บันทึกวัฒนธรรม : ความทรงจำของหมอลำซัมเมอร์ (ตอนจบ)

 

จากบ้านแก้งสู่ บ้านกลาง
 
งานวันที่สี่กำลังเริ่มต้น แดนเซอร์ไปพักผ่อนในค่ายทหารที่เป็นหน่วยงานพัฒนา (ที่เรียกชื่อย่อว่า นพค.) เพราะเต้นมาทั้งวัน ส่วนหนึ่งติดตั้งเวทีเครื่องเสียงเหมือนเคย วันนี้ความรู้สึกเต็มอิ่มกันทุกคน มาลัยมะลิหอมกรุ่นของชาวบ้านยางยังคงหอมหวานสำหรับทุกคนบนเวที รายการบนเวทีถูกปรับให้ลงตัวกับสถานการณ์ในแต่ละวัน รายการแสดงที่น่าสนใจที่คิดขึ้นมาสด ๆ คือ การเสวนาปัญหาการเมืองของนักศึกษา ที่ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยทีมวิชาการ พี่หนุ่ย พี่กอล์ฟทรงพล หลังจากที่ฝากความหวังไว้กับคนนั้นคนนี้ ทุกคนได้ใช้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มศักยภาพ แม้แต่คนที่ขาดความมั่นใจสุด ๆ อย่างเอกรัฐก็สารภาพกับนายกฯ ว่า เราต้องเล่นได้ทุกบทบาท และใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อผลักดันเวทีออกมาให้ได้สมบูรณ์ที่สุด ในแต่ละวันต้องประชุมเพื่อปรับงานให้เหมาะกับพื้นที่ ปรับบทละคร ปรับเพลง ที่เป็นสีสันที่มาคิดว่าเราจะทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
 
วันนี้ที่บ้านกลาง บ้านเกิดของอนุวัฒน์ พิธีกรที่เรียกเสียงฮาทั้งในบทบาทพิธีกรและบทบาทของตัวละครที่เป็นตัวแทนของผู้นำที่มาจากระบบอุปถัมภ์ และใช้ช่องของการที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองฉ้อราษฎ์บังหลวงจากโครงการต่าง ๆ ของรัฐ เราภูมิใจบอกไม่ถูกว่านี่คือ สำนึกรักษ์บ้านเกิด...เราเคยเห็นแต่เยาวชนที่ไม่คืนถิ่น วันนี้อนุวัฒน์เป็นความภูมิใจของพ่อแม่พี่น้องบ้านกลาง อนุวัฒน์และวัฒนารับบทผู้ใหญ่บ้านสองหมู่บ้านที่อีกหมู่บ้านหนึ่งกระจายอำนาจให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เวลาประชุมชาวบ้านจะบอกว่า เอาอย่างไรก็เอาเน้อ...วันนี้จะไปสอยไข่มดแดง สภาพของถนนของสองหมู่บ้านสะท้อนผ่านแม่ค้าที่รับบทโดยพิสิฐ จารุจิตร ที่หนุ่ม ๆ บ้านยางหลงใหลราวสาวจริง ๆ
 
แม้วันนี้จะสนุกสนาน แต่ไม่มีเด็กสักคน เราเห็นเด็ก ๆ แอบดูละครราวกับไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ และรู้ภายหลังว่าผู้ใหญ่บ้านประกาศให้มาร่วมอบรมประชาธิปไตย ให้ส่งมาหมู่บ้านละกี่คนจำไม่ได้ มาลงชื่อตามระเบียบ ชาวบ้านตกลงกันว่ามาลงชื่อเปิดงานแล้วก็จะ “หรอย” กลับ ทุกคนนั่งอย่างมีพิธีรีตอง ทำให้เรารู้สึกว่าภาพลักษณ์ของประชาธิปไตยในสายตาชาวบ้านนั้นช่างเป็นการเป็นงาน เป็นพิธีกรรมที่ต้องทำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เด็ก ๆ จ้องมอง “ประชาธิปไตย” ราวกับเขาเป็นคนอื่น ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็ก ๆ ไม่เกี่ยว เพราะยังเด็กอยู่ การรับรู้เรื่อง “ประชาธิปไตย” เป็นโจทย์ง่าย ๆ ที่นักรัฐศาสตร์ยากจะขบคิด เพราะคิดว่าโตขึ้นเขาจะเข้าใจไปเอง เนื่องจากเด็กยังไม่ถึงเวลา “ไปเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นบทบาทของคนในสังคมประชาธิปไตยจะต้องแสดงไปทั้งชีวิต โดยไม่มีวันเกษียณ แม้เราจะชวนเด็กเหล่านั้นมานั่งเก้าอี้หน้าเวทีที่วางไว้ แต่ก็ไม่มีเด็กคนไหนมาเลย ในขณะที่ช่วงเปิดวงด้วยการแสดงเด็กเล็กนั้น ลูกชายพี่นายกฯ เดินเตาะแตะกลางเวทีโดยไม่สนใจเสียงเรียกของแม่ เสรีภาพคือความไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ที่กักขังความคิดของเรา น่าเสียดายที่เขาโตขึ้นมาสังคมกลับสร้างกติกาอันซับซ้อนกักขังความคิดที่เสรีนั้นไว้นามของความถูกต้อง
 
เหมือนทุกวัน....บ่ายวันนั้นเราเดินทางไปติดตั้งเวทีที่โนนสวรรค์ ในวันแรกที่เรามาสำรวจ ปลัดฯบอกว่า ไกลนะ... ทำให้เรานึกถึงเพลงของน้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ที่ว่า...บ้านอยู่โนนสวรรค์ทั้งวันก็เดินไม่ถึง... ในเวทีเสวนาปราชญ์ชาวบ้านที่ครั้งแรกก็นึกไม่ออกว่าจะออกมาหน้าตาแบบไหนนั้นก็ผ่านพ้นไปอย่างดีทุกวัน ในวันที่สามและวันที่สี่ เราต่างเหนื่อยอ่อน เพราะดึกทุกคืน ทุกคนทำหน้าที่ทุกอย่างเป็นหางเครื่องด้วย เป็นคอนวอยด้วย เป็นนักร้อง ทุกคนเล่นหลายบทบาท วันสุดท้ายที่ตะเวนไปโนนสวรรค์ อาจารย์ประจำค่ายมีสภาพเป็นหัวหน้าวงหมอลำประชาธิปไตยไปทุกที เพราะพอเก็บเวทีเสร็จ จะมี อบต.มาถามว่ารับงานไหม
 
ที่โนนสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลงเวทีจากโรงเรียนเป็นศาลาประชาคมอย่างกะทันหัน เราเริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติที่ด้วยสัญชาติญาณของนักเรียนการเมือง มีหลายอย่างที่เป็นความสงสัยและต้องหาคำตอบด้วยตนเอง วันที่สี่เรี่ยวแรงเริ่มล้า กว่าจะประคับประคองความรู้สึกของทุกคนให้อยู่ร่วมกันได้ก็ยากเหลือเกิน ในขณะที่การแสดงเริ่มลงตัว แต่ความรู้สึกของทุกคนเริ่มรวนเร เหนื่อยเหลือเกิน เพราะกว่าจะซ้อมคิวในแต่ละวัน กว่าจะประชุมค่ายสรุปงานในแต่ละคืนก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง บ๋อมแบ๋มน้องนางหางเครื่องและสุรวีป่วย อี๊ดขับรถตะเวนหาคลินิกในเดชอุดมอยู่สามคลีนิกจึงเจอหมอ เป็นหมอที่ไม่ได้ทำงานที่โรงพยาบาลแล้ว หมอทุกคนวิ่งรอกจากโรงพยาบาลและคลีนิค เมื่อกลับมาจากคลินิกแล้วบ๋อมแบ๋มมีสปิริตพอที่จะแดนซ์บนเวทีได้อีก ก่อนการสัมภาษณ์ปราชญ์ชาวบ้าน โปงลางก็เรียกเสียงฮาอีกครั้ง วันนี้มีคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่มามอบน้ำให้หมู่บ้านที่แห้งแล้งตามภาระหน้าที่ของหน่วยงานทหารที่ทำงานพัฒนาที่ยังไม่ถอนตัวออกไปจากพื้นที่ “สีแดง” เมืองชายแดนอย่างอำเภอนาจะหลวยและอำเภอเดชอุดม
 
ที่ นพค.เราพักรวมกันในโรงนอนที่สาว ๆ บอกว่า เราจะไม่แยกจากกัน เพราะสาว ๆ ในค่ายมีไม่ถึงสิบคน จะถูกแบ่งให้ไปนอนไกลจากโรงเรือนของผู้ชายในค่ายทหาร เตียงสองชั้นถูกแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจน ต่างจับจองมุมใครมุมมัน หลายคนสนิทสนมกันมากขึ้น เพราะต้องทำงานร่วมกัน ตัวละครบางตัวที่เล่นคู่กันก็สนิทกันมากขึ้น หนุ่มบางคนได้รับการร้องขอให้เฝ้าหน้าห้องน้ำให้สาว ๆ ที่หากจะชะโงกหน้าไปสักนิดก็จะเห็นทั้งหมด ความไว้วางใจคือสิ่งที่สวยงามที่สุดที่เรามีให้กัน บางคนท่องบทหมอลำอยู่ประโยคเดียวทั้งค่ายว่า ซำบายดีพี่น้อง....เพลงอดีตรักวันเข้าพรรษาของจินดา ทำให้น้ำมูนไหลหลั่งอย่างมีพลัง หนุ่มหน้าขรึมหากครื้นเครงเวลาเล่นละครยังประทับใจทุกคน ไม่ใช่ความไพเราะของน้ำเสียง แต่เป็นเพราะบทสนทนาของตัวละครที่กลั่นกรองมาจากความเข้าใจในทฤษฎีทางการเมืองของพวกเขาทั้งหมดนั่นเอง พวกเขาอาจจะไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพที่ตีบทแตกกระจุย ท่องบทราวนกแก้วนกขุนทองตามที่เขียนไว้ แต่บทสนทนานั้นออกมาจากความเข้าใจทางการเมืองของพวกเขาที่มีต่อเรื่องนั้น ๆ เพราะโจทย์คือ หากต้องแสดงออกซึ่งปัญหาการเมืองในเรื่องหนึ่ง ๆ นั้น เขาจะสร้างบทสนทนาอย่างไรชาวบ้านจึงจะเข้าใจ บทสนทนาจึงสด ใหม่ อยู่เสมอ สิ่งนี้แหละคือความเป็นมืออาชีพสำหรับเรา นักแสดงละครการเมือง
 
ที่โนนสวรรค์ อบต.บอกว่า มาอีกนะ...เสียงนั้นยังแว่วอยู่ในความทรงจำของความทรงจำที่ไร้เดียงสาต่อสังคมของนักศึกษาประชาธิปไตยสัญจรทุกคน
 
ส่งท้ายด้วยสายฝน
 
เมื่อเสร็จงาน พี่นายกฯ ทั้งสองเลี้ยงส่ง แต่ส่วนหนึ่งรีบกลับ อาจารย์จะต้องกลับด้วยเพราะมีงานศพ ชายบอกว่าหากอาจารย์ไม่อยู่จะมีความหมายอะไร งานเลี้ยงเล็ก ๆ จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย จนได้เวลาอันสมควร พี่เจริญอยากทำพิธีปิดค่ายที่หน้า อบต. เราที่เหลือราวสิบห้าชีวิตจึงมารวมกันที่สนามหญ้า ทุกคนพูดความในใจที่มีอยู่....เมฆฝนครึ้มเค้าอยู่บนฟ้า บดบังพร่างพรายแสงแห่งดวงดาวตอนหัวค่ำจนสิ้น เราต่างพูดในสิ่งที่น่าจดจำ ในที่สุดฝนก็โปรยปรายลงมาจริง ๆ เราย้ายมาอยู่ในศาลาหกเหลี่ยม ฝนไม่เพียงแต่โปรยปรายหากสาดซัดกระหน่ำจนรู้สึกหนาว เรายังคงบอกเล่าความในใจให้แก่กันท่ามกลางความอบอุ่นของกัลยาณมิตร ความในใจของใครบางคนถูกแทนที่ด้วยเพลงยิ้มกลางสายฝน ของหงา คาราวาน.....ว่า
 
เย็น....ฝนพรำพร่างพรูสู่พฤกษา พรมไม้ป่า สดใสในวสันต์
หัวใจเรา ฉ่ำชื่นเช่นดังคืนวัน ฝันและใฝ่โลกใหม่ต้องเป็นของเรา
ยามฝนหลั่ง เมฆบังบดทิวเขา
ยามเห็นเจ้า เปียกปอนตอนใกล้สาง
พบคนจริง ยิ่งยงคู่คงเส้นทาง เห็นผู้สร้าง ความทรงจำ มิเลือนจากใจ
ยืนหยัดทะนง คู่คงเส้นทางยืดเยื้อ
ยิ้ม...เพื่อความฝันใกล้บรรลุชัย
ยามเห็นหน้า ต้องตาสื่อความหมาย จับมือทักทาย ส่งยิ้มกลางสายฝน
พบความจริง ยิ่งหมายมั่นในกมล หนทางสู้....สู่ชัยมิไกลจากเรา
 
เราตื่นราวตีสี่ ออกมาส่งอาจารย์ที่สนามบินเพื่อไปให้ทันงานศพเพื่อนสนิทบ่ายนี้
 
ฝัน(รอวัน)สลาย
 
มื่อกลับมา เรารีบเร่งเผยแพร่ผลงานผ่านบอร์ดของเรา ตัดต่อภาพลงวีดีโอ เพื่อส่งขึ้นเวบไซต์ของคณะ เราทำงานอย่างมีความหมาย คุยอวดใคร ๆ ราวเด็กขี้โม้ เหมือนชุมชนชาวค่ายที่เคยพบเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว บทความถูกเขียนอย่างรีบเร่งก่อนที่ความสุขและความสนุกจะจางหายไปจากความทรงจำ ฉากในช่วงหนึ่งของชีวิตนักศึกษาถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้ไปกับเรา วีดีโอจากกล้องภาพนิ่งถูกรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ และเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฝ้ารอวันว่าจะได้ “สัญจร” ไปที่ไหนอีกสักครั้ง ทุกวันจะมีเรื่องเล่าจนอี๊ดกับหมากเรียกบ้านของตัวเองว่า บ้านหรรษา เมื่อตื่นมาก็พบว่านอนกองกันอยู่หน้าทีวี ในขณะที่ห้องของเขาถูกสาว ๆ ยึดไประหว่างปิดเทอม วันหนึ่งที่วัฒนานอนหนุนกระเป๋าคอมพิวเตอร์จนหลับไปในวงสนทนา กวินเอาหมอนมาให้ และปลุกให้ตื่น เรียกอย่างไรก็ไม่รู้สึกตัว ตั้มจึงยกหัววัฒนาขึ้น กวินเอาหมอนสอดแทนกระเป๋าให้วัฒนาหนุนนอน ภาพความอ่อนหวานที่กัลยาณมิตรหนุ่มทั้งสามคนหยิบยื่นให้กันนั้นยังประทับอยู่ในสายตาของทุกคน
 
ในที่สุดฝันก็เป็นจริง เมื่อได้รับการติดต่อจากอาจารย์ในคณะว่า วันที่ 23 พฤษภาคม จะมีการปัจฉิมนิเทศนักศึกษา อบต.รุ่นแรก ขอให้ประชาธิปไตยสัญจรขึ้นเวที เรารอคอยโอกาสนี้มานาน วัฒนาโทรไปหาอาจารย์ที่ประชุมอยู่ กทม.ว่าจะรับงานไหม พวกเราตกลงรับงาน และเร่งรีบประสานงานจ้าละหวั่นราววงเสียงอิสาน ทีมตลก แดนเซอร์ นักดนตรี วิชาการ พร้อมพรั่ง.... “หัวหน้าวง” เรียกประชุมใหญ่เพื่อตกลงคิว เราไปพบกำนันดวงอีก เมื่อจัดวางกำลังแล้วก็เริ่มซ้อม เราซุ่มซ้อมอยู่สี่ห้าวันภายหลังสอบซัมเมอร์ จากห้าทุ่มยันเที่ยงคืน หมากนำทีมตลก...เขาและอบขับรถกลับไปเอาชุดนักเรียนเก่า ๆ ถึงอำนาจฯ เพื่อเข้าฉากละครประกอบเพลงชุด อนาคตของชาติ เพลงในโทรศัพท์ริงโทนของเขาเป็นส่วนหนึ่งของจินตลีลา บอลได้เพลง ปั้นข้าวเหนียว สาหล่า มาจากวิทยุชุมชน น่ารักเหลือหลาย เราคงบทละครไว้ทุกอย่าง และเพิ่มละครเพลงชุดอนาคตของชาติเข้าไป ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกัน
 
คืนก่อนการแสดง ทุกคนตื่นเต้น หนุ่มบางคนเอาชุดนักเรียนหญิงมาใส่ ในขณะที่หนุ่มบางคนพอกหน้าลอกสิวเสี้ยนเป็นที่ขบขันของสาว ๆ อาจารย์มีภารกิจที่ต้องไป กทม. ในวันงาน ระหว่างประชุมพี่เจริญ บัณฑิตรัฐประศาสนศาสตร์รุ่นแรกของคณะรัฐศาสตร์...และอี๊ดโทรศัพท์รายงานเป็นระยะ ๆ ดูเหมือนสนุกสนาน เขาบอกว่ามีเพียงเครื่องเสียงเท่านั้นที่เป็นอุปสรรค
 
เมื่อกลับมาถึงอุบลฯ หนุ่มไปรับที่สถานีรถไฟ เมื่อมาถึงบ้านหรรษา....ทุกคนดูเงียบเหงา...ไม่มีใครแย่งกันรายงานเหมือนที่ควรจะเป็น เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้านักแสดงตากอยู่บนราวอวดสีสัน บ่งบอกถึงความสนุกสาน หากทุกคนปิดปากเงียบ บรรยากาศต่างจากกลับจากหมู่บ้าน พอพิธีเปิดเริ่มขึ้น และจบลง ทุกคนก็ทยอยกันเดินออก ต่างคนต่างใจเสีย...ไม่ได้กินข้าว หิวและเหนื่อย เพราะเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้า...ทำงานจากสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายสาม ไม่มีคำชม สุดท้ายมีคนเหลือหรอมแหรม หมากบอกว่าได้ชี้แจงค่าใช้จ่ายต่อเพื่อน ๆ เรียบร้อยแล้วว่างบประมาณที่ได้รับในครั้งนี้ถูกใช้ไปทำอะไรบ้าง ทุกอย่างต้องโปร่งใสพอที่จะทำงานร่วมกันอย่างมั่นใจ
 
คนรุ่นใหม่ที่ทำงานเพื่อสังคม ต้องการกำลังใจ เหมือนเด็กหัดเดิน หรือหน่ออ่อนที่รอการฟูมฟัก เมื่อแทงโผล่พ้นผิวดินขึ้นมา ไม่ได้รับการดูแลก็เหี่ยวเฉาไปตามกาล คณะทำงานประชุมกันว่าจะทำงานอย่างนี้ต่อไปอีกหรือไม่ เรามีกิจกรรมอื่นอีกหรือไม่ ชายเสนอว่าเราขี่รถตะเวนไปในพื้นที่ต่าง ๆ น่าจะดีกว่า เราจะเรียนรู้การเมืองอีกรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม สมาชิกจำนวนหกคนจึงไปงานแจก สปก.ให้แก่ชาวเขื่อนสิรินธร เรามีเครือข่ายพี่ ๆ อบต.อยู่จำนวนหนึ่งที่ถูกใจพวกเรา...เราคงแสวงหาความร่วมมือได้ไม่ยาก เราอาจจะไปศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองในพื้นที่ เพียงคิดก็สนุกแล้ว
 
หลังวันปัจฉิมนิเทศ พ่อใหญ่บัวผัน นายกฯ อบต.กุดลาด โทรมาปรับทุกข์เรื่องปัญหาของหมู่บ้าน ที่เรารับปากไว้นานแล้วว่าจะช่วยทำงาน ที่ดินสาธารณะนับพันไร่ริมน้ำมูนถูกนายทุนออกโฉนดครอบครอง เพิ่งส่งเรื่องไปที่กรรมการสิทธิ์ฯ ไม่นานนี้ เมื่อกรรมการเปลี่ยนชุดไม่รู้จะเป็นเช่นไร พ่อใหญ่บอกว่าไม่รู้จะปรับทุกข์กับใคร พี่เจริญแวะเวียนมาให้น้อง ๆ พิมพ์งาน พร้อมขนม พี่บุญเทียมและพี่กังวาลแวะเอาน้ำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาฝาก หลายคนระดมแก้งานให้พี่บุญเทียมและพี่เจริญ จนจบเป็นบัณฑิตรุ่นแรก เราได้เพื่อนก็ถือว่าคุ้มค่า
 
วินและตั้มอยากเขียนอะไรสักอย่างที่สะท้อนเรื่องราวทางการเมืองในสายตาของเขา บางทีเราอาจจะต้องเปลี่ยนรูปแบบของการสัญจร หรือหยุดการสัญจรประชาธิปไตยไว้แต่เพียงเท่านี้ และเก็บทุกอย่างไว้เป็นความทรงจำที่แสนงดงาม
 

 
คณะทำงาน
 
แดนเซอร์ : เบญ , บ๋อมแบ๋ม, ต๋อมแต๋ม, พร,แจง
ดนตรี : อึ่ง ประกาศิต, อ๊อด, อาร์ม, ตั้ม, ปาน, ตั้ม(หยอง)
ละคร : ต๋อมชาย, นุ, เบญ, ปุ๋ย, แจง, เก๋เล็ก, เก๋ใหญ่, หนุ่ย, กอล์ฟ, หมาก, ทิง, จินดา, เก่ง, กบ, ชาย,บอล, นิว
เครื่องเสียง : อุ้ย และคนอื่น ๆ คนละไม้คนละมือ
สวัสดิการ : อี๊ด, หนุ่ม,ยุ้ย
วิชาการ : สุรวี, หนุ่ม, หริง, ต้น
พิธีกร : ทิง,จุ๋มจิ๋ม,ต๋อมชาย, นุ
นักร้อง : อบ-สุชาติ, ปุ๋ย, จุ๋มจิ๋ม,หน่อย,แจง
ตกแต่งเวที: บอล
กำลังใจมาเยี่ยมค่าย : บูร, อี, รักษ์ ฯลฯ
ประสานงาน: อ. กมลวรรณ, อ.อนุสรณ์
กำลังเงิน/กำลังใจ: คณบดี/พี่บุญเทียม/พี่เจริญ/พี่กังวาน/พี่เพชร/น้าเลิศ/พี่ผ่อน
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท