แต่ดูเหมือนว่านโยบายแก้ปัญหาความยากจนชุดนี้ก็มิได้มีสิ่งใดที่แตกต่างจากนโยบายแก้ปัญหาความยากจนของรัฐบาลที่ผ่านๆมา โดยเฉพาะการแก้ปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรที่รัฐโหมโฆษณาว่าจะจัดสรรที่ดินทำกินให้คนจนไร้ที่ดินได้อย่างเพียงพอ
เอาเข้าจริงพบว่านโยบายดังกล่าวมิได้แก้ปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรได้อย่างแท้จริง ที่ดินจำนวนมากยังคงกระจุกตัวอยู่ในมือกลุ่มคนที่มีศักยภาพในการเข้าถึง โดยเฉพาะกลุ่มทุน นักการเมือง เป็นต้น
ขณะที่กรณีดังกล่าวรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ชัดเจนในนโยบายด้านที่ดินในมาตรา 84 ว่ารัฐต้องจัดระบบการถือครองที่ดินและการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม อีกทั้งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (2545-2549) ก็ระบุชัดเจนว่าให้คนยากจนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ำ ป่าไม้ได้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
นี่ยังไม่นับรวมกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่มีเจตนารมณ์ลดความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินที่ปัจจุบันเจตนารมณ์นี้ยังไม่เคยปฏิบัติได้จริงแม้มีการประกาศใช้มานานถึง 30 ปีแล้วก็ตาม
กรณีปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลให้เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยร่วมกับองค์กรพันธมิตรได้จัดงาน "มหกรรมปฏิรูปที่ดินโดยชุมชน" ขึ้น ในวันที่ 17-19 พ.ย.นี้ ณ ชุมชนบ้านโป่ง ต.แม่แฝก อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ซึ่งตัวแทนชาวบ้านจากสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ เครือข่ายป่าไม้ที่ดินภาคอีสาน เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเพื่อคนจนภาคใต้ เครือข่ายสลัม 4 ภาค กลุ่มผู้ประสบภัยสึนามิ 6 จังหวัดภาคใต้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรวมทั้งประชาชนที่สนใจเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันติดตามตรวจสอบนโยบายการแก้ปัญหาความยากจนของรัฐ โดยเฉพาะปัญหาการถือครองที่ดินและนำเสนอยุทธศาสตร์การปฏิรูปที่ดินโดยชุมชนเพื่อแก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
ตัวแทนชาวบ้านจากองค์กรและเครือข่ายต่างๆที่เข้าร่วมงานดังกล่าวมีการเสนอปัญหาของแต่ละพื้นที่ พร้อมกับมีข้อเสนอในทางนโยบายว่ารัฐต้องกระจายการถือครองที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินอย่างเพียงพอโดยการดำเนินการตามเจตนารมณ์ของกฎหมายสปก.อย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันต้องเร่งออกกฎหมายการเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าเพื่อ ส่วนพื้นที่ที่มีปัญหาและอยู่ระหว่างการแก้ไขก็ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ขณะที่นาย
"ผมมองว่าการปฏิรูปที่ดินด้วยตัวประชาชนเองเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะหากจะจำกัดการถือครองผ่านการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ดิน ซึ่งเราก็ไม่อาจคาดจากกลไกยกร่างกฎหมายของรัฐสภาได้เลย เนื่องจากนักการเมืองส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนที่มีที่ดินเป็นจำนวนมาก ครั้นประชาชนจะรวมตัวกันเสนอกฎหมายก็เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ดังเช่น กรณีร่างกฎหมายป่าชุมชน"
นาย
นพ.
"จากประสบการณ์ในรัฐสภากว่า 5ปีเศษ พบว่ากลไกของรัฐสภาหรือทำเนียบรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาของชาวบ้านได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลยังเตรียมผลิตกฎหมายต่างๆ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ การค้าเสรี ฯลฯ ที่จะเอื้ออำนวยให้ทุนต่างชาติเข้ามาฉกฉวยทรัพยการกของชาติ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องต่อสู่จึงไม่ใช่ระบบราชการ อำนาจรัฐ หรืออำนาจของทุนท้องถิ่น แต่เป็นทุนผูกขาดระดับชาติ ที่จะเข้าไปซื้อข้าราชการระดับสูง องค์กรอิสระ และดึงทุนต่างชาติเข้ามาเพื่อเปลี่ยนทุกทรัพยากรทุกอย่างให้กลายเป็นสินค้า"
นพ.นิรันดร์ กล่าวในตอนท้ายว่า การจะแก้ปัญหาที่ดิน และปัญหาทรัพยากรต่างๆ ได้นั้นต้องทำให้คนในชาติรับรู้ เท่าทันระบบของทุนผูกขาด ทุนต่างชาติ สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือการดื้อแพ่ง และใช้สิทธิของชุมชนท้องถิ่นเข้าไปจัดการ และทำให้กระบวนการยุติธรรมเข้าใจ โดยต้องทำให้ที่ดินเป็นทุนทางสังคม และอย่าไปหลงเชื่อนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ที่จะเปิดทางให้รัฐบาลเข้ามากำหนดวิถีชีวิต ที่ดิน ลุ่มน้ำ ป่าเขาของเราทั้งหมด
นาย
นายไพโรจน์ เสนอทางออกต่อปัญหาดังกล่าวว่า การดำเนินการจัดสรรที่ดินให้คนจนไร้ที่ดินนั้น สปก.ต้องเน้นนำที่ดินเอกชนที่มีเป็นจำนวนมากโดยการซื้อหรือเช่าซื้อซึ่งตนเห็นว่ารัฐมีศักยภาพในการซื้อมาจัดสรรให้คนจนไร้ที่ดินได้ แต่ที่ผ่านมากรณีดังกล่าวไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดดำเนินการส่งผลให้ปัญหานี้หมักหมมมานาน
ผู้จัดการสมาคมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กล่าวอีกว่า กรณีของศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ(ศตจ.)ซึ่งรับผิดชอบแก้ปัญหาการลงทะเบียนคนจนก็เช่นเดียวกัน ตนเห็นว่าปัจจุบันปัญหาคนจนไร้ที่ดินในบางพื้นที่สามารถดำเนินการแก้ไขได้เลย อย่างเช่น กรณีการปฏิรูปที่ดินนำร่อง 27 พื้นที่ในจ.เชียงใหม่และลำพูน ซึ่งมีแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนอยู่แล้ว เหลือเพียงการลงมือทำเท่านั้น
ดังนั้น หาก ศตจ.สามารถปฏิรูปที่ดินนำร่องในพื้นที่ทั้ง 27 จุดซึ่งถือเป็นพื้นที่ต้นแบบได้ก็จะแก้ปัญหาในพื้นที่อื่นๆได้เช่นกัน และที่สำคัญการดำเนินการต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย หากทำได้ก็จะแก้ปัญหาระยะยาวและจะส่งผลไปยังการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในการถือครองที่ดินด้วย
นาย
นาย
"จากการสำรวจพบว่าตั้งแต่ปี 2518 ถึงปัจจุบันมีการถือครองที่ดินของรัฐโดยมิชอบด้วยกฎหมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรเป็นเนื้อที่มากกว่า 40 ล้านไร่ ดังนั้นกรณีปัญหาดังกล่าวสปก.จึงต้องมีการรับรองสิทธิ์ให้คนเหล่านี้โดยการรังวัดแล้วให้มีการเข้าทำประโยชน์ในรูปแบบสปก.4-01 ซึ่งปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 25 ล้านไร่" นายสถิตย์พงศ์ กล่าว
นาย
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าจำนวนผู้ไร้ที่ดินทำกินจะลดจาก 2 ล้านรายเหลือ 8 แสนรายแต่ข้อเท็จจริงที่พบคือปัจจุบันรัฐมีที่ดินในมือที่สามารถจัดสรรให้คนจนเหล่านี้ได้แค่แสนกว่าไร่เท่านั้น ยังขาดที่ดินอีกมากที่จะนำมาจัดสรรให้คนจนไร้ที่ดินที่ลงทะเบียนคนจนได้อย่างเพียงพอ
"เรื่องนี้ทางกรมที่ดินพยายามประสานกับหน่วยงานต่างๆเพื่อร่วมแก้ปัญหา เช่น กรมธนารักษ์ที่มีราชพัสดุที่ให้ราชการเช่าปัจจุบันมีกว่า 8 ล้านไร่หากมีการเรียกคืน 10%ก็จะได้ที่ดินเพิ่มขึ้นอีก 8 แสนไร่ หรือทางกรมป่าไม้ที่ให้เอกชนเช่าพื้นที่ก็อาจเรียกคืนสัก 1 แสนไร่ และยังรวมไปถึงที่ดินอื่นๆ เช่น ที่ดินบริเวณสองข้างทางหลวง หรือที่สองข้างทางรถไฟซึ่งต้องหารือกันอีกที หากสามารถดำเนินการตามนี้ได้ก็จะมีที่ดินที่เพียงพอต่อการจัดสรรให้คนจนไร้ที่ดินจำนวน 8 แสนรายนี้ได้" นายชัยวัฒน์ กล่าว.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)