้ล่าสุดอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง 9 ข้อหาไปแล้วเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “ปีศาจอยู่ในรายละเอียด” ที่เริ่มตั้งแต่กระบวนการตรวจค้นของตำรวจที่นำโดยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2565 ที่ไม่เจอยาเสพติดในบ้านทั้งที่มีถาดรองยา หลอดเสพยาและปล่อยรถตู้ที่ตู้ห่าวใช้ประจำเอาไว้ ส่วนอาคารอีกหลังที่เป็นบ่อนเมื่อตรวจค้นก็ถูกขนของออกไปหมดแล้ว และยังทิ้งช่วงเวลาการตรวจค้นบ้านหลังที่สามไว้กว่า 5 วันเผื่อเวลาให้ย้ายหลักฐานหนีได้เหลือเฟือ และคนจีนกว่า 200 คนที่ตรวจปัสสาวะพบว่ามีการใช้ยากว่าครึ่งก็ถูกปล่อยตัวไปจนเหลือเพียง 6 คน

รังสิมันต์กล่าวต่อว่า ภาพกล้องวงจรปิดที่เห็นว่ามีบ่อน ว่ามีการเสพยาการขายกลับถูกตัดออกจากสำนวน รถหรูของกลาง 4 คัน “รองหมา” ของ สน.ยานนาวา ก็ปล่อยหลุดออกไป หลังมีหญิงจีนนำ 6 แสนบาทมาให้ถึงโรงพัก อีกทั้ง “รองคมไพร” จาก สน.ลาดพร้าวยังปล่อยให้หลานชายของตู้ห่าวที่จับได้ในที่เกิดเหตุหนีระหว่างพาไปฝากขัง ภรรยาของตู้ห่าวที่ควรเป็นผู้ต้องหาก็เอามาเป็นพยาน ตอนออกหมายจับแจ้งข้อหาแล้วก็ได้ประกันตัวออกมาจนไปมีเรื่องข่มขู่พยานอีก ส่วน รปภ. ของผับที่ควรกันไว้เป็นพยานก็ยัดไปให้เป็นผู้ต้องหา อีกทั้งกว่าจะออกหมายจับตู้ห่าวก็หลังจากเข้าบุกค้นไปแล้วเกือบ 1 เดือน

“ข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ ข้อหาฟอกเงิน ตำรวจไม่ยอมตั้งเสียที จนคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ต้องไปตามจี้ให้เอาอัยการสูงสุดเข้าร่วมสอบสวนคดีด้วยเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2565 ปล่อยให้ทางนั้นมีเวลายักย้ายเงินสด เงินฝาก หนีจนแทบจะไม่เหลือให้ตามยึดได้ หรือกรณีรองหมา, รองคมไพร ไปก่อเรื่องไว้ไม่กี่วันหลังการบุกค้น แต่เพิ่งจะมาแจ้ง 157 เอาผิดกันเงียบๆ ช่วงสิ้นปี 2565” รังสิมันต์ชี้ว่ารายละเอียดเหล่านี้ชี้ถึงการเตะถ่วงรอให้กระแสซาการซ่อนทำลายหลักฐานที่สำคัญต่อรูปคดี ซึ่งการจะล้มคดีได้แบบนี้ต้องอาศัยคนมีเส้นสายแน่นอน

ส.ส.จากก้าวไกลยังได้ทวงถามความรับผิดชอบเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่าง ผบช.น. ที่ควบคุมดำเนินการมาแต่ต้นแต่ปล่อยให้เกิดปัญหาข้างต้นเหล่านี้ หากเทียบกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำคดีทุนมินลัตที่ยังทำได้ดีกว่ามีการดำเนินการออกหมายจับทั้งที่รู้ความเสี่ยงว่าจะต้องเจอกับอะไร และผบ.ตร.เองก็ที่ควรต้องมาเร่งรัดคดีกลับไม่ทำอะไรเพียงต่อรอวันเกษียณ และพล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นประธาน ก.ตร. ที่มีอำนาจสูงสุดกลับปล่อยให้เกิดการทำงานแบบเตะถ่วงอย่างนี้

รังสิมันต์ตั้งคำถามถึงพล.อ.ประยุทธ์ว่าที่ไม่มีการเร่งรัดเป็นเพราะตู้ห่าวมีความเกี่ยวของกับปฐมพล จันทร์โอชา หลานของตัวเองที่ก็มีประวัติตั้งบริษัทรับเหมาในค่ายทหารมารับงานของกองทัพภาคที่ 3 รวมแล้ว 107 ล้านบาทหลังจากปรีชา จันทร์โอชา น้องชายของพล.อ.ประยุทธ์และพ่อของปฐมพลได้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคจนเลื่อนเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม

รังสิมันต์ตั้งข้อสังเกตว่า หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่นที่เป็นของปฐมพลนี้เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จากการไปเช่าซื้อรถทัวร์ถึง 33 คันมาปล่อยเช่าต่อให้กับบริษัทในเครือของตู้ห่าวใช้ขนคนจีนมาเล่นยา ทั้งที่เป็นบริษัทนี้ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอีกทั้งปฐมพลยังมีบริษัท บีวิช คาร์ เรนทอล จำกัดทุนจดทะเบียนถึง 60 ล้านบาทกลับไม่ใช้ เขาตั้งคำถามว่าเข้าข่ายเป็นการฟอกเงินหรือไม่

“ทำตัวแปลกๆ กันแบบนี้ คนอื่นเขาเลยสงสัยว่านี่ก็อาจเป็นการฟอกเงินด้วยหรือไม่หลาน พล.อ.ประยุทธ์ฟอกให้ตู้ห่าว ก็ตู้ห่าวฟอกให้หลาน พล.อ.ประยุทธ์ และไม่ต้องอ้างนะว่าไม่รู้เลยว่าตู้ห่าวเป็นใคร ถ้าคิดจะเช็คประวัติสักนิด อย่างน้อยที่สุดต้องเจอเรื่องเผาสวนงูแน่ๆ ซึ่งคนดีๆ ถ้ารู้ว่าตู้ห่าวมีเรื่องแบบนั้นแล้ว เขาไม่ไปข้องแวะด้วยแต่แรกหรอกครับ”

รังสิมันต์กล่าวต่อว่าการที่พบเส้นทางการเงินว่ามีความเกี่ยวข้องกับตู้ห่าวที่เป็นผู้ต้องหาสำคัญกลับกลับเชิญตัวหลาน พล.อ.ประยุทธ์มาแบบเงียบ แล้วจะให้วางใจว่าคดีนี้จะไม่ถูกปัดทิ้งทำให้คนในครอบครัวรอดอีกหรือไม่ และไม่เพียงเท่านั้นตู้ห่าวยังมีความเชื่อมโยงกับคนอื่นๆ อีกด้วย

ส.ส.ก้าวไกล เริ่มจากแสดงภาพ ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์ ที่ทำให้เห็นว่ามีความสนิทกับตู้ห่าวทั้งการให้เข้าไปถ่ายภาพในบ้านและตู้ห่าวยังเคยไปร่วมปาร์ตี้วันเกิดภรรยาของธรรมนัสพร้อมมอบ Hermes ให้เป็นของขวัญด้วย

รูปความเชื่อมโยงโครงข่ายบริษัทที่รังสิมันต์เปิดเผยในสภาที่ถูกเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม

รังสิมันต์กล่าวอีกว่าธรรมนัสยังเกี่ยวข้องกับกลุ่มจีนเทาอีกหลายคน เช่น จางเจียนฟู่, เฉินเฝิงเชา และเกาฉี ที่มีที่อยู่เดียวกันคือ 888 ถ.อโศก-ดินแดงซึ่งโฉนดที่ดินนี้เป็นชื่อของธรรมนัสเอง เป็นที่ตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัย ที.พี.การ์ด หรือชื่อเดิม ธรรมนัสการ์ด ปัจจุบันก็ยังถือหุ้นใหญ่โดยภรรยาอีกคนของธรรมนัสด้วย อีกทั้งชาวจีนทั้งสามคนนี้ยังพลัดเปลี่ยนกันถือหุ้นในบริษัท ไชน่า คิงดอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ต่อจากธรรมนัสเมื่อปี 2561 ช่วงที่กำลังเตรียมลงเลือกตั้งกับพลังประชารัฐ หรือก็คือเป็นนอมินีถือหุ้นให้ธรรมนัส

เขากล่าวต่อว่า บริษัทไชน่าคิงดอมนี้ยังไปเช่าที่ดินสร้างผับที่ชื่อ “Top One” ที่ก็มีคนจีนไปเสพยาจนช็อคตายด้วย และเมื่อเกิดเรื่อง จางเจียนฟู่รีบพาพวกบุกเข้าคอนโดผู้ตาย เอาเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ไปเผาทำลายไม่ให้เหลือหลักฐานหมด อีกทั้งยังได้ผู้กำกับการ สน.สุทธิสารขณะนั้นช่วยปล่อยให้เรื่องเงียบมาเป็นเดือน จนทางการจีนกดดันมาจางเจียนฟู่อาจลอยนวลไปได้อีกคน และจางเจียนฟู่ยังต้องสงสัยว่าจะไปมีส่วนในแก๊ง call center หลอกคนมาลงทุนด้วย

“เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็รู้ว่าคนอย่างคุณธรรมนัสเป็นพวกเทาบางส่วน ดำอีกหลายส่วน มีขาวอยู่อย่างเดียวคือแป้ง และตัว พล.อ.ประยุทธ์เองก็ชิงชังคุณธรรมนัสออกนอกหน้าอยู่แล้ว แต่แล้วทำไมพอมีคดีจีนเทาขึ้นมา เหตุใดจึงไม่มีการสอบสวนหรือขยายผลถึงธรรมนัสด้วย”

รังสิมันต์ยังกล่าวถึงการบริจาคเงินของตู้ห่าวจำนวน 3 ล้านบาทไปเข้าพรรคพลังประชารัฐเมื่อพฤษภาคม 2564 ที่ในขณะนั้นธรรมนัสยังเป็นรัฐมนตรีอยู่แสดงถึงความสนิทชิดเชื้อกันมาก แต่นอกจากตู้ห่าวยังมี “สิทธิกร” ที่บริจาค 3 ล้านเท่ากัน และถูกจับพร้อมกับจีนเทาคนอื่นๆ ยังมีความสนิทกับธรรมนัสโดยเขายกเรื่องที่สิทธิกรมีเฟซบุ๊กของธรรมนัสอยู่ในเฟรนด์ลิสด้วย แต่สิทธิกรไม่ได้บริจาคให้กับพลังประชารัฐเท่านั้นแต่ยังบริจาคเงินอีก 3 ล้านบาทให้พรรคเศรษฐกิจไทยเมื่อปี 2565 ช่วงที่ธรรมนัสย้ายไปด้วย แสดงให้เห็นถึงบทบาทในการดึงคนที่เกี่ยวกับจีนเทามาสนับสนุนการเงินแก่พรรคที่ตัวเองไปอยู่ ทำให้ต่อพล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่ชอบธรรมนัสขนาดไหนก็ไม่สามารถตัดกันได้

รังสิมันต์กล่าวถึงกลุ่มจีนเทาอีกคนคือ หลินหลง จีนเทาอีกคนหนึ่งที่เคยแต่งชุดทหารยศพันเอกถ่ายรูปโชว์คนอื่นมีรถที่ติดสติกเกอร์อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. และมีคฤหาสน์ใหญ่โตไม่แพ้ของตู้ห่าว แม้ปัจจุบันหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ในอดีตเคยได้ถ่ายรูปร่วมกับ พล.อ. ประวิตรที่บ้านป่ารอยต่อฯ ซึ่งต้องนัดหมายกันมาล่วงหน้าอย่างดีแม้เขาจะไม่ทราบว่าการพบกันระหว่าง 2 คนนี้มีการคุยเรื่องอะไรกันบ้างแต่คาดว่าจะไม่ใช่เรื่องดี

“อย่างที่บอกไปแล้วว่าเขาเป็นมือเป็นไม้ให้กับ พล.อ.ประวิตร ในทางกลับกัน พล.อ.ประวิตรก็เป็นเหมือนพ่อทูนหัวให้กับคุณธรรมนัส ให้โลดโผนโจนทะยานในวงการเทาๆ ได้แบบไร้กังวล การที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เอาตัวคุณธรรมนัสมาสอบสวนเรื่องจีนเทาเสียที ก็เพราะกลัวว่าเท่ากับจะต้องเรียก พล.อ.ประวิตรมาสอบด้วยนั่นเอง เพราะฉะนั้นก็ช่างมันแล้วกัน ปล่อยให้พวกมาเฟียมันเป็นใหญ่เป็นโตกันต่อไปแบบนี้แล้วกัน” รังสิมันต์กล่าวถึงการที่ธรรมนัสเป็นคนที่นำกลุ่มทุนจีนเทาเข้าหาพล.อ.ประวิตร

รังสิมันต์กล่าวถึงกลุ่มทุนจีนสีเทาอีกรายคือ เซาเซียนโป ถูกตั้งข้อหาแจ้งข้อมูลเท็จในการออกบัตรประชาชนและเอกสารราชการมีหมายจับอยู่ที่ จ.ปัตตานีมาตั้งนานแล้วแต่เพิ่งมาจับไม่กี่เดือนก่อน และเซาเซียนโปยังปลอมรถของตัวเองให้เหมือนเป็นรถของคณะทูต มีรถนำขบวน รถติดไซเรน มาครบ พอตำรวจไปค้นสำนักงานที่ตึก BBD ถ.วิภาวดีฯ เจอเครื่องแบบตำรวจ-ทหารด้วย และยังอ้างว่าตัวเองเป็นที่ปรึกษาสมาคมพ่อค้าไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ตำรวจยังพบรถแอบขนเหล้าเบียร์หนีภาษีหลายรายการ สภาพบ้านเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ด้านหน้าติดโลโก้สมาคมพ่อค้าไทยฯ ด้านในมีอาคารถึง 4 หลัง พร้อมหัวรถไฟจำลองมาตั้งโชว์และหลังบ้านป็นช่องลับไว้ให้ขนของหนี

รูปความเชื่อมโยงโครงข่ายบริษัทที่รังสิมันต์เปิดเผยในสภาที่ถูกเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม

เซาเซียนโปยังเข้าหาคนมีสีมีอำนาจด้วยเช่นกัน รายที่สำคัญชื่อว่า พล.อ. “ธ.” ซึ่งใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร ที่ได้ข่าวมาว่ารับเงินจากจีนมาวิ่งเรื่องรถไฟกับรัฐบาล และเซาเซียนโปและสนิกทกับพล.อ. ธ.ที่เปิดบ้านของตัวเองพล.อ. ธ.ไปใช้รับของที่ระลึกจากคนที่เอาของมามอบพร้อมถ่ายภาพโชว์ และยังมีรูปที่ทั้งเซาเซียนโปและ พล.อ. “ธ.” ไปถ่ายร่วมกับอนุชา นาคาศัย อดีตรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย เขาจึงอยากให้ทางตำรวจเรียกตัวทั้งอนุชา ทั้ง พล.อ. “ธ.” และผู้สนับสนุนรายอื่นๆ มาสอบปากคำถึงความเกี่ยวข้องกับเซาเซียนโปอย่างไร

รังสิมันต์กล่าวอีกว่าจีนเทาที่เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้น ยังมีประเภทที่มาตั้งฐานที่มั่นอยู่ติดกับชายแดนไทย เพื่อหลอกเอาคนไทยไปเป็นแรงงานให้กับมิจฉาชีพของตัวเองด้วย และเขาได้เปิดคลิปวิดีโอของหญิงไทยที่ถูกหลอกจากการไปสมัครงานตามประกาศที่อ้างว่าเป็นเซลล์ขาย cryptocurrency ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก แต่พอไปจริงกลับถูกกลุ่มติดอาวุธพาข้ามช่องทางธรรมชาติไปอยู่ในค่ายกักกันแห่งหนึ่งในเมืองเมียวดี ประเทศพม่า ที่สร้างขึ้นโดยพวกจีนเทา และถูกบังคับให้ทำ Romance Scam หลอกต้มตุ๋นให้เหยื่อมาซื้อ cryptocurrency อีกที แม้ว่าเธอจะรอดมาได้แต่ก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ และยังเคยร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีแต่ก็ไม่เคยได้คำตอบอะไรกลับมา

วิดีโอคลิปที่รังสิมันต์นำมาเปิดในสภา

นอกจากนั้น ส.ส.จากก้าวไกลยังกล่าวถึง “Yatai New City” หรือ “ฉ่วยก๊กโก” ที่อยู่แถวชายแดนตรงข้ามแม่สอด เป็นโครงการของบริษัท Yatai (หย่าไถ้) International Holding Group จดทะเบียนที่ฮ่องกง แต่สำนักงานหลักอยู่ในกรุงเทพฯ มีเจ้าของชื่อ “เสอจื้อเจียง” (หรือ “เสอหลุนข่าย” หรือ “ตั้ง เกรียงไกร”) โครงการนี้หน้าฉากโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็น smart city บนเนื้อที่กว่า 7 หมื่นไร่ วงเงินลงทุนตามที่เคลมไว้คือกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นศูนย์รวมธุรกิจ ศูนย์รวมอุตสาหกรรม ศูนย์รวมความบันเทิง ในขณะที่ตัวเสอจื้อเจียงก็สร้างภาพตัวเองว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่มีรายงานข่าวว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมแก๊งพนันออนไลน์ แก๊ง call center หลอกลวงต้มตุ๋น

นอกจากนี้เสอจื้อเจียงยังมีอีกหนึ่งโครงการชื่อ KK Park โดยโครงการนี้สำนักข่าวในจีนต่างรายงานว่าเป็นปลายทางของการค้ามนุษย์ เหยื่อที่ถูกใช้งานจนหมดประโยชน์แล้วจะถูกตัดเอาอวัยวะออกมาทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อเอาไปขาย ส่วนร่างที่เหลือก็โยนทิ้งไป เปรียบเสมือนนรกบนดินและเขายังสงสัยว่าจะเคยมีคนไทยเคยถูกเอาตัวไปค้ามนุษย์ในที่แห่งนี้บ้างหรือไม่

รังสิมันต์ชี้ปัญหาอีกว่าเสอจื้อเจียงและบริษัท Yatai มีความพยายามรุกคืบเข้ามาตั้งโครงการในแม่สอดและกรุงเทพฯ ด้วยเส้นสายที่ตัวเองมีกับพรรคการเมืองทำให้ได้เข้ามาในที่ประชุมกรรมาธิการ Entertaiment Complex เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2565 เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลจะยอมปล่อยให้องค์กรอันตรายเข้ามามีบทบาทขนาดนี้และยังอาจถูกเอาไปใช้เป็นโฆษณาชวนเชื่อให้กลุ่มทุนจีนสีเทาอื่นเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น

แม้ว่าสุดท้ายแล้วเมื่อสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา เสอจื้อเจียงถูกจับกุมแล้วในไทยตามหมายแดงของประเทศจีน แต่ตัวบริษัท Yatai และคนที่รายล้อมรอบตัวเขาที่ลอยนวลอยู่มีอีกมากและอาจไปทำเรื่องร้ายแรงต่อสังคมไทยได้อีก เช่น “หยูซินฉี”

รังสิมันต์อธิบายถึงความเกี่ยวพันระหว่าง “หยูซินฉี”และเสอจื้อเจียงว่า หยูซินฉีใช้ตำแหน่งประธานสมาคมชื่อ “มณฑลส่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย” มอบตำแหน่งให้เสอจื้อเจียงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของสมาคมแห่งนี้เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ทั้ง 2 คนนี้เคยพบปะกันที่สำนักงานของ Yatai ในกรุงเทพฯ โดยตัวหยูซินฉีเองได้แสดงออกถึงการสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อโครงการ “ฉ่วยก๊กโก” กล่าวว่านักลงทุนต่างชาติจำนวนมากได้เล็งเห็นโอกาสในการเติบโต และขอให้ตนเป็นผู้ช่วยประสานความร่วมมือเชิงลึกกับโครงการนี้ ซึ่งทำให้มีคำถามว่าคนที่ถูกชักชวนมาลงทุนในธุรกิจอะไรกันแน่

สำหรับสมาคม “มณฑลส่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย” มีพิธีเปิดตัวขึ้นเมื่อวันที่ 18 ต.ค.2560 ระบุการให้บริการ เช่น แนะนำการลงทุนและซื้ออสังหาริมทรัพย์, ช่วยคนจีนจดทะเบียนบริษัทในไทย, ติดต่อนัดพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล, ช่วยเหลือเรื่องการขอวีซ่า เป็นต้น แต่เมื่อไปค้นฐานข้อมูลสมาคมในประเทศไทย ไม่ปรากฏว่าเคยมีสมาคมชื่อนี้จดทะเบียนจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทยมาก่อน เท่ากับเป็นสมาคมเถื่อน และหยูซินฉียังผู้อำนวยการของ “โรงเรียนธุรกิจเอเชียนสตาร์ (อาเซียน)” ด้วยแต่ไม่พบว่ามีการจดทะเบียนเป็นสถานศึกษาไว้

รังสิมันต์ชี้ว่าในช่วงปี 2563 - 2564 มีคนจีนผ่านแดนเข้ามากว่า 7 พันคนด้วยวีซ่านักเรียนโดยโรงเรียนที่ว่าเป็นแค่ตึกแถวสักแห่งหนึ่งหรือเข้ามาในฐานะอาสาสมัครของมูลนิธิต่างๆ ที่สถานที่ตั้งจริงบ้านเก่าโทรมๆ ตามต่างจังหวัด แล้วสมาคมหรือโรงเรียนของหยูซินฉีที่ผ่านมานำเข้าคนจีนด้วยวิธีการแบบนี้ด้วยหรือไม่ มีจำนวนเท่าไหร่ และจะตรวจสอบกันได้อย่างไรในเมื่อไม่ใช่สมาคมถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งคนที่หยูซินฉีพาเข้ามาทำธุรกิจเป็นคนประเภทเดียวกับตู้ห่าวหรือเสอจื้อเจียงที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์หรือไม่

“เรื่องพวกนี้ผู้ที่ต้องรู้ข้อมูลดีที่สุด ต้องเตรียมการป้องกันอย่างดีที่สุดไม่ให้มันเกิดขึ้น ก็คือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่อ้างจุดขายเรื่องความมั่นคงมาโดยตลอด ซึ่งถ้าท่านได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ อย่างที่อวดอ้างตัวเองจริงๆ ผมคิดว่าคงไม่มีข่าวเรื่อง ตม. ถูกเปิดโปงออกมาตั้งแต่แรก”

รังสิมันต์ยังเปิดเผยต่อว่าหยูซินฉีที่ว่านี้ไม่ได้เพียงแค่เขียนบทความถึงความสู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จลงโซเชียลมีเดียของสมาคมและเผยแพร่ไปตามเว็บข่าวต่างๆ เท่านั้นแต่ยังบอกว่าตัวเองได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาด้านกิจการจีนของเชื้อพระวงศ์ไทยและนายพลราชองครักษ์ด้วย

จากที่เขาตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เชื้อพระวงศ์ที่ว่าก็คือระดับหม่อมราชวงศ์ ซึ่งในบ้านเราถือเป็นสามัญชนเท่านั้น ส่วนกับนายพลก็เพียงแค่จ้างมาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ซึ่งเป็นเทคนิคในการเอาเรื่องธรรมดาทั่วไปมาบิดให้เกิดจริงเพื่อสร้างราคาให้ตัวเอง แต่ได้สร้างความเสียหายให้กับหน่วยงานต้นสังกัดหรือสถาบันที่เกี่ยวข้องกับคนที่หยูซินฉีอ้างว่ามีเส้นสายด้วย แล้วในบทความยังมีภาพที่ถ่ายกับนายทหารตำรวจไล่ไปถึงนักการเมือง รัฐมนตรี แม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ไปถึงระดับองคมนตรีอย่าง พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข และสมเด็จพระสังฆราชด้วย

รังสิมันต์กล่าวถึงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ก้าวไกล กรุงเทพฯ ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ ที่ได้ลงพื้นที่สำรวจปัญหาทุนจีนรุกคืบเข้ามาช่วงชิงที่ทำกินโดยเสียเงินเช่าอาคารเป็นหลักแสนบาทแต่ขายแค่รองเท้าแตะ ขายแมสก์ธรรมดา จนน่าสงสัยว่าจะเป็นการฟอกเงินด้วย ผู้ค้าชาวจีนบางรายยังใช้เจ้าหน้าที่ที่ตัวเองเข้าถึงได้ด้วยเงินให้ไปจับคู่แข่งตัวเองด้วยเรื่องขายของผิดลิขสิทธิ์ทั้งที่ตัวเองก็ผิดขายสิ่งเดียวกัน เขาเห็นว่ากิจการพวกนี้ถือเป็นภัยเงียบไม่เหมือนผับหรือบ่อนและอาจมีจำนวนมากกว่าที่เข้ามาได้ด้วยการดำเนินการของหยูซินฉี

“แต่หยูซินฉีไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ ลองไปดูข้อความต่อไปนี้ อ้างว่าสมาคมของตัวเอง “ได้รับความไว้วางใจและกำลังใจที่ดีจากราชวงศ์ไทย” สมาคมที่ทุกวันนี้ไม่ได้เปิดอย่างถูกกฎหมายนั่นแหละครับ หรืออ้างว่าตัวเอง “ได้รับเกียรติให้เข้าไปเยือนในวังด้วยการต้อนรับในระดับเดียวกับนายพล” คนจีนที่ได้มาเห็นข้อความอย่างนี้ไม่รู้จะเข้าใจเลยเถิดไปถึงไหนแล้วว่าหยูซินฉีนี่สายตรงจากวังเลยหรือ และที่ไปไกลสุดๆ คืออ้างว่าตัวเอง “ได้รับแต่งตั้งเป็น ‘สมาชิกกิตติมศักดิ์’ ของราชวงศ์ไทย” มีเอาใบประกาศณียบัตรมาโชว์ให้ดูด้วย ซึ่งปรากฏว่าเป็นแค่บัตรรับหนังสือเท่านั้น คนละเรื่องกับที่โม้ไว้เลย”

รังสิมันต์ยังแสดงข้อความบิดเบือนที่หยูซินฉีใช้ในโซเชียลมีเดียของสมาคมอีกว่า “ประเทศไทยประกาศว่าจะใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดของสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อรับประกันว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน จะได้ดำเนินการจริงๆ” “ราชวงศ์ของไทยจะไม่ยอมทนต่อพวกที่หนุนอเมริกาในสภาอีกแล้ว” และยังมีภาพที่หยูซินฉีถวายของที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จไปเปิดงานเมาลิดกลางที่จัดโดยคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายน 2562 และเขียนบอกว่าตัวเองไปถวายของขวัญเนื่องในโอกาสวันพระราชสมภพ เพื่อบิดเบือนว่ามีความใกล้ชิดเกินจริง และภาพเหล่านี้ยังไปปรากฏในหนังสือที่จัดพิมพ์โดยสถาบันที่มีความเกี่ยวข้องกับทางการจีนด้วยแม้จะมีอยู่เพียง 3 หน้า

นอกจากนั้นรังสิมันต์ยังระบุว่าหยูซินฉีเข้าหาสมเด็จพระเทพฯ เพื่อให้ได้รูปถ่ายแบบนี้เช่นกัน ซึ่งเขาเชื่อว่าทั้งสองพระองค์ไม่ได้ทรงมีส่วนรับรู้หรือมีพระราชประสงค์ให้พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือหากินของใครบางคนในลักษณะเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเข้ามารับผิดชอบและนายกฯ ที่ดูแลหน่วยงานความมั่นคงที่ต้องตรวจสอบไม่ให้คนเหล่านี้แทรกตัวเข้ามาหาสถาบันกษัตริย์ได้แต่กลับปล่อยให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น

“เห็นสิ่งที่หยูซินฉีได้ทำลงไปแบบนี้ ทำให้ผมนึกถึงกรณีของประสิทธิ์ เจียวก๊ก คนที่สร้างภาพว่าสู้แล้วรวย รวยแล้วตอบแทนคุณแผ่นดิน อ้างตัวเองว่าเป็นจิตอาสาทำความดีเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นพวกมิจฉาชีพหลอกลวงต้มตุ๋นผู้อื่น ขนาดว่าถูกจับแล้วยังจะหาทางปลอมตัวหลบหนี”

รังสิมันต์กล่าวปิดท้ายว่าแม้เรื่องจีนเทาและพม่าเทาที่เป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ลุกลามบานปลายอยู่ในภูมิภาคนี้มานับสิบปีแล้วและมุ่งเป้าในการกอบโกยมาที่พี่น้องประชาชนชาวไทย เยาวชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มอาชญากรรมพวกนี้

“แต่สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุด คือบางคนที่มีส่วนสมคบคิด อนุญาตให้อาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้เจริญงอกงาม โตเอาๆ ได้ กลับเป็นคนไทยด้วยกันเอง นี่คือพวก “ไทยเทา” ที่เปิดบ้านรับโจรให้เข้ามาปล้นจี้ กระทำย่ำยีขืนใจพี่น้องประชาชนในบ้านหลังนี้มาตลอด 8 ปี ไทยเทาพวกนี้แฝงตัวอยู่ทั้งในตำรวจ, ทหาร, ศาล และราชการทุกสำนัก สูบเอาผลประโยชน์จากเลือดเนื้อของคนไทยกันเอง แล้วเอาไปแสวงหาอำนาจจนได้เป็นถึง ส.ว. ได้เป็นถึงรัฐมนตรี ได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรี แล้วพอตัวเองมีอำนาจบาตรใหญ่แล้วก็จะคอยคุ้มกะลาหัวไทยเทาอื่นๆ ให้อยู่รอดลอยนวลเป็นลิ่วล้อบริวารให้กับตัวเองกันต่อไป ดังนั้นตราบใดที่ไทยเทาพวกนี้ยังมีอยู่ อาชญากรรมทั้งในชาติและข้ามชาติที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับพวกมันก็ไม่มีวันที่จะหายสาบสูญไปด้วย ไม่มีวันที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้”

หมายเหตุ - ชื่อบุคคลในรายงานมีการเผยแพร่ในโพสต์ในเพจของรังสิมันต์ โรม และเมื่อทำการตรวจสอบบันทึกถ่ายทอดสดการอภิปรายส่วนของรังสิมันต์ในช่องยูทูบ TP Channel ของรัฐสภาไม่ถูกบันทึกไว้โดยจบอยู่ที่การอภิปรายของเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุลเท่านั้น

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท