Submitted on Tue, 2010-09-14 01:57
กรุงเทพโพลล์สำรวจความเห็น “ประเด็นเศรษฐกิจเดือนกันยายน 53” เผยนักเศรษฐศาสตร์ 67.1% เชื่อค่าเงินบาทไม่หลุดต่ำกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ พร้อมเสนอผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทและราคาสินค้า
วานนี้ (13 ก.ย.53) ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 27 แห่ง โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6-10 ก.ย. ที่ผ่านมา พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 67.1 เชื่อว่าค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่สูงกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐโดยเฉลี่ย และให้เหตุผลของการแข็งค่าดังกล่าวว่าเป็นผลมาจากเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น/ตลาดตราสารหนี้ (ร้อยละ 31.3) การส่งออกที่ขยายตัวสูง/การเกินดุลการค้า (ร้อยละ 20.3) ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น/ส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยและกลุ่มประเทศชั้นนำ (ร้อยละ 15.8)
ประเด็นเกี่ยวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.9 เชื่อว่านักลงทุนจะได้เห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุดภายในปีนี้ ซึ่งระดับดัชนีดังกล่าว นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 43.8 เชื่อว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ร้อยละ 41.1 เชื่อว่าเป็นระดับที่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 250 บาทต่อวันของนายกรัฐมนตรีนั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 64.4 สนับสนุนแนวคิดของนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า ระดับราคาสินค้าในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นทำให้ประชาชนมีค่าครองชีพเพิ่มขึ้นซึ่งจะกระทบกับประชาชนผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงานดีขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
ด้านข้อเสนอนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับประเด็นปัญหาทางเศรษฐกิจของไทยที่ต้องการให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่เข้ามาดูแลมากที่สุดคือ ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทและเสถียรภาพของราคาสินค้า(ร้อยละ 58.6) ดูแลธนาคารพาณิชย์ให้เกื้อกูลต่อเศรษฐกิจและคนในประเทศ (ร้อยละ 22.7) และดูแลการเข้าถึงโอกาสทางการเงิน (โดยเฉพาะคนระดับรากหญ้าและ SMEs) (ร้อยละ 9.4)
(ดังรายละเอียดต่อไปนี้)
1. ความเห็นประเด็น “การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยในช่วงที่เหลือของปี
normal">”
ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่สูงกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐโดยเฉลี่ย
|
ร้อยละ 67.1
|
ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐโดยเฉลี่ย
|
ร้อยละ 27.4
|
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
|
ร้อยละ
normal"> 5.5
|
2. ความเห็นประเด็น “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าในปัจจุบัน
normal">”
อันดับ 1
|
เงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น/ตลาดตราสารหนี้
|
ร้อยละ 31.3
|
อันดับ 2
|
การส่งออกที่ขยายตัวสูง/การเกินดุลการค้า
|
ร้อยละ 20.3
|
อันดับ 3
|
ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น/ส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยและกลุ่มประเทศชั้นนำ (สหรัฐฯ, ยูโรโซน, ญี่ปุ่น)
|
ร้อยละ 15.8
|
อันดับ 4
|
เศรษฐกิจประเทศ
font-weight:normal">G-3 ที่ยังแย่อยู่ (G-3 ได้แก่ประเทศ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี)
|
ร้อยละ 14.2
|
อันดับ 5
|
พื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง/เศรษฐกิจไทยเติบโตสูง
|
ร้อยละ 11.4
|
อันดับ 6
|
การเมืองที่มีเสถีรภาพมากขึ้น
|
ร้อยละ 3.4
|
อันดับ 7
|
การโจมตีค่าเงินบาท
|
ร้อยละ 1.8
|
อันดับ 8
|
อื่นๆ คือ นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของประเทศ G-3
|
ร้อยละ 0.4
|
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
|
ร้อยละ 1.4
|
3. ความเห็นประเด็น SET index ว่า “ภายในปีนี้นักลงทุนจะได้เห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุดหรือไม่”
นักลงทุนจะได้เห็น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุด
|
ร้อยละ 58.9
|
นักลงทุนจะไม่ได้เห็น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุด
|
ร้อยละ 27.4
|
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
|
ร้อยละ 13.7
|
4. ความเห็นประเด็น SET index ว่า “ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุด เป็นระดับที่สะท้อนเศรษฐกิจไทยอย่างไร”
ดัชนีฯ อยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
|
ร้อยละ 41.1
|
ดัชนีฯ อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
|
ร้อยละ 4.1
|
ดัชนีฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
|
ร้อยละ 43.8
|
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
|
ร้อยละ 11.0
|
5. ความเห็นเกี่ยวกับ แนวคิดการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 250 บาทต่อวันของนายกรัฐมนตรี
เห็นด้วย
|
ร้อยละ 64.4
|
font-weight:normal"> เพราะ 1. ราคาสินค้าในปัจจุบันเพิ่มขึ้นทำให้ประชาชนมีค่าครองชีพเพิ่มขึ้นทำให้ประชาชนผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบ การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงานดีขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
|
|
font-weight:normal"> 2. ค่าแรงขั้นต่ำเดิมอยู่ในระดับต่ำเกินไป(ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น) อีกทั้งที่ผ่านมาค่าแรงขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ภาครัฐควรจะต้องมีมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
|
|
font-weight:normal"> 3. การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำถือเป็นการกระตุ้นการบริโภคอีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาอุปสงค์ภายในประเทศ ลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ อันจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีความสมดุลมากขึ้น
|
|
ไม่เห็นด้วย
|
ร้อยละ 27.4
|
font-weight:normal">เพราะ 1. การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมา ดังนั้นจึงควรแก้ด้วยการควบคุมภาวะเงินเฟ้อมากกว่า นอกจากนี้ยังส่งผลให้แรงงานไร้ทักษะว่างงานมากขึ้น
|
|
font-weight:normal"> 2. จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยที่ผลิตภาพการผลิตไม่ได้เพิ่มขึ้นตามส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย และจะกระทบต่อเนื่องมายังการลงทุน
|
|
font-weight:normal"> 3. ไม่ควรเพิ่มค่าแรงเท่ากับทุกพื้นที่เพราะอัตราเงินเฟ้อแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน อีกทั้งทักษะความรู้ของแรงงานแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
|
|
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
|
ร้อยละ 8.2
|
6. ข้อเสนอนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจของไทยที่ต้องการให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ (คุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล) เข้ามาดูแลมากที่สุด (ในขอบข่ายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย)
1. ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทและเสถียรภาพของราคาสินค้า
normal">โดยการ
· การควบคุมเงินทุนไหลเข้าโดยเฉพาะเงินไหลเข้าเพื่อการเก็งกำไร
font-weight:normal">(Hot money)
· เสนอให้ตั้งกองทุนความมั่นคงแห่งชาติ (
font-weight:normal">Sovereign Wealth Fund)
· เสนอให้ดูแลอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมต่อการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท และเสถียรภาพราคาสินค้า
|
ร้อยละ 58.6
|
2. ดูแลธนาคารพาณิชย์ให้เกื้อกูลต่อเศรษฐกิจและคนในประเทศ โดยการ
· ดูแลส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากให้เหมาะสม
· ดูแลอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนบุคคลไม่ควรสูงเกินควรเช่นปัจจุบัน (ควรเสนอทางเลือกให้กับคนที่มีระเบียบวินัยในการชำระเงินกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า)
· ดูแลค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ให้เป็นธรรม
· แก้ปัญหา NPL ในระบบสถาบันการเงิน
|
ร้อยละ 22.7
|
3. ดูแลการเข้าถึงโอกาสทางการเงิน (โดยเฉพาะคนระดับรากหญ้าและ SMEs) โดยการ
· การเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับคนรากหญ้าและSMEs
· จัดตั้งธนาคารชุมชนหรือแหล่งเงินทุนในชุมชน เพื่อลดการผูกขาดของระบบธนาคาร
· อัตราดอกเบี้ยสำหรับคนกลุ่มนี้ควรอยู่ในระดับต่ำ
|
ร้อยละ 9.4
|
font-weight:normal">4. อื่นๆ เช่น การนำทุนสำรองไปใช้ประโยชน์ การยอมให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและภาคเอกชน ดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง เป็นต้น
|
ร้อยละ 9.3
|
หมายเหตุ: มีนักเศรษฐศาสตร์ร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ทั้งหมด 53 คน
** รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด**