Skip to main content
sharethis

หนี้สาธารณะของไทยใกล้ถึงเพดานที่กำหนดไว้ แต่รัฐบาลยังคงกู้เงินอย่างต่อเนื่องมาแจกจ่ายด้วยเหตุผลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สุชาติมองว่าเป็นการแจกเงินที่ขาดสติและจะนำพาประเทศสู่วิกฤตเศรษฐกิจในอนาคตจากการมีหนี้สินล้นพ้นตัว หากอยู่ปล่อยให้อำนาจที่เป็นของประชาชนอยู่ในมือระบบราชการ ขุนนาง ขุนศึก

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา สถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้จัดงานเสวนาปรีดี ทอล์ค ครั้งที่ 11 ภายใต้หัวข้อใหญ่ว่า ‘89 ปีแห่งการอภิวัฒน์สยาม สวัสดิการและบทบาทของรัฐในการสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจแก่ประชาชน’ โดยมีประเด็นหลักว่าด้วยรัฐสวัสดิการ

‘ประชาไท’ นำเสนอเนื้อหาของ สุชาติ ธาดาธํารงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกล่าวในหัวข้อ ‘อุปสรรคสำคัญของการอภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจของไทย’ ดังนี้

ภาพจากเพจ สถาบันปรีดี พนมยงค์ Pridi Banomyong Institute 

วันนี้ประเทศไทยยังไม่มีอนาคต

การอภิวัฒน์ 2475 นับว่าเป็นความกล้าหาญของคณะผู้ก่อการซึ่งเรียกว่าคณะราษฎร ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็มีเป้าหมายที่จะให้สยามประเทศได้เจริญก้าวหน้าเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย โดยมีหลัก 6 ประการ ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือหลักเอกราชและความปลอดภัย หลักเศรษฐกิจ หลักความเสมอภาค หลักเสรีภาพ และหลักการศึกษา ซึ่งเรียกว่าหลัก 6 ประการของคณะราษฎร

วันนี้จะพูดประเด็นเดียวก็คือ 89 ปีผ่านมาแล้วการอภิวัฒน์นั้นก็มีอุปสรรคมากมาย ไม่เหมือนกับการปฏิวัติของสหรัฐอเมริกา แล้วก็ไม่เหมือนกับการปฏิวัติสังคมนิยมของประเทศจีน ซึ่งทั้งสองประเทศนั้นสามารถแก้ไขปัญหาและดูแลพี่น้องประชาชนได้อย่างดี ผมคิดว่าเหตุผลที่สำคัญก็คือลักษณะของคนไทยโดยเฉพาะในระดับที่มีสถานภาพมีลักษณะที่มีความประนีประนอมมากกว่า พ.ศ 2475 พอเริ่มอภิวัฒน์ได้สำเร็จก็มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แล้วคณะราษฎรก็สามารถอยู่ได้ 15 ปีคือถึง 2490 ก็เหลือจอมพล ป. พิบูลสงครามคนเดียวซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหาร

หลังการปฏิวัติ 2475 ก็ไปตั้งบุคคลคนหนึ่งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกซึ่งก็เป็นคนที่มีฐานความคิดต่างกันโดยสิ้นเชิง เข้าใจว่าตอนนั้นคณะราษฎรคงคิดว่าสามารถจะพูดคุยกันได้ อันนี้ก็เป็นปัญหาที่ใหญ่มากที่หลังจาก 89 ปีแล้ววันนี้มีลักษณะสังคมที่ประชาชนยากจนมากๆ อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจและโรคระบาด มีปัญหาคล้ายๆ กับปี 2475 แต่วันนี้ฝ่ายที่ขอเรียกว่าฝ่ายขุนนาง ขุนศึก และศักดินาเข้มแข็งมากกว่าปี 2475 มีคณะราษฎรใหม่ประกอบด้วยเยาวชนอายุน้อยๆ ขึ้นมาเรียกร้องอนาคตของตัวเอง เพราะเขาเห็นว่าประเทศไทยไม่มีอนาคต วันนี้ประเทศไทยก็ไม่มีอนาคต เหตุที่ไม่มีอนาคตก็คือวิธีคิดของผู้มีอำนาจซึ่งดูจากฐานของท่านเหล่านั้นแล้วมันเปลี่ยนไม่ได้ เขาคิดแบบนั้น เพราะว่าผลประโยชน์ของเขาเป็นแบบนั้น

ความเห็นต่างๆ ที่เสนอถูกจำกัดกรอบอยู่ในระบอบขุนศึกศักดินา คือกรอบทั้งหมดมันเป็นกรอบกะลาที่ครอบอยู่ แล้วคนก็ไม่กล้าที่จะทะลุกรอบกะลานั้นซึ่งเคยทะลุไปแล้วตอน 2475 วันนี้กลับเข้ามาอยู่ในกะลาใหม่ เห็นว่าถูกจับเข้าไปคุมขังกันหลายคนจำนวนมาก อันนี้ก็เป็นปัญหาว่าผู้มีอำนาจทั้งหลายในประเทศไทยปัจจุบันไม่ได้เกรงกลัว ไม่ได้ละอายใจ ต่อการกระทำในเชิงวัฒนธรรม คุณธรรม หรือทางเศรษฐกิจ

ใช้เงินอย่างไร้สาระ

อยากเรียนท่านทั้งหลายว่าวันนี้ประเทศไทยยังคล้ายๆ อยู่ในระบอบอยุธยาอยู่ แต่ไม่ว่าจะมีการนำเสนอทางวิชาการใดๆ แทนที่ประชาชนจะเป็นผู้มีสิทธิที่จะใช้สิ่งเหล่านั้น เช่น รัฐสวัสดิการ การศึกษา การสาธารณสุข แต่ผู้มีอำนาจเขาจะให้ในทางการให้ทาน วันนี้ก็มีอันเดียวที่ยังทะลุมาได้ก็คือระบบการสาธารณสุขที่ต่อไปนี้ประชาชนใช้เป็นสิทธิ ไม่ใช่เป็นการให้ทาน แต่ระบบอื่นๆ ยังติดขัดอยู่

แม้กระทั่งการบริหารเศรษฐกิจปัจจุบัน รัฐบาลก็ทำให้ประชาชนยากจน ห้ามทำอะไรทั้งนั้นด้วยการอ้างเรื่องโรคระบาด แต่ว่าไปกู้เงินที่ประชาชนจะเป็นหนี้เอามาแจก แล้วก็ทำเสมือนหนึ่งว่าการแจกเงินเป็นสิ่งที่ดี คราวนี้แจกกันมากมายจนกระทั่งหนี้ของรัฐบาลต่อรายได้ของชาติหรือจีดีพีจะทะลุเพดานที่ตั้งไว้ที่ 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว เดือนกันยายนนี้ก็ 59 เปอร์เซ็นต์แล้ว

มีบางโครงการที่รัฐบาลทำซึ่งไม่เกี่ยวกับโรคระบาด เช่นโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ตั้งไว้ 3,600,000 คน มีคนไปใช้ประมาณ 370,000 คน 10 เปอร์เซ็นต์ คือประชาชนเห็นว่ามันไม่ถูกแล้ว ไม่เอา รัฐบาลก็ยังพยายามทำสิ่งเหล่านี้เพราะคิดว่าสามารถซื้อเสียงล่วงหน้าเพื่อที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลใหม่

ผมมองเห็นว่าหลังจาก 89 ปีผ่านมาแล้วเราวนเวียนอยู่กับการจะให้ภาครัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่มาจากชนชั้นเดิมๆ ช่วยเหลือมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลวันนี้เก็บภาษีไปประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ แล้วก็ใช้จ่ายประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นจะกู้มาเจ็ดแปดแสนล้านบาทต่อปีอันนั้นกู้ปกติ มีกู้พิเศษไปแล้ว 1.5 ล้านล้าน ถ้าไปดูรายจ่ายรัฐบาลจะเห็นได้ว่าหลายแสนล้านเฉพาะโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เห็นตามทีวี ซึ่งถ้าเราไปดูในประเทศตะวันตกจะไม่มีรัฐบาลเอางบมาทำแบบนี้ อันนี้เป็นการใช้จ่ายเงินประชาชนที่หามาได้ด้วยความยากลำบากอย่างไม่มีสาระ มี กอ.รมน. ซึ่งไม่มีข้าราชการอยู่ในนั้นมาเขียนกระดาษทำโครงการปีละแปดพันถึงหมื่นล้านเพื่อไปทำอะไรอย่างหนึ่งให้ได้เงินเข้ามา มีการทำ IO ตรวจสอบประชาชนซึ่งในประเทศประชาธิปไตยทำไม่ได้เลย

ภาพจากเพจ สถาบันปรีดี พนมยงค์ Pridi Banomyong Institute 

ภาษี น้ำมัน และไฟฟ้า

ผมจึงเรียกร้องในทางตรงกันข้ามว่าให้เลิกทำสิ่งเหล่านี้ แล้วลดงบประมาณไปใช้ในหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรจะทำซึ่งตามหลัก 6 ประการนั้นก็มีของอดัม สมิธซึ่งพูดมาตั้งแต่ 1876 ว่ารัฐบาลมีหน้าที่ 3 ประการคือมีกองกำลังดูแลรักษาประเทศ ประชาชน มีตำรวจ อัยการ และศาลให้ความยุติธรรมต่อสังคม อันที่ 3 คือทำของใหญ่ๆ ถนน ไฟฟ้า โทรศัพท์ และรัฐบาลก็ไม่ควรจะทำเองควรที่จะประมูลออกไปเพราะจะมีการเบียดบังงบประมาณจำนวนมาก แล้วก็มีเรื่องภัยพิบัติ คนยากจน คนสูงอายุที่หลายท่านเรียกว่าระบบสวัสดิการของประชาชน ซึ่งถ้ามีอันนั้นผมก็พอที่จะเห็นด้วยว่าควรเก็บภาษีอีกชนิดหนึ่งแบบสิงคโปร์ซึ่งมีรายได้ภาษีเพื่อใช้จ่ายของรัฐบาลเองประมาณ 16-17 เปอร์เซ็นต์ และรายได้เพื่อบำเหน็จบำนาญของประชาชนทุกคนเก็บอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ก็จะประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี แต่ว่าควรแยกเรื่องสวัสดิการประชาชนเพื่อไม่ให้มีการนำเงินเหล่านี้ไปใช้จ่ายแบบปัจจุบัน ถ้าปนกันก็จะมีปัญหาทันที ที่เหลือผมว่ารัฐบาลควรลดรายจ่าย 20 เปอร์เซ็นต์น่าจะมากเกินไป

วิธีการในช่วงนี้ที่การเรียกร้องประชาธิปไตยยังใช้เวลาอีกนาน ผมว่ารัฐบาลควรลดภาษีเพื่อลดรายจ่ายที่พูดไว้เมื่อกี้นี้แสนกว่าล้าน ซึ่งยังไม่รวมการซื้ออาวุธที่ลดได้อีกแสนล้านเพราะว่ายังไม่เคยรบกับใคร รัฐบาลควรเลิกการเกณฑ์ทหาร เลิกมีกฎหมายที่บังคับขู่เข็ญประชาชน และต้องเข้าใจว่ารัฐบาลเป็นลูกจ้างประชาชน ไม่ใช่นายประชาชน และใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ผมเสนอให้เป็นรูปธรรมก็คือให้ลดภาษีมูลค่าเพิ่มไป 1 เปอร์เซ็นต์ จากวันนี้ 7 เปอร์เซ็นต์เหลือ 6 เปอร์เซ็นต์ เงินก็จะอยู่ในมือประชาชนอีกแสนสองหมื่นล้าน หมายถึงว่ารายจ่ายของรัฐบาลก็จะหายไปแสนสองหมื่นล้านที่จะไปคอรัปชั่น ใช้จ่ายเพื่ออำนาจของตัวเองก็จะได้ถูกจำกัดลงไป

ราคาน้ำมันก็แพงมาก น้ำมันที่ผลิตในประเทศไทยถ้าไปขายในพม่าก็ 13-14 บาทต่อลิตร ขายในเมืองไทยก็ 30 กว่าบาท มีการเก็บภาษีหลายขั้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 หน แล้ววันนี้น้ำมันไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยแล้ว เป็นต้นทุนทางการผลิต ผมคิดว่าควรปรับให้เป็นราคาตลาด ปัจจุบันน้ำมันของเราผลิตภายในขายในประเทศก่อนภาษียังแพงกว่าที่ส่งออกไปต่างประเทศ แล้วก็มีคนบอกว่านี่แหละเป็นสิ่งที่ดี น้ำมันในประเทศที่หน้าโรงกลั่นแพงกว่าส่งออก คนในชาติจะได้มีน้ำมันใช้ อันนี้เป็นเรื่องตลก ไร้สาระของคนที่เกี่ยวข้องในวงการนี้

อีกเรื่องหนึ่งอาจจะไม่อยู่ในระบบภาษีก็คือเรื่องค่าไฟ ยกตัวอย่างง่ายๆ วันนี้มีนักวิชาการทั้งหลายคิดในเชิงเป็นผู้หวังดีต่อประชาชน ผมก็เคยเป็นนักวิชาการประเภทนั้น เรียกว่าขุนนางนักวิชาการ ไปตั้งทฤษฎีค่าไฟมีค่า FT ตั้งไปตั้งมาตอนนี้ค่าไฟแพงกว่าที่ควรจะเป็นเกือบ 2 เท่า อย่างนี้โรงไฟฟ้าไม่ต้องผลิตเลยรัฐบาลจ่ายให้ 80 เปอร์เซ็นต์ เอามาจากไหนก็เก็บมาจากประชาชนจนกระทั่งวันนี้เรามีเศรษฐีใหม่ขึ้นมาเป็นเพราะระบบราชการ ระบบขุนนางนักวิชาการ

กรอบความคิดอันนี้ผมเลยเสนอใหม่ว่าให้ประชาชนมีอำนาจ ไม่ใช่ให้ข้าราชการ ให้คนที่อยู่ในองค์กรของรัฐมีอำนาจแล้วเป็นผู้หวังดีต่อประชาชน เช่นบอกว่ามีระบบ GRID ต้องวิ่งเส้นเดียว คุณก็เอา 2 เส้นสิ คู่ขนานไป ผมผลิตไฟฟ้าได้ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ให้ผมตัดสินใจได้ว่าผมจะขายผ่านระบบไหน เมื่อไหร่มีการแข่งขันของเหล่านั้นที่ผูกขาดอยู่ มันก็จะมีราคาลดลง

ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ในช่วงนี้ที่มีการเรียกร้อง เราคิดว่าเราตัดเรื่องพลังอำนาจของระบบราชการ ระบบขุนนาง ระบบขุนศึก ที่ทุกวันนี้เรียกร้องเอาเงินจากสังคมมาใช้แล้วก็บอกว่าคุณจะได้ประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ทำไปทำมา ล่าสุด ขนาดไปกู้เงินมาแจกเลย แล้วแจกอยู่ตลอดเวลา เงินที่แจกอยู่ประจำเรียกโครงการไทยเข้มแข็งปีหนึ่งผมคำนวณประมาณแสนแปดหมื่นล้าน แต่ถ้าจะช่วยเหลือคนยากคนจนจริงๆ ควรใช้ระบบคืนภาษี มันจะมีหลักฐาน โกงกันไม่ได้เรียกว่า Negative Income Tax

แล้วบางครั้งไม่เกี่ยวกับโรคระบาดเลยก็ยังแจกเงินอยู่ ผมว่าเป็นเรื่องของคนที่ขาดสติ มีอำนาจล้นมือ แล้วทำลายประเทศขนาดนี้ ถ้ามันเป็นลักษณะนี้มันจะต่างอะไรกับประเทศซิมบับเวหรือเวเนซุเอลาที่ห้ามประชาชนทำงาน แล้วก็ไปกู้เงินมาแจก แล้วเงินที่มาแจกนั้นก็คือหนี้ของชาติและคุณต้องเสียภาษีในอนาคต วันหนึ่งก็จะเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวจนประเทศไม่มีทางเจริญเติบโตเพราะมีหนี้มากเกินไป

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net