Skip to main content
sharethis

ไม่มีผู้พิพากษารับรองฎีกาของ ‘มีชัย’ ประชาชนชาวกรุงเทพฯ อายุ 53 ปี ติดคุกด้วยโทษ 2 ปี 8 เดือนตามการตัดสินศาลอุทธรณ์ เข้าเรือนจำทันที คดีมาตรา 112 ปมโพสต์ตั้งคำถามการใช้ภาษีของสถาบันกษัตริย์ 2 ข้อความ ส่งผลให้มีผู้ถูกคุมขังทางการเมือง 45 รายแล้ว

 

25 ก.ค. 2567 เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานวันนี้ (25 ก.ค.) เมื่อเวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดสมุทรปราการนัดฟังคำสั่งขอรับรองฎีกาของ ‘มีชัย’ (สงวนนามสกุล) ประชาชนวัย 53 ปี ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เหตุจากโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวรวม 2 ข้อความ ซึ่งมีเนื้อหาตั้งคำถามต่อการใช้ภาษีประชาชนของสถาบันกษัตริย์
ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ต่อมา จำเลยขอยื่นฎีกาคำพิพากษาในคดีนี้ ศาลเห็นว่าฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่มีผู้พิพากษารับรองฎีกา จึงต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ลงโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน 

ผลของคำสั่งดังกล่าวทำให้คดีสิ้นสุดลงที่ชั้นอุทธรณ์ และมีชัยต้องถูกนำตัวไปรับโทษจำคุกที่เรือนจำกลางสมุทรปราการในวันนี้ทันที

ทบทวนคดีนี้: ถูกดำเนินคดีข้ามจังหวัด ต้องมาต่อสู้คดีที่สมุทรปราการ ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือน และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ได้ประกันตัวตลอดการพิจารณาคดี

สำหรับคดีนี้มี ศิวพันธุ์ มานิตย์กุล เป็นผู้ไปแจ้งความกล่าวหามีชัยไว้ที่ สภ.บางแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ ก่อนมีชัยถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2564 ทำให้เขาต้องเดินทางจากจันทบุรีมาต่อสู้คดีที่จังหวัดสมุทรปราการ

จากนั้น เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2564 พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการได้ยื่นฟ้องมีชัย โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2563 มีชัยได้โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายเป็นความผิดลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว รวม 2 ข้อความ ได้แก่ “ความเห็นส่วนตัว สถาบันกษัตริย์ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษี ปชช. เพราะกษัตริย์มีธุรกิจผูกขาดอยู่มากมาย” และ “ปชช.มอบเงินให้ระบอบกษัตริย์ 2-3 หมื่นล้านต่อปี กษัตริย์มอบอะไรให้กับ ปชช.” 

มีชัย ต่อสู้คดีโดยยอมรับว่า โพสต์ข้อความตามฟ้องจริง แต่ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงการตั้งคำถาม อยากให้สังคมร่วมกันคิดว่าจะสามารถปรับลดงบประมาณสถาบันกษัตริย์เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคมโดยรวมได้อย่างไร เป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต และไม่ใช่การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย และไม่ได้เจาะจงตัวบุคคลใด แต่กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์โดยรวม

ต่อมา วันที่ 18 ก.ค. 2565 ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษาว่า มีชัยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ลงโทษจำคุก 4 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา และได้รับการประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์ 

หลังจากนั้น มีชัยได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างฎีกา 

ในเวลาต่อมา มีชัย ได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลรับรองฎีกา

ศาลมีคำสั่งไม่รับรองฎีกา มีชัยเข้าเรือนจำวันนี้ทันทีด้วยโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า วันนี้ (25 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 2 มีชัยเดินทางมาศาลด้วยตนเอง พร้อมกับนายประกัน และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เพื่อมาฟังคำสั่งต่อคำร้องขอรับรองฎีกาตามนัดหมายของศาล

ต่อมา ในเวลา 10.00 น. หลังจากที่ศาลพิจารณาคดีก่อนหน้าเสร็จสิ้น จึงได้เรียกมีชัยให้ลุกขึ้นยืนเพื่อฟังคำสั่ง ศาลได้ทบทวนคดีนี้พอสังเขปว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ 2 ปี 8 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ต่อมาจำเลยได้ยื่นฎีกา กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา และต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี 8 เดือน 

ผลของคำสั่งทำให้คดีของมีชัยสิ้นสุดลงที่ชั้นอุทธรณ์ ศาลจังหวัดสมุทรปราการจึงได้ออกหมายจำคุก โดยมีชัย ถูกใส่กุญแจข้อมือทั้งสองข้างและนำตัวไปคุมขังที่ห้องเวรชี้ ก่อนที่จะถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำกลางสมุทรปราการในเย็นวันนี้ทันที (25 ก.ค.)

ทั้งนี้ การที่ศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้างต้นนั้น อ้างอิงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ยังต้องพิจารณาว่าฎีกาของจำเลยมีปัญหาข้อกฎหมายหรือไม่
 

มาตรา 218  ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง  

ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี ไม่ว่าจะมีโทษอย่างอื่นด้วยหรือไม่ ห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

สำหรับมีชัยเป็นชาวกรุงเทพฯ ที่ย้ายไปอาศัยอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี และถูกแจ้งความดำเนินคดีที่จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันเขาทำงานเป็นพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งในเกาะช้าง จ.ตราด โดยเป็นกำลังหลักของบ้านในการหารายได้มาดูแลลูกสาวที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี พร้อมมารดาชราวัย 83 ปี ซึ่งก่อนมีชัยจะถูกนำตัวลงไปที่ห้องเวรชี้ด้านล่างศาล เขากล่าวถึงความเป็นห่วงกังวลที่มีต่อแม่และลูกสาว

การที่มีชัย ต้องเข้าเรือนจำในวันนี้ ทำให้ยอดผู้ถูกคุมขังในคดีทางการเมืองเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นจำนวนอย่างน้อย 45 คนแล้ว ในจำนวนนี้เป็นคดีมาตรา 112 ทั้งสิ้น 28 คน
 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net