สื่อมวลชนกระแสหลักของเมืองไทยไม่น่าไว้ใจสำหรับคนไทยอีกต่อไป
ประโยคข้างบนนี้รวมทั้งหมดทั้งทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษที่มี “คนไทย” เป็นเจ้าของ
หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ “บางกอกโพสต์” มีคำขวัญว่า “หนังสือพิมพ์ที่ท่านไว้ใจได้” แต่การกระทำมันตรงข้ามกับคำขวัญของตัวเองโดยสิ้นเชิง
ทีวีสาธารณะที่คุยนักคุยหนาว่าเลียนแบบสื่อสาธารณะระดับโลกแบบบีบีซี มีกฎระเบียบประกัน ความเป็นกลางหลายชั้นหลายเชิง เรื่องงบฯก็ไม่ต้องกังวลเพราะมีเงินได้ฟรีๆ มาจากภาษีบาปตั้งปีละ สองพันล้าน แต่เอาเข้าจริงก็พึ่งไม่ได้อีก ทั้งเรื่องถูกต้อง เป็นกลาง เป็นธรรม และ มุ่งประโยชน์ของประชาชน
ผมมีกรณีศึกษาประกอบคำกล่าวหาข้างต้น นั่นคือ เหตุการณ์ที่เสื้อแดงกลุ่มหนึ่งเจอทหารไล่ยิงที่อนุสรณ์สถาน วิภาวดีรังสิตเมื่อ 28 เมษายน ซึ่งมีทหารตาย 1 คน กับ คนเสื้อแดงบาดเจ็บเกือบยี่สิบคน
อันดับแรก สื่อทีวีหลักทั้งหมดไม่ยอมฟันธงว่าทหารที่ตายนั้นมีโอกาสมากที่สุดจะมาจากการ ยิงกันเอง โดยอ้างอิงได้จากภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่งของนักข่าวจำนวนมากที่ไปทำข่าวอยู่ และ ทีวีเคเบิ้ลเล็กๆ อย่าง สปริงส์นิวส์ ก็มีภาพให้เห็นชัดๆ ว่า ทหารที่ตายนั่งรถมอเตอร์ไซค์เข้าหาแถวทหารแล้ว โดนยิงเข้าข้างหน้าแล้วล้ม แถมมีเสียงตะโกนว่า “เฮ้ย ยิงกันเอง” อะไรทำนองนั้น
ใครที่ยังสติดีอยู่ก็คงพอจะสันนิษฐานได้ว่าทหารคนนั้นถูกพวกเดียวกันยิงตาย ส่วนจะมาจากกการ พลั้งเผลอหรือจงใจนั่นก็ต้องไปเสาะหาเอา
ทั้งๆ ที่มีหลักฐานจะๆ บรรดาสื่อทีวีกระแสหลักต่างหลีกเลี่ยงที่จะหยิบประเด็นนี้มาพูดในข่าวภาคค่ำ จนถึงดึก
รุ่งเช้ารายการสรยุทธ์ก็พยายามจะเป็นกลางด้วยการออกตัวว่า สื่อต่างชาติบอกว่าทหารยิงกันเอง แต่ก็ออกตัวว่าต้องรอผลการสอบสวนต่อไป
ที่แย่คือ หนังสือพิมพ์เกือบทั้งหมดรวมทั้งภาษาอังกฤษด้วย ยกเว้น “ข่าวสด” ไม่ยอมฟันธง เรื่องสาเหตุการตายของทหารคนนี้
อีกอย่างหนึ่งที่สื่อกระแสหลักทั้งหลายละเลยคือการไล่ยิงเสื้อแดงครั้งนี้เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ แล้วหรือไม่ โดยพวกเขาสามารถโยงจากความตายของทหารว่ามีการใช้กระสุนอาวุธสงครามของจริงรอยิง คนเสื้อแดงอยู่จริง
ทำไมไม่ใครตั้งคำถามกับทหารว่ามีการดำเนินการสลายการชุมนุมที่ทำตามขั้นตอนสากลคือจากเบา ไปหาหนักหรือไม่ และ การกระหน่ำกระสุนยางกับกระสุนสังหารใส่คนไทยด้วยกันที่ไม่ได้อยู่ใน ภาวะจลาจลนั้นมันคือสิ่งที่ทุกคนยอมรับกันได้แล้วหรือ
ถ้าสันนิษฐานจากความเงียบของสื่อกระแสหลักต่อประเด็นนี้ผมพอจะสันนิษฐานได้ว่าผู้บริหารและบรรณาธิการสื่อกระแสหลักทั้งหลายได้ละทิ้งหลักการสื่อมวลชนแล้วหันมาเป็นสื่อของกองทัพ ไปเรียบร้อยแล้ว
แม้แต่สื่อภาษาอังกฤษทั้งสองฉบับก็อย่าทะนงตัวไปว่าไม่มีใครรู้ทันพวกคุณ ผมจะบอกให้ ผู้อ่านของคุณที่เป็นฝรั่งอยู่เมืองไทยมานานและรู้เรื่องเมืองไทยดี และ คนไทยที่อ่านภาษาอังกฤษออก เขาหมดความเชื่อถือในการรายงานข่าวของคุณไปนานแล้ว แต่เขาไม่อยากเสียเวลาไปเขียนบอกคุณเท่านั้น แหละ
ยกตัวอย่างบริษัทโพสต์พับลิชชิ่ง เจ้าของบางกอกโพสต์ และ โพสต์ทูเดย์ พวกคุณคงนึกว่าไม่มีใคร ในสังคมวงนอกเขาจะไม่รู้ว่าพวกคุณนั้นมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับรัฐบาล ที่ไม่กล้าบอกต่อสาธารณะว่า มันเป็นผลประโยชน์ที่ทำให้คุณเป็นโจทย์กับเสื้อแดงเต็มๆ ซึ่ง ถ้าสังคมส่วนใหญ่รู้จะทำให้หนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับในเครือของคุณไม่น่าไว้ใจอีกต่อไป
เริ่มต้นคือ ซีอีโอของคุณ ใช้นามสกุลเดียวกับนายกฯ ซึ่งก็คือ ปฎิปักษ์สำคัญของเสื้อแดง
ผู้ถือหุ้นสำคัญของคุณคือ เจ้าของเซ็นทรัลผู้รับผลกระทบเต็มๆ จากการปิดราชประสงค์ของเสื้อแดง
นอกจากนั้น บริษัทของคุณเพิ่งชนะประมูลทำข่าวป้อนเอ็นบีที 1 ปีตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป โดยไส้ในที่ซ่อนอยู่คือ คนที่ทำข่าวป้อนทีวีคือ คนของบริษัทที่ใกล้ชิดกับเนวินนั่นเอง และ บริษัทคุณต้องการได้สัญญาชิ้นนี้อย่างมากเพราะหวังจะกินเงินค่าโฆษณาทีวีเพื่อทำให้ผลประกอบการปี 2553 ได้กำไรเสียที ผู้บริหารและพนักงานจะได้โบนัสกันถ้วนหน้า โดยไม่แยแสว่าคุณกำลังร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมฆาตกรรมหมู่คนไทยด้วยกันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า แค่นี้เท่านั้น
ก็อย่างที่บอกตอนต้น
ผม (และ คนไทยจำนวนมาก) ไม่ไว้ใจสื่อกระแสหลักของไทยอีกต่อไป
ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่แคร์มวลชนเพราะยังมีคนผู้มีอำนาจในสังคมยังค้ำจุนคุณอยู่
ก็ขอให้คุณรอรับคำพิพากษาจากมวลมหาประชาชนเมื่อวันที่โครงสร้างมายาที่คุณเชื่อมั่นมันพังครืนลงมา
เปลี่ยนใจตอนนี้ยังไม่สายก่อนที่จะไม่ทัน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)