Skip to main content
sharethis

บริษัทวิจัยข้อมูลซิกนอลแล็บส์ เปิดเผยว่าหลังจากที่โซเชียลมีเดียมีการปิดกั้นบัญชีผู้ใช้งานของโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรคพวกคนสำคัญของเขาแล้ว ก็มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดลดลงร้อยละ 73 อย่างไรก็ตามมีนักวิเคราะห์โซเชียลมีเดียและสื่อแสดงความกังวลว่าการสั่งแบนนี้แสดงให้เห็นถึงการที่โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่กุมอำนาจการตัดสินใจไว้มากเกินไปจนน่าเป็นห่วงหรือไม่

แฟ้มภาพ

บัญชีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียของ โดนัลด์ ทรัมป์ และผู้สนับสนุนทรัมป์รายใหญ่ๆ หลายรายถูกห้ามไม่ให้เข้าใช้งานได้หลังจากเกิดกรณีที่มีการประท้วงบุกรุกและปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เพราะถูกมองว่าเป็นแหล่งที่ใช้ยุยงปลุกปั้นให้เกิดการจลาจล มีบริษัทวิจัยด้านข้อมูล "ซิกนอลแล็บส์" ทำการประเมินข้อมูลบทสนทนาในโลกออนไลน์เดียวกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ พ.ย. 2563 ระบุว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งลดลงร้อยละ 73

ซิกนอลแล็บส์ระบุในผลการวิจัยโดยเน้นให้เห็นว่ามีการแพร่กระจายข้อมูลเท็จในโซเชียลมีเดียได้อย่างไร พวกเขาระบุว่าการแพร่กระจายข้อมูลเท็จเหล่านี้มีการส่งเสริมกันและช่วยขยายเสียงให้กระจายออกไปมากขึ้น เรื่องนี้เน้นให้เห็นว่าการร่วมมือกันสกัดกั้นต่อต้านการแพร่ข้อมูลเท็จเหล่านี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

ในโซเชียลมีเดียอย่างทวิตเตอร์ บัญชีผู้ใช้งานที่ชื่อ @realDonaldTrump เป็นปากกระบอกเสียงที่สำคัญของทรัมป์ และเมื่อมีการสั่งแบนบัญชีผู้ใช้งานนี้ก็สามารถลดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ จากที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางระบุว่าการเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างเสรีและยุติธรรม แต่ทรัมป์พยายามกล่าวอ้างในทางตรงกันข้าม

หลังจากการแบนทรัมป์ออกจากโซเชียลมีเดียแล้วยังมีการแบนกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไอโอในการสนับสนุนทรัมป์อื่นๆ ด้วย เช่นทวิตเตอร์ทำการแบนบัญชีผู้ใช้งานมากกกว่า 70,000 บัญชีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม QAnon ที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดที่ไม่มีมูลความจริง กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดมให้เกิดการประท้วงปิดล้อมและบุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา

เคท สตาร์เบิร์ด นักวิจัยเรื่องการบิดเบือนข้อมูลใส่ร้ายป้ายสีจากมหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตันกล่าวว่า การแบนบัญชีของกลุ่มเหล่านี้จะช่วยลดการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเท็จในโลกออนไลน์ได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่เรื่องที่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในระยะยาวนั้นก็ยังไม่อาจตัดสินได้

นักข่าว อลัน แมคโคลด ระบุในบทความที่เขียนให้กับหน่วยงานจับตามองสื่อ FAIR ว่าถึงแม้ว่าการสั่งแบนทรัมป์จากโซเชียลมีเดียจะมีเหตุที่ชอบธรรม แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าผู้ให้บริการพื้นที่โซเชียลมีเดียเหล่านี้มีอำนาจมากในการตัดสินใจ ซึ่งอาจจะส่งผลเป็นอันตรายต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและประชาธิปไตยในระยะยาวได้

แมคโคลดบอกว่าในขณะที่ทรัมป์ละเมิดกฎเกณฑ์ของทวิตเตอร์ในเรื่อง "การข่มขู่ใช้กำลัง" และ "การยกย่องส่งเสริมความรุนแรง" จนทำให้เป็นเรื่องชอบธรรมในการสั่งแบน แต่พวกเราต้องกลับมาคิดถึงเรื่องอำนาจของกลุ่มบรรษัทโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่เหล่านี้โดยทันที เพราะมีตัวอย่างอื่นๆ จำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎเกณฑ์เหล่านี้ "ทำโดยพลการ" และ "ขาดความโปร่งใส"


 

เรียบเรียงจาก

'Talk About a Super Spreader': Analysis Finds Online Election Misinformation Fell by 73% After Trump Barred, Common Dreams, 16-01-2021

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net