โค้งสุดท้ายเลือกตั้งซ่อมหลักสี่ : เพื่อไทย-ก้าวไกล-พลังประชารัฐ-กล้า-ไทยภักดี ตั้งเวทีปราศรัย

โค้งสุดท้ายเลือกตั้งซ่อมหลักสี่ 

  • 'สุรชาติ' ลั่นไม่ขอขัดแย้ง มุ่งทำงานรับใช้ประชาชน อาสาทวงคืนศักดิ์ศรีพี่ป้าน้าอาพาเข้าสภา เปิดกลยุทธ์เลือกให้ชนะขาด ชี้เพื่อไทยคือความหวังคนรุ่นใหม่ เพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชน
  • 'กรุณพล' ยันยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอด - ลั่นพร้อมลุกขึ้นสู้เผด็จการเพื่ออนาคตลูกหลาน
  • พลังประชารัฐ : อ้อนขอคะแนนเสียงจากผู้สูงวัย เขตหลักสี่-จตุจักร
  • หน.พรรคกล้าประกาศปกป้องสถาบันฯ ลั่นต้องการเข้าสภาฯ​ ร่วมหนุนรัฐบาล​ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ 
  • อุ๊-หฤทัย ไทยภักดี ยันพรรคไม่ได้ตั้งมาเพื่อ ‘โหนเจ้า’ แต่มาต่อกรกับพรรคที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสั่นคลอนสถาบันฯ

28 ม.ค.2565 ในวันที่ 30 ม.ค. นี้ จะเป็นวันเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 เขตหลักสี่-จตุจักร พื้นที่แขวงทุ่งสองห้องและแขวงตลาดบางเขน และเขตจตุจักรบางส่วน ประกอบด้วย แขวงลาดยาว แขวงเสนานิคม และแขวงจันทรเกษม แทนตำแหน่งที่ว่างลงนั้น หลายพรรคการเมืองเปิดเวทีปราศรัยใหญ่

เพื่อไทย : 

'สุรชาติ' ลั่นไม่ขอขัดแย้ง มุ่งทำงานรับใช้ประชาชน อาสาทวงคืนศักดิ์ศรีพี่ป้าน้าอาพาเข้าสภา

ทีมสื่อพรรคเพื่อไทยรายงานว่า สุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตเลือกตั้งที่ 9 หลักสี่-จตุจักร พรรคเพื่อไทย ปราศรัยบริเวณสวนสาธารณะเคหะชุมชนทุ่งสองห้อง โดยมีประชาชนร่วมฟังการปราศรัยและให้กำลังใจจำนวนมาก โดยนายสุรชาติ ประกาศขอชนะไปพร้อมกับชัยชนะของชาวหลักสี่และจตุจักร พร้อมอาสาทวงคืนศักดิ์ศรีคนหลักสี่และคนจตุจักรเข้าสภาผู้แทนราษฎร

สุรชาติ กล่าวว่า การเป็น ส.ส.เป็นความฝันเดียว ซึ่งที่ผ่านมาพี่น้องประชาชนเคยช่วยกันทำให้ฝันนั้นเป็นจริงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่วันนี้่มีฝันที่ยิ่งใหญ่กว่า คือ อยากเป็นผู้แทนราษฎร ที่จะทำงานรับใช้ประชาชน เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนดีขึ้น แต่เรื่องนี้ไม่สามารถทำคนเดียวได้ พี่น้องประชาชนและพรรคเพื่อไทยหากร่วมมือกันจะทำได้

สุรชาติ กล่าวถึงการออกมาพูดในระหว่างการหาเสียงเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้นเพราะเมื่อครั้งเป็น ส.ส. ปี 2554 ในช่วง 2 ปีกว่าๆ นั้นได้มีส่วนในการผลักดันโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง โดยมีโอกาสเข้าพบอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อขอให้พิจารณาอนุมัติสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ในยุคที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลให้ได้ เพราะมีความสำคัญกับพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพฯ 3-4 เขตปกครอง รวมไปถึงพี่น้องในปริมณฑลก็จะได้ใช้ประโยชน์ และสุดท้ายรถไฟฟ้าสายสีแดง ก็ได้รับการอนุมัติให้ก่อสร้างในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดยอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์

“วันนี้ที่ต้องพูดถึงราคาค่ารถไฟฟ้า เพราะรถไฟฟ้าสายสีแดง พี่น้องประชาชนในพื้นที่หลักสี่ส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้ใช้ เนื่องจากราคาค่าโดยสารยังคงสูงเกินไป เราสร้างรถไฟฟ้ามาเพื่อให้ประชาชนทุกคนได้ใช้ ไม่ได้สร้างเอาไว้เป็นอนุสาวรีย์หรือให้เฉพาะคนที่มีเงินได้ใช้” ผู้สมัคร ส.ส. กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวพร้อมย้ำว่า ใครก็ตามที่พยายามร้องเรียนเรื่องนี้หรือพยายามดึงให้ผมเข้าสู้ความขัดแย้งนั้นคงไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา 17 ปีพี่น้องประชาชน รับรู้ดีว่าการทำงานทั้งหมดเป็นการทำเพื่อประชาชนและการหาเสียงครั้งนี้เพื่อกลับเข้าสภาไปทำงานรับใช้ประชาชน

การเมืองของผมคือการให้เกียรติประชาชน นโยบายก็ต้องเป็นนโยบายที่ให้เกียรติประชาชน สำหรับผมนโยบายที่ให้เกียรติประชาชนเช่นนั้น คือ นโยบาย SML ที่ให้พี่น้องประชาชนได้มีอำนาจในการใช้งบประมาณและตัดสินใจแก้ปัญหาในชุมชนด้วยตัวเอง นี่คือจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยและการให้เกียรติประชาชน แล้วขณะนั้นผมได้ใช้ความเป็นผู้แทนราษฎรเข้าไปร่วมประสานงานโครงการนี้ ซึ่งเขตหลักสี่เป็นพื้นที่ที่ทำโครงการ SML ได้มากที่สุดในกรุงเทพฯ

อีกเรื่องที่พูดเสมอคือการปฏิรูประบบราชการ ผมใช้เวลา 17 ปีเป็นผู้รับใช้ประชาชน ทุกครั้งที่ผมเห็นนักการเมืองหรือข้าราชการทำตัวเหนือประชาชน ผมจะเดินไปบอกเสมอว่าไม่มีใครอยู่เหนือประชาชนได้ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่ใช่การทำลายล้าง แต่จะเปลี่ยนแปลงด้วยทัศนคติที่ดี ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยที่เคยปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่มาแล้วซึ่งไม่เพียงทำให้ประชาชนมีความสุขแต่พี่น้องข้าราชการก็มีความสุขมากขึ้นด้วยนั้นเราจะทำอีกครั้งหนึ่ง

17 ปีที่ผ่านมาผมล้มลุกคลุกคลาน ผิดหวังมากกว่าสมหวัง เมื่อ 3 ปีที่แล้ววันที่ผมแพ้การเลือกตั้ง วันต่อมาผมขึ้นรถแห่ขอบคุณทุกคะแนนเสียงของพี่ป้าน้าอาที่มอบให้ วันนั้นเป็นวันที่ผมต้องเสียน้ำตา เพราะไม่ว่าผมจะไปจุดไหน ก็จะมีพี่ป้าน้าอามาร้องไห้กับความพ่ายแพ้ของผม แต่นั้นคือสิ่งที่ทำให้ผมมีกำลังใจในการออกไปหาพี่ป้าน้าอาทุกวัน และบอกตัวเองว่าวันนี้จะแพ้ไม่ได้อีกแล้ว

“ผมจะต้องชนะเพื่อทวงศักดิ์ศรีให้พี่ป้าน้าอาและพี่น้องคนหลักสี่ คนจตุจักรทุกคน วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม นี้เราจะชนะไปด้วยกัน แล้วผมจะแบกเอาศักดิ์ศรีคนหลักสี่และคนจตุจักรเข้าสภา” ผู้สมัคร ส.ส. กทม.พรรคเพื่อไทย  กล่าว

เปิดกลยุทธ์เลือกให้ชนะขาด ชี้เพื่อไทยคือความหวังคนรุ่นใหม่ เพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชน

ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 หลักสี่ จตุจักร ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 30 มกราคม 2565 พี่น้องประชาชนต้องเลือกนายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย เบอร์ 3 ให้ชนะขาดเท่านั้น ถือเป็นโอกาสที่จะแก้ตัว กู้ศักดิ์์ศรี ที่หายไปจากการเลือกตั้งในปี 2562 เพื่อเลือกคนทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการส่งสัญญาณบอกไปยังรัฐบาลว่าประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการเปลี่ยนรัฐบาล และต้องการบอกรัฐบาลว่าพรรคที่ทำงานรับใช้ประชาชนได้ดีคือพรรคเพื่อไทยที่พร้อมมอบอนาคตที่ดีให้กับประชาชนทุกคน มีบุคลากรผู้มากความสามารถ มีมันสมองที่ดี รวมเข้ากับความรู้ของคนรุ่นใหม่มาผสมผสาน เพื่อสร้างนโยบายที่ดีที่คนทุกรุ่นจะต่อยอดไปได้ เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน

ชลน่าน กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดจากวิกฤตทางการเมืองที่มีผู้มีอำนาจ ยึดอำนาจไปจากประชาชน แม้แต่คุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส.ในปี 2562 ยังสามารถกลายเป็นผู้สมัคร ส.ส. จนเข้ามาเป็น ส.ส.ในสภาได้ ซ้ำยังไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ความไม่รับผิดชอบของรัฐบาล ประชาชนจึงไม่ควรให้โอกาสอีก ด้วยการเลือกนายสุรชาติ เบอร์ 3 เท่านั้น

“ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศเจอวิกฤตทั้งปากท้องของแพง ขณะที่นายสุรชาติ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย นำเสนอนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย มีคนปรารถนาดีนำไปโฆษณาต่ออีก ก็ต้องขอขอบคุณเขา เรื่องนี้ตอกย้ำว่าชาวหลักสี่ จตุจักร ต้องเลือกให้ขนะขาด เลือกสุรชาติเพื่อไทย เบอร์ 3 ให้ถล่มทลายเท่านั้น” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว

จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะมีอายุครบ 8 ปีแล้ว แต่ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนไม่ถูกแก้ไข หากมองกลับไปจะพบว่าในรอบ 20 ปี รัฐบาลจากพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ทำให้ประชาชนมีเงินเข้ากระเป๋ามากที่สุด แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำลงทุกด้าน และประเทศเป็นหนี้สูงที่สุด สิ่งที่ได้เคยอภิปรายในสภาว่าพลเอกประยุทธ์เป็นนักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา ฉายานี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย เพราะยังเดินหน้ากู้ กู้มาแจกอย่างเดียว หาเงินเข้าประเทศไม่เป็น เมื่อเกิดโรคระบาดอย่างโควิด-19 รัฐบาลพลเอกประยุทธ์สั่งปิดกิจการแบบไร้การวางแผน สร้างปัญหาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จนทำให้ต้องกู้เงินเพิ่ม ด้วยการขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% จึงขอมอบฉายาใหม่ เป็น “นักกู้แห่งมหาเอเชียบูรพา” ให้กับพลเอกประยุทธ์อีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหารจนมาถึงปัจจุบัน ประเทศไทยตกต่ำทุกด้าน ทั้งความเหลื่อมล้ำที่เป็นอันดับ 1 ของโลก แม้แต่ปัญหาพื้นฐานอย่างราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เกิน 80 บาทก้ไม่ถูกแก้ไข

“ข้าวกระเพราจากจานละ 25ปรับขึ้นเป็น 50 บาท เกิดกรณีแจกกล้วย ส.ส. เกิดปัญหามากมาย อยากให้พี่น้องประชาชนมองสภาพบ้านเรา หลักสี่ จตุจักร มีของดีเป็นนายสุรชาติ คนพื้นที่อยู่กับประชาชนตลอด ของดีไม่ต้องพูดเยอะ ร้านค้าที่ชื่อพรรคเพื่อไทย มีทั้งผู้มากประสบการณ์และคนรุ่นใหม่มาทำงานหลากหลาย ประชาชนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอน” จิรายุกล่าว

ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการเลือกตั้งปี 2562 นายสุรชาติ ได้คะแนนประมาณ 32,000 เทียบเท่ากับ ส.ส. 1 คน ดังนั้นในวันที่ 30 มกราคม 2565 ขอให้พี่น้องชาวหลักสี่ จตุจักร เลือกนายสุรชาติให้มากขึ้น ให้ถล่มทลาย เพราะรัฐบาลนี้ยิ่งอยู่การคอร์รัปชั่นยิ่งสูงขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะลดลง โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ รายงานคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตปี 2564 ประเทศไทยได้ 35 คะแนน ลดลงจากปีก่อนหน้า และอยู่ลำดับที่ 110 ของโลก จากผลสำรวจ 180 ประเทศ นอกจากนี้พี่น้องประชาชนต้องไม่ลืมว่าอะไรเกิดขึ้นกับประชาชนในระหว่างที่รัฐบาลนี้บริหารประเทศ ทั้งการบริหารจัดการโรคระบาดที่ล้มเหลว วัคซีนขาดแคลน ประชาชนเสียชีวิต พี่น้องครอบครัวต้องจากกัน เราต้องไม่ลืมความสูญเสียทั้งหมด

“พวกเขามีอาวุธ มียุทโธปกรณ์ เราไม่กลัว เพราะเรามีปากกาในมือเป็นอาวุธ ที่จะแสดงถึงสิทธิ์เสียงและศักดิ์ศรีของพี่น้องประชาชน 30 มกราคม 2565 เลือกสุรชาติ เทียนทอง เบอร์ 3 ให้ชนะถล่มทลาย” ธีรรัตน์กล่าว

ดนุพร ปุณณกันต์ ตัวแทนเพื่อไทยมหานคร กล่าวว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายที่นำเสนอมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน ราคา 15 บาท และสมัยพรรคเพื่อไทย ราคา 20 บาท และทุกครั้งที่เราทำนโยบายเพื่อประชาชนจะถูกปฏิวัติรัฐประหาร แต่เมื่อถูกปฏิวัติ เราไม่เคยล้มบนพื้นหญ้าพื้นปูน แต่ล้มลงบนบ่าบนไหล่ของประชาชนที่พร้อมโอบอุ้มเรากลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งเสมอ พรรคเพื่อไทยมีเจ้าของคือพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ

ทั้งนี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถูกนำมาพูดถึงอีกครั้ง พรรคเพื่อไทยศึกษาค้นคว้า ความต้องการของประชาชนนำมาประมวลออกมาเป็นนโยบายให้พี่น้องประชาชน ย้ำว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทคือนโยบายดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนไปพร้อมๆ กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพงติดอันดับโลก คิดเป็น 5%-18% ของค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน อยู่ที่ 2%-5% ของค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา คนทั่วไปไม่สามารถใช้บริการได้ และเอกชนต้องขาดทุนเพราะขาดผู้โดยสาร พรรคเพื่อไทยนำเสนอวิธีการคือ การทำให้ค่าโดยสารถูกลงจนคนทั่วไปสามารถขึ้นได้ ลดค่าแรกเข้าเนื่องจากสัญญาสัมปทาน กำหนดเพดานราคาที่เหมาะสมกับรายได้ของประชาชน เมื่อมีคนใช้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ประชาชนสามารถย้ายไปอยู่นอกเมืองและเข้ามาทำงานในเมืองตอนเช้าได้รวดเร็ว ส่งผลให้เศรษฐกิจกระจายไปตามสถานีรถไฟฟ้าและพื้นที่ใกล้เคียง กระจายความเจริญและเกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจของกรุงเทพอย่างก้าวกระโดด ซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นและยืนยันได้ว่าทำได้

“พรรคเพื่อไทยไม่เคยทำนโยบายหลอกประชาชน เพราะตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย นโยบายของเราทำได้และทำจริง ดังนั้น รถไฟ้ฟ้า 20 บาททำได้จริงและไม่ยากเกินฝีมือพรรคเพื่อไทย คนที่ไปร้องเพื่อไทยเพราะกลัวว่าพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งแน่นอน” ดนุพร กล่าว

จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า 30 มกราคม 2565 เป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญ ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการอธิบายความหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยนับจากนี้ได้เป็นอย่างดี เป็นจุดตัดการเมืองและเป็นโอกาสสั่งสอนเผด็จการ พิพากษาชีวิตทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ ผลการเลือกตั้งจะส่งสัญญาณว่า ประเทศไทยจะตกต่ำ ล้าหลัง ย่ำอยู่กับที่ หรือ การเลือกตั้งครั้งนี้ จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นความหวังของประเทศในอนาคต ตลอดระยะเวลากว่า 7 ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้การทำรัฐประหารเพื่อให้ตัวเองได้เข้าสู่อำนาจ และใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นสะพานสืบทอดอำนาจ ให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจต่อไป จึงปฏิเสธการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับตลอดมา ไม่สนับสนุนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำลายความหวังของเยาวชนซึ่งเป็นพลังแห่งอนาคตและทรัพยากรสำคัญของประเทศ พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำลายอนาคต ทำลายความหวังอันงดงามของเยาวชนคนหนุ่มสาวอย่างแท้จริง จึงขอให้พี่น้องประชาชน คนรุ่นใหม่ ใช้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นวันเริ่มต้น คือการสั่งสอนเผด็จการ พิพากษาชีวิตทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ 30 มกราคมนี้ เป็นจุดเริ่มต้นการส่งมอบอนาคตที่ดีให้กับลูกหลาน

จิราพร กล่าวว่า ตั้งแต่ทำการรัฐประหารเข้ามาเป็นผู้นำประเทศ พลเอกประยุทธ์ อ้างว่าเข้ามาเพื่อปฏิรูปประเทศ ปราบการทุจริตคอรัปชั่น คืนความสุขให้กับคนไทย แต่ยิ่งปฏิรูปคนไทยยิ่งจน เกิดความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจยิ่งพัง การศึกษาไทยยิ่งถอยหลัง การเมืองยิ่งแตกแยก นอกจากการปฏิรูปแล้ว ยังมีการประกาศวาระแห่งชาติจำนวนมาก แต่ทำไม่ได้และล้มเหลวทุกด้าน รัฐบาลนี้คิดอย่างเดียวคือ “กู้มาแจก กู้มากิน กู้มาใช้หนี้” เป็นรัฐบาลนักกู้เงินมือเติบ กู้มาแล้วใช้ไม่เป็นแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ไม่มีโครงการเป็นชิ้นเป็นอัน ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีสวัสดิการถ้วนหน้า มีแต่หนี้ถ้วนหน้า เพราะได้ก่อหนี้สาธารณะทะลุ 16 ล้านล้านบาท หารเฉลี่ยต่อหัวประชากรมีหนี้คนละ 250,000 บาท ตอนหาเสียงปี 2562 มีพรรคการเมืองหนึ่ง ประกาศว่าถ้าได้เป็นรัฐบาล คนที่จบปริญญาตรี จะมีเงินเดือนขั้นต่ำ 20,000 บาท จบอาชีวะ จะมีเงินเดือน 18,000 บาท ค่าแรงวันละ 400-425 บาท แต่เมื่อเป็นรัฐบาล ทำไม่ได้แม้แต่นโยบายเดียว นักเรียน นิสิต นักศึกษา เรียนจบออกมา ไม่มีงาน ไม่มีเงินเดือนขั้นต่ำ มีแต่หนี้ก้อนโตรออยู่ พรรคอื่นทำไม่ได้ จึงคิดว่าคนอื่นจะทำไม่เป็น กล่าวหาว่าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายไม่มีวันเป็นไปได้ เป็นการหาเสียงเกินจริง แต่นโยบายที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้ทำไม่ได้ ต้องให้ประชาชนต้องไปฟ้องร้องว่าหาเสียงไว้เกินจริงหรือไม่

ที่ผ่านมา ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาเป็นพรรคเพื่อไทย หลายนโยบายถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนโยบายเพ้อฝัน ไม่มีวันทำได้ แต่โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค OTOP กองทุนหมู่บ้าน ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เราทำมาแล้ว ทำได้จริง พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมือง มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างมั่นคง เป็นพรรคการเมืองแนวหน้าที่ยืนหยัดต่อสู้ คัดค้านระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ แม้ถูกยุบพรรค ถูกยึดทรัพย์ ถูกจับกุมคุมขัง บางคนต้องหลี้ภัยทางการเมือง แต่ทั้งหมดคือสายธารการต่อสู้ ที่ไม่ยอมจำนนและก้มหัวให้เผด็จการ

“ใช้ปากกาในมือท่านช่วยกันร่างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ พอแล้วกับรัฐบาลที่สิ้นสภาพทำงานไม่เป็น แม้ฝ่ามือในสภา ไม่อาจฝ่าศรัทธาประชาชน 30 มกรา กาเบอร์ 3 สุรชาติ เทียนทอง ร่วมกันปักธงประชาธิปไตยไว้ที่เขตหลักสี่-จตุจักร ให้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นการเบ่งบานของประชาธิปไตยไปทั้งประเทศ เงินไม่สามารถซื้อศักดิ์ศรีพี่น้องประชาชนได้ บอกไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเราพอแล้วกับรัฐบาลที่สิ้นสภาพ ช่วยกันเพิ่มอีกหนึ่งเสียงเติมกำลังพรรคเพื่อไทย เสริมกำลังฝ่ายค้าน เสริมทัพฝ่ายประชาธิปไตยในการเข้าไปต่อสู้ ตรวจสอบ ส่งสัญญาณว่าประเทศเรากำลังจะส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคตจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร” จิราพร กล่าว

สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้จำเป็นต้องเลือก สุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 9 หลักสี่ จตุจักร เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย เพื่อต่อลมหายใจประชาธิปไตย เอาพรรคเพื่อไทยมาต่อสู้กับเผด็จการ และเพื่อบอกว่าพรรคเพื่อไทยคือพรรคเดียวที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทั้งนี้ทั่วโลกมีประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ล้มลุกคลุกคลานแต่สุดท้ายประชาธิปไตยชนะทุกประเทศ ประเทศไทยวันนี้ประชาธิปไตยยังชนะไม่สมบูรณ์ การลงคะแนนเลือกตั้งในวันที่ 30 มกราคม 2565 เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ที่ผ่านมาพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนมาจนถึงพรรคเพื่อไทย โดนรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง ถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 ครั้ง ชนะเลือกตั้งแล้วแต่ถูกหาว่าเป็นการเลือกตั้งโมฆะ 2 รอบ ผู้นำของพรรคถูกกลั่นแกล้ง แต่ไม่เคยยอมแพ้ สายเลือดของพรรคการเมืองนี้จึงยังยืนอยู่ที่นี่ รัฐบาลที่ยึดอำนาจมาได้พยายามจะฆ่าพรรคเพื่อไทยให้ตาย เพื่อให้ประชาธิปไตยอ่อนแรงและสูญพันธุ์ เผด็จการจะได้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินนี้ แต่พวกเราไม่หนีและยังสู้ทุกรูปแบบ แล้ววันนี้จึงมาถึงจุดหนึ่งที่พวกเราต้องมาสู้ คือ การเลือกตั้งในวันที่ 30 มกราคม

สรวงศ์ เทียนทอง ผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต9 หลักสี่ จตุจักร กล่าวว่า ตลอดเวลา 17 ปี ของสุรชาติ ไม่ว่าจะได้เป็น ส.ส. หรือไม่ได้เป็น นายสุรชาติใช้เวลาส่วนใหญ่กับพี่น้องประชาชนตลอดเวลา พรรคเพื่อไทยเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของนายสุรชาติ จึงภูมิใจเสนอนายสุรชาติให้พี่น้องได้เลือกตั้งอีกครั้ง

วรวงศ์ กล่าวว่า การเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งให้น้องชาย มีโอกาสเดินตามน้องไปทุกที่ ได้เห็นความผูกพันที่พี่น้องประชาชนมีให้กับนายสุรชาติ ซึ่งไม่ได้อยู่กับพี่น้องแค่ในชุมชนยามทุกข์สุข แต่ในยามวิกฤต ปี 2557 สุรชาติ ออกไปห้ามปรามพี่น้องประชาชนในพื้นที่ไม่ให้ไปปะทะกับกลุ่มต่อต้านการเลือกตั้งจนมีผู้บาดเจ็บ คือคุณลุงอะแกว แซ่ลิ้ว ซึ่งช่วยกันดูแลจนนาทีสุดท้าย ต่อมาในปี 2563 เมื่อกลุ่มนักเรียนนักศึกษาชุมนุม ก็มีภาพชายสองคนไปยืนขอร้องเจ้าหน้าที่รัฐอย่าใช้ความรุนแรงกับประชาชน หนึ่งในนั้นคือน้องชายผม ซึ่งมีสำนึกประชาธิปไตยที่อยู่ในหัวใจที่แท้จริง

"ในฐานะพี่ชายที่ดูแลน้องชายคนนี้ ตั้งแต่ตอนที่ไปเรียนเมืองนอก ผมก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นพ่อดูแลเขาที่เมืองนอก เห็นเขาเติบโตมาจนถึงวันนี้ เป็นที่รักของพี่ป้าน้าอาชาวหลักสี่ จตุจักร พี่ชายคนนี้เห็นความตั้งใจของน้องชายที่ตั้งใจดูแลพี่น้องเต็มที่ ดูแลอย่างญาติมิตรและครอบครัวอย่างอบอุ่น ในฐานะพี่ชายคนนี้ มั่นใจว่าพี่น้องชาวหลักสี่จตุจักร จะไม่ผิดหวังกับน้องชายของผมคนนี้ เลือกเขาไว้ใช้ เลือกเขาไว้ทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรตัวจริง" สรวงศ์ กล่าว

 

ก้าวไกล : 

กรุณพล ยันยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอด - ลั่นพร้อมลุกขึ้นสู้เผด็จการเพื่ออนาคตลูกหลาน

ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า ที่ตลาดนัดเจเจกรีน 2 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ พรรคก้าวไกล นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค, ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค พร้อมด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ได้แก่ วรรณวิภา ไม้สน, ปดิพัทธ์ สันติภาดา, รังสิมันต์ โรม, พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ร่วมเปิดเวทีปราศรัยรณรงค์หาเสียงให้กับ เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัครรับเลือกเขตจตุจักร-หลักสี่ เบอร์ 6 โดยก่อนหน้านี้ในพื้นที่ดังกล่าวมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่เมื่อฝนหยุดประชาชนก็เริ่มทยอยมาจนเนืองแน่นเต็มเวทีการปราศรัย บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานคึกครื้น

กรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.เขตจตุจักร-หลักสี่ กล่าวว่า หลายสิบปีในอาชีพนักแสดง ตนเจอเรื่องราวมากมาย วันนี้เส้นทางชีวิตเปลี่ยนมาเป็นอาชีพนักการเมือง สิ่งที่อยากทำมีมากมายเหลือเกิน และคิดว่าการเป็นนักการเมืองน่าจะตอบโจทย์ ตนรู้ตัวดีว่าเป็นผู้สมัครพื้นที่นี้มีหลายอย่างถาโถมเข้ามาในชีวิต เหมือนครั้งที่แล้วขึ้นเวทีถึงขั้นน้ำตาไหล แต่วันนี้ได้รับกำลังใจจากหลายคน ทำให้เข้มแข็งมากขึ้น ในโซเชียลมีเดีย มีทั้งคำชื่นชม ด่า ประณาม เหล่านี้ก็เอามาเป็นพลัง หรืออย่างล่าสุดคุณแม่ จิตรประภัสสร เทียนสุวรรณ ซึ่งเป็นคนเสื้อแดง ร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดง เชื่อแนวทางประชาธิปไตย ถามมาตลอดว่าอยากเป็นลูกนายพลหรือลูกแม่ค้า ถ้าอยากเป็นลูกแม้ค้าต้องเข้าใจคนปกติ แม่สอนเรื่องชีวิต ความเท่าเทียม การให้อภัย และการมีน้ำใจ แม่ต่อสู้ร่วมกับคนเสื้อแดงมาตลอด แต่กี่ปีก็ไม่ชนะ เพราะถูกกดทับด้วยปากกระบอกปืน ทุนผูกขาด และอำนาจมองไม่เห็น คนเสื้อแดงสูญเสียเลือดเนื้อชีวิตมากมาย กระทั่งวันนี้แม่อายุ 70 กว่าแล้ว ได้ส่งต่อการต่อสู้มาให้ ถามว่าถ้าสู้แบบเดิม โอกาสชนะยากเต็มที วันนี้มีพรรคการเมืองใหม่ที่ต่อสู้ในรัฐสภาที่เราน่าจะชนะได้ จนทำให้วันนี้ ตนได้เข้ามาอยู่ในพรรคก้าวไกล และอุดมการณ์ของเรามั่นคงแน่วแน่ ที่เราจะไม่ยอมทุนผูกขาด ไม่ยอมเผด็จการที่แย่งประชาธิปไตยไปจากพวกเรา

"ผมเปิดตัวต่อสู้กับความไม่ถูกต้องมาตั้งแต่เมื่อครั้งมีม็อบ กปปส. ผมยืนอยู่ตรงข้ามม็อบนี้มาตลอด แต่ก็ถูกโจมตีว่าเคยไปร่วมกับม็อบ จึงอยากบอกตรงนี้ว่า แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่เคย ไม่เคยเชื่อว่าการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งจะดีกว่าการเลือกตั้งอย่างไร จึงอยากเคลียร์ใจเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมา แม้จะโดนผู้จัดละคร โดนโฆษณากดดัน มีคนที่เคยเป่านกหวีโทร.มาหาว่าออกตัวแรงแบบนี้ไม่กลัวไม่มีงานเหรอ ผมบอกไปว่า แล้วทนเห็นแบบนี้ได้อย่างไร จะยืนอยู่บนความสุขสบายโดยเห็นความไม่ถูกต้องอย่างนั้นเหรอ วันนี้ ถ้าเราไม่เริ่มที่ตัวเองจะเริ่มที่ไหน ถ้าเราไม่เสียสละเพื่อดึงคนให้ลุกขึ้นมา จะมีใครกล้ายืนสู้มั้ย ทุกคนไม่กล้ายืนสู้ ในวันที่ม็อบ กปปส. และวันที่ทหารครองอำนาจ ทุกคนกลัว จนทำให้คนที่รู้ถูกรู้ผิดไม่กล้าพูด ทำให้คนที่ผิดแต่เสียงดังกลายเป็นผู้ชนะ ผมยอมไม่ได้ ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยลุกขึ้นมา เสียงานเสียการ เสียหลายๆ อย่างในชีวิต แต่จะได้เป็นผู้จุดไฟแห่งความหวังให้คนได้ลุกขึ้นมา ยืนอยู่ตรงนี้ ทำเพื่อให้คนเห็นความหวังในประเทศนี้ และไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อพรรคก้าวไกล แต่เพื่ออนาคตลูกหลานของเรา ไม่อยากให้ประเทศนี้ย่อยยับไปต่อหน้า โดยที่เราไม่ทำอะไรเลย วันนี้เราต้องลุกขึ้นมาสู้" กรุณพล กล่าว

อยู่พื้นที่ 30 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำความเป็นชีวิต ปชช.ยิ่งแย่ลง - ลั่นผลักดันรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า-ลุยแก้ท่วมอย่างจับต้องได้

กรุณพล กล่าวอีกว่า ในฐานะผู้สมัครเขตจตุจักร-หลักสี่ โดนปรามาสว่าเป็นแค่นักแสดง เรียนจบอะไรมา อยากบอกว่าจบเศรษฐศาสตร์ โดนปรามาสไม่มีประสบการณ์ จะสู้ได้เหรอ ตนก็อยากให้ไปดูคนที่อยู่สภามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เห็นแก้ปัญหาอะไรได้ พรรคก้าวไกลเราไม่เคยเป็นรัฐบาล ไม่เคยถืองบประมาณ เรื่องทุจริตจึงเท่ากับศูนย์ แต่สิ่งที่เราทำมาตลอด 3 ปี คือ ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น ไม่ย้อท้อ ไม่ประนีประนอม จน ส.ส.หลายคนมีคดีติดตัว ถูกปองร้าย ขู่ไปจนถึงครอบครัว แต่เราไม่กลัว เรามีอุดมการณ์ เราต้องการทำให้ประเทศนี้ดีขึ้น และสำหรับพื้นที่นี้ ผมอยู่มา 30 ปี ไม่ต้องเป็น ส.ส.ก็รู้ปัญหาของจตุจักร-หลักสี่ ก็เหมือนที่พี่น้องเจอ เรื่องปากท้อง รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ของแพงขึ้นทุกวัน และยิ่งเขตนี้มีผู้สูงอายุเยอะจะทำอย่างไร เราเห็นว่าก็ต้องไปลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ลดค่าใช้จ่ายก็เท่ากับเพิ่มเงินในกระเป๋า เราจึงเสนอรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า จัดสรรงบประมาณ โดยคำนึงถึงพี่น้องประชาชนเป็นอันดับแรก ถึงเวลาแล้วที่ประเทศนี้จะต้องตอบแทนผู้สูงอายุด้วยเงินที่มากกว่าแค่เดือนละไม่กี่ร้อย

"อีกปัญหาคือเรื่องน้ำท่วม หลายคนบอกจะทำคลอง ทำอุโมงค์ระบายน้ำ ถามว่าต้องใช้งบฯ อีกกี่หมื่นล้าน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนไหม ส.ส.หนึ่งคนได้แต่พูด แต่ไม่เคยหาเงินมาทำได้ ผมอยากทำอะไรที่จับต้องได้ เช่น ลอกท่อก่อนไหม เรามีนักโทษที่พร้อมมาทำงาน มีเบี้ยเลี้ยงให้เขา เรามีเจ้าหน้าที่ กทม. มีอาสาสมัครที่พร้อมทำงานนี้ หรือตรงไหนที่เป็นพื้นที่ต่ำก็นำเครื่องสูบน้ำ กทม.ไปตั้ง หลายหมู่บ้านน้ำท่วมทุกครั้งในหน้าน้ำ เขาบอกว่าแก้ไม่ยากก็แค่เปิดประตูน้ำ แต่ชาวบ้านต้องไปเปิดเองเหรอ และไม่มีวิธีการติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ง่ายกว่านี้เหรอ ด้านการจราจร บอกว่าจะดีขึ้นเพราะมีรถไฟฟ้า แต่ถามว่ารถไฟฟ้าแต่ละระบบกี่บาท จากหลักสี่ไป-กลับสุขุมวิท คิดว่าน่าจะ 200-300 บาท คนฐานะปานกลางจะนั่งไหม แล้วที่บอกจะลดค่ารถไฟฟ้า ถามว่ามีกี่เจ้า แล้วเขาจะคุยกันเหรอ แล้วรัฐก็ยังไม่จ่ายหนี้ด้วยเขาด้วย เขาจะลดเหรอ ดังนั้น ควรที่จะทำรถเมล์ไฟฟ้าวิ่งในระยะทางที่สั้น ราคาถูก เพราะนี่คือสวัสดิการของประชาชน ทำโดยไม่ขาดทุน ไม่ต้องหวังผลกำไร เพราะทุกวันนี้ ขสมก.ก็ขาดทุนไม่รู้เท่าไหร่แล้ว หยุดขาดทุนเท่ากับกำไร" กรุณพล กล่าว

ยันการเมืองใหม่ไม่มีการเกี้ยเซียะประนีประนอม- ปลุกประชาชน "จตุจักร-หลักสี่" 30 ม.ค.นี้ ทิ้งความกลัว-นำความหวังเข้าคูหา

กรุณพล กล่าวอีกว่า ปัญหาในพื้นที่ไม่ใช่ไกลเกินตัว ไม่ใช่เรื่องแก้ได้ยาก เราตั้งใจแก้ด้วยการทำการเมืองใหม่ การเมืองที่ไม่มีการเกี้ยเซียะ ไม่มีการประนีประนอม ถูกคือถูก ผิดคือผิด เพราะถ้าคอยแต่ประนีประนอม ปัญหาก็ไม่หมดไป อย่างแม้แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ หลายคนบอกว่าเราควรร่วมมือกันเพื่อชนะเผด็จการ ตนถามว่า เริ่มด้วยการจับมือใต้โต๊ะ ชนะไปจะไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนอย่างไร ชนะไปเป็นความภูมิใจเหรอที่คนหนึ่งต้องหลบให้ แล้วถ้าอย่างนั้นพรรคก้าวไกลจะตั้งมาทำไม พรรคก้าวไกลคือพรรคที่ต้องการผลักดันนโยบายและวิธีปฏิบัติที่ต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ เพราะพรรคของเราไม่ประนีประนอม พร้อมพุ่งชนกับทุกปัญหา วันนี้ เรามีความหวังที่มีพรรคฝั่งประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้น เป็นความหวังที่จะส่งต่อชีวิตที่ดีกว่าลูกหลาน วันที่ 30 มกราคมนี้ ทิ้งความกลัวที่ว่าจะแพ้เผด็จการ ทิ้งความกล้วที่คิดจะเกี้ยเซียะเพราะกลัวจะแพ้ และจงนำความหวังเข้าไปในหน่วยเลือกตั้งและกาเบอร์ 6 ให้เพชร กรุณพล ให้เป็นผู้แทนของท่านในเขตจตุจักร-หลักสี่

เลขาธิการพรรคฯ ย้ำเลือก "เพชร กรุณพล" ไปตอกฝาโลง คสช. - ลั่นไม่เอานายกคนนอก ไม่ปล่อย คสช.ลงหลังเสือ จูบปากพรรคตระกูล คสช. ทุกสายพันธุ์

ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ใช่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งซ่อมเท่านั้น แต่จะเป็นโค้งสุดท้ายของรัฐบาล คสช. ที่ไปต่อไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากผลงานบริหารที่ผ่านมาล้มเหลวจนข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน บริหารจนเป็นหนี้เป็นสิบสิบล้านแล้วปล่อยให้ประชาชนต้องชดใช้ไปชั่วลูกชั่วหลาน เท่านั้นไม่พอ ยังสวาปามมูมมามจนไม่ว่าจะสำรวจดัชนีชี้วัดคอร์รัปชันสำนักไหน ก็ตกต่ำลงทุกปีและตกต่ำที่สุดในปีนี้จนชาวบ้านเอือมระอา แต่ถึงประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า พวกเขาก็ยังคงเล่นเกมการเมือง แตกแบงค์ร้อย แบงค์ยี่สิบ เพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีกัน สภาพตอนนี้ปั่นป่วนไปหมดจนหัวคะแนนยังเดินหนี ในสภา แกนนำ ส.ส.รัฐบาลวิ่งกันขาขวิด พยายามถามพรรคร่วมฝ่ายค้านว่าใครอยากย้ายข้างไปต่ออายุรัฐบาลบ้าง ดังนั้น ถ้าใครไม่ต้องการต่ออายุรัฐบาลนี้อีก วันที่ 30 มกราคม ตัดสินใจให้เด็ดขาด เลือก เพชร กรุณพล พรรคก้าวไกล เข้าไปตอกฝาโลงรัฐบาล คสช. แต่อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้งซ่อมยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พล.ประยุทธ์ จะยอมปรับ ครม. ตั้งพ่อค้าแป้งเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ แต่ก็ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ถ้าไม่ยอมแต่งตั้งก็กลัวพรรคแบงค์ยี่สิบจะยกมือคว่ำในสภา การเมืองแบบนี้ไม่เห็นหัวประชาชน เราจึงต้องออกมาส่งเสียงเพื่อบอกว่าเราไม่ยอมรับการเล่นการเมืองแบบนี้อีกแล้ว

“มีบางกระแสบอกว่า แม้แต่ผู้มีอำนาจบางฝ่ายก็รู้สึกเบื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยากเปลี่ยนนายกฯ เพราะใช้งานไม่ได้แล้ว จะบีบให้ลาออกแล้วหาคนใหม่ จับขั้วใหม่ อย่างน้อยก็เพื่อมางาบงบประมาณประจำปีก้อนใหม่ก่อนเลือกตั้ง อาจเป็นนายกคนนอกหน้าตาดี หรืออาจชื่อประวิตร พรรคก้าวไกลขอยืนยันตรงนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากตู่เป็นป้อม เปลี่ยนอนุพงษ์เป็นแป้ง พรรคก้าวไกลไม่เอาด้วยทั้งนั้น ต้องยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนอย่างเดียว นายกฯ แก้ขัดไม่เอา และในฐานะเลขาธิการพรรคก้าวไกล ขอสัญญาว่า เราจะไม่จับมือกับพรรคการเมืองตระกูล คสช.ทุกชนิด ไม่ว่าจะสายตู่ สายป้อม หรือสายแป้ง พรรคก้าวไกล จะไม่จูบปากใดๆ ทั้งสิ้น จะซื่อสัตย์กับพี่น้องประชาชนให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมให้ คสช. ลงจากหลังเสือแบบสบายๆ" ชัยธวัช กล่าว

ยืนหยัดสู้รถถัง - รัฐประหารเมื่อไหร่ "ก้าวไกล" ขอจับมือประชาชนร่างรัฐธรรมนูญใช้เอง-ย้ำเลือดเนื้อการต่อสู้ต้องมีความหมาย

ชัยธวัช กล่าวด้วยว่า ช่วงหลังเริ่มมีกระแสข่าวหวาดเสียว บางคนบอก พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ยอมยุบสภาง่ายๆ เพราะถ้ายุบ เลือกตั้งก็แพ้ถล่มทลาย จึงแว่วมาว่า อาจจะมีการลากรถถังมาแสดงพลังอีกครั้ง แต่ถ้ากลุ่มไหนลากรถถังมาฉีกรัฐธรรมนูญอีก ยืนยันว่า หัวหน้าพรรค เลขาธิการ และ ส.ส.พรรคก้าวไกล จะไม่หนีไปไหน จะยืนอยู่กับประชาชน จะสู้กับมันจนชัยชนะจะเป็นของประชาชน ถ้าฉีกรัฐธรรมนูญด้วยรถถังอีก ผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลจะจับมือกับประชาชนเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญเองแล้วประกาศใช้ หากต้องการพรรคแบบนี้ ต้องการผู้แทนราษฎรที่ยืนยันว่า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เราจะยึดอำนาจจากมันกลับมาแล้วคืนกลับให้เป็นของประชาชน อย่าเลือกด้วยความกลัว ไม่ต้องกลัวว่าพรรครัฐบาลจะกลับมาอีก ตนเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ประชาชนตาสว่างกันหมดและทนการบริหารของรัฐชุดนี้ไม่ได้แล้ว เราถูกหลอกให้เชื่องและปกครองด้วยความกลัวนานไปแล้ว ถึงเวลา เข้าคูหาแล้วถามหัวใจตัวเองว่าต้องการอนาคตแบบไหนแล้วลงคะแนน ถ้าต้องการการเมืองที่ซื่อตรง ตรงไปตรงมาต่อประชาชน เลือก เพชร กรุณพล เบอร์ 6 พรรคก้าวไกล

“ยืนยันอีกครั้งว่า เสียงของเราทุกคนมีความหมาย เป็นเสียงของความเปลี่ยนแปลง ขอให้ช่วยกันส่งเสียงว่า เราต้องการเดินไปสู่อนาคตแบบใหม่ หลายคนบอกว่าเราต้องชนะขาด ผมอยากบอกว่า ชัยชนะเด็ดขาดที่แท้จริงคือชัยชนะที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่ชัยชนะที่ไปแบ่งปันอำนาจชั่วครู่ชั่วคราว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงต้องเลือกพรรคก้าวไกลเพื่อไปเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก ชัยชนะของประชาธิปไตยจะต้องยกระดับ ประชาชนต้องไม่ยอมให้การต่อสู้ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อที่ผ่านมาถูกนำไปแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันหลังฉากอีกต่อไป เลือดเนื้อของประชาชนต้องมีความหมาย ขอให้เลือก เพชร กรุณพล เบอร์ 6 ให้ถล่มทลาย เลือกก้าวไกลเพื่อเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ของเราไปพร้อมๆกัน” ชัยธวัช กล่าว

'พิธา' ชวนประชาชนกาด้วยความหวัง-ก้าวข้ามความกลัว ลั่นไม่แคร์ยุบพรรค-รัฐประหารทำอะไรอุดมการณ์อนาคตใหม่ไม่ได้

ปิดท้าย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งของพรรคการเมือง แต่มันคือการเลือกตั้งของประชาชนทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ นี่คือการเลือกตั้งของพ่อแม่พี่น้องสังคมสูงวัย ที่บอกตนว่า 20 บาทต่อวัน 600 บาทต่อเดือนอยู่ไม่ได้แล้ว นี่คือการเลือกตั้งของพี่น้องผู้ประกอบการทุกคน ว่าไปต่อกับรัฐบาลแบบนี้ไม่ไหวแล้ว มันคือการเลือกตั้งของพ่อแม่ที่ลูกยังไปโรงเรียนไม่ได้ ที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาแบบนี้ นี่คือความพิเศษของการเลือกตั้งเลือกตั้งครั้งนี้ สำหรับประชาชนที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือก เพชร กรุณพล และพรรคก้าวไกล ตนขอขอบคุณและจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง สำหรับแรงสนับสนุนที่ทำให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคอันดับหนึ่งในการได้รับเงินอุดหนุนจาก กกต. 30 ล้านบาท และตนขอสัญญาว่าการเมืองไทยที่เปลี่ยนไปแล้วตลอด 3 ปีที่ผ่านมาจะเปลี่ยนแปลงต่อไปและเราจะสู้อยู่เคียงข้างประชาชนไม่มีวันถอยไปไหนแน่นอน แต่สำหรับพ่อแม่พี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ตนขอเรียกร้องกับทุกคน ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเลือกด้วยความหวัง ไม่ใช่ด้วยความกลัว ทุกวันนี้ความกลัวมีเยอะเกินไปแล้ว เราต้องเลือกด้วยความหวังว่าพ่อแม่เขาเราจะมีบำนาญถ้วนหน้าอย่างมีศักดิ์ศรี เลือกตั้งอย่างมีความหวังว่าไม่ว่าวิกฤตโควิดจะหนักหนาสักแค่ไหน ไม่ว่าวิกฤติดิจิทัลดิสรัปชั่นจะหนักแค่ไหน แรงงานต้องมีที่ยืนในสังคมไทยและค่าแรงจะต้องขึ้นตามเงินเฟ้อ เราต้องเลือกตั้งอย่างมีความหวัง ว่าระบบยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยยังมีความหวังอยู่

“ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของหัวจิตหัวใจ ไม่ใช่เรื่องคณิตศาสตร์ เราต้องเลือกด้วยความหวังว่าอนาคตของประเทศดีกว่านี้ได้ ไม่ใช่บอกว่าให้เลือกอีกคนหนึ่งเพราะจะทำให้อีกคนหนึ่งแพ้ ทุกคนต้องเลือกด้วยความหวัง ต้องเลือกด้วยอนาคต ว่าวันพรุ่งนี้มันจะดีกว่าวันนี้ได้ ไม่ใช่เลือกเพราะกลัวแพ้ ไม่ใช่เพราะกลัวรัฐประหาร มีรัฐประหารเมื่อไหร่หัวหน้าพรรคกกับเลขาพรรคก้าวไกล พร้อมกับ ส.ส.พรรคก้าวไกลทุกคนจะไปยืนอยู่หน้าสภา มันจะเอาปืนมายิงทุกคนก็ให้มันรู้ไป เขาบอกยุบพรรคเพราะอยู่ไม่เป็น ยุบพรรคแล้วไง ยุบอนาคตใหม่ไปแล้วเป็นอย่างไร ไม่สำเร็จอุดมการณ์ภารกิจยังถูกสานต่อ และสำหรับประชาชนที่ไม่เคยคิดจะเลือกตนและเพชร กรุณพล ผมขอสัญญาว่า อย่างไรก็ยังเป็นผู้แทนของทุกคนเช่นเดิม และผมจะซื้อใจท่านให้ได้ในวันใดวันหนึ่ง จะแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง จนเป็นผู้แทนราษฎรที่แท้จริงได้ในวันหนึ่ง เปลี่ยนความกลัวให้เป็นความหวัง เปลี่ยนคืนที่มืดมนของประชาชนให้มีความหวังขึ้น ซับน้ำตาของประชาชนไปดด้วยกัน" พิธา กล่าว

พลังประชารัฐ : 

อ้อนขอคะแนนเสียงจากผู้สูงวัย เขตหลักสี่-จตุจักร

ไทยพีบีเอส รายงานด้วยว่า วันเดียวกัน (28 ม.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นำทัพแกนนำพรรค และ ส.ส.ของพรรค ร่วมปราศรัยหาเสียงและให้กำลังใจ สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ หรือ มาดามหลี ผู้สมัคร ส.ส. กทม.เขตหลักสี่-จตุจักรพรรคพลังประชารัฐ ที่วิภาวดีพาเลซ พร้อมทั้งพบปะผู้สูงอายุในชุมชน

หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มา 7 ปี ให้ความสำคัญกับคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพให้อยู่ดีกินดี รวมทั้งผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีโครงการช่วยเหลือผู้สูงอายุและเพิ่มเงินสวัสดิการในการช่วยเหลือผู้สูงอายุมาอย่างต่อเนื่อง

พร้อมย้ำด้วยว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ได้มีปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค และยังคงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค ส่วนกระแสข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นเรื่องที่เขียนกันไปเอง และพรรคพลังประชารัฐ มุ่งมั่นที่จะเห็นประเทศชาติและสังคมมีความสงบสุข และสันติปราศจากความขัดแย้ง

สรัลรัศมิ์ ขอคะแนนเสียงจากผู้สูงอายุด้วยเสียงสั่นเครือ ย้ำว่า จะสานต่อการทำงานจาก สิระ เจนจาคะ ช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เหมือนสมัยที่ สิระ เป็น ส.ส.และดูแลประชาชนมาหลายปีในช่วงที่ประสบปัญหา ทั้งสถานการณ์โควิด-19 และปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ

สิระ ย้ำว่า ทำงานเพื่อประชาชนในฐานะตัวแทนประชาชนในเขตหลักสี่-จตุจักร โดยไม่เคยเกรงกลัวใดๆ และถ้าชาวหลักสี่-จตุจักร เปิดใจเลือกมาดามหลี เข้าไปทำงานในสภาฯ ก็จะขับเคลื่อนงานต่อไปในฐานะ ส.ส.และโดยส่วนตัวก็จะทำงานนอกสภาฯ ดูแลประชาชนต่อไป

กล้า : 

หน.พรรคประกาศปกป้องสถาบันฯ ลั่นต้องการเข้าสภาฯ​ ร่วมหนุนรัฐบาล​ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ 

เดลินิวส์ รายงานว่า เวลา 18.00 น. วันที่ 28 ม.ค. ที่สนามกีฬาการเคหะท่าทราย เขตหลักสี่ พรรคกล้า​ จัดการปราศรัยใหญ่หาเสียงให้กับ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 9 จตุจักร-หลักสี่ กรุงเทพมหานคร พรรคกล้า ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งซ่อม​ ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 9 จตุจักร-หลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยมีแกนนำพรรคและบุคคลจากหลากหลายวงการร่วมเวทีปราศรัย

กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า​ ตนรู้สึกตื้นตันใจที่แม้เราเป็นพรรคใหม่และเป็นพรรคที่ยังเล็กอยู่ ก็ยังมีประชาชนให้การสนับสนุนอย่างมาก​ ทั้งนี้ เราชูเรื่องการเมืองคุณภาพซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ จะทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้น ทั้งนี้ ความเชื่อของพวกเรานั้น มีเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือเรื่องการมีตัวตนในความเป็นไทย ซึ่งตนขอบอกคนรุ่นใหม่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ล้าสมัย โดยในส่วนของสถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นที่พึ่งทางใจและเป็นร่มเงาให้กับประชาชนทั้งแผ่นดิน สถาบันพระมหากษัตริย์จึงต้องได้รับการปกป้องอย่างถูกวิธีเพื่อผลในระยะยาวที่มีความยั่งยืน ซึ่งพรรคกล้ายึดมั่นชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราไม่มีวันสนับสนุนการใช้สถาบันฯ มาเป็นประเด็นทางการเมือง และการที่บางพรรคพยายามนำการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มาใช้เป็นเหมือนโพลวัดคะแนนนิยมทางการเมืองว่าใครรักหรือไม่รักสถาบันฯ​ นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง 

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวอีกว่า เราไม่เห็นด้วยกับการนำเรื่องของสถาบันฯ เป็นเรื่องยุทธศาสตร์การเมืองไม่ว่าจะโดยฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา ทั้งนี้ยอมรับว่าขบวนการล้มสถาบันฯ มีอยู่จริง เราจึงต้องต่อสู้และยึดมั่นปกป้องสถาบันฯ ให้มาก รวมถึงต้องหยุดเติมฟืนลงในกองไฟ เพราะประเทศเราเสียโอกาส รวมถึงประชาชนได้รับความเดือดร้อนและมีความแตกแยกมามากพอแล้ว ตนจึงอยากบอกถึงนักการเมืองทุกคนว่าการได้มาซึ่งอำนาจบนพื้นฐานของความแตกแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเรื่องสถาบันฯ มาเป็นประเด็นทางการเมืองนั้น มันไม่คุ้ม  จึงขอให้หันมาหาช่วยกันทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และร่วมกันพัฒนาประเทศดีกว่า

กรณ์ กล่าวว่า แม้สนามเลือกตั้งซ่อม​ ส.ส.หลักสี่-จตุจักร​ ครั้งนี้จะไม่ไช่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทั้งหมด แต่ถือเป็นก้าวสำคัญและก้าวแรกของการเมืองที่มีคุณภาพเข้าไปในสภาฯ และพรรคกล้ามีเจตนารมณ์ตั้งใจจะเข้าไปในสภาฯ​ เพื่อเป็นฝ่ายรัฐบาล พร้อมสนับสนุนทุกเรื่องที่​ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และรัฐบาลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ทำให้ประเทศก้าวหน้าพัฒนา เราพร้อมสนับสนุน ทั้งนี้ หากใครยังไม่มั่นใจในพรรคกล้า ก็ขอให้มั่นใจในตัว อรรถวิชช์  แม้เราจะเสี่ยงกับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ก็ยอมรับกับผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้ามีการทุจริต เราไม่ยอมเช่นกัน 

ไทยภักดี : 

อุ๊-หฤทัย ยันพรรคไม่ได้ตั้งมาเพื่อ ‘โหนเจ้า’ แต่มาต่อกรกับพรรคที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสั่นคลอนสถาบันฯ

The Momentum รายงานการปราศรัยของพรรคไทยภักดี ว่า นำโดย  วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี จัดเวที ‘ไทยภักดี Special’ ปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้าย ก่อนสู้ศึกเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่-จตุจักร ที่สนามกีฬาเสนานิคม 2 โดยพรรคไทยภักดีได้ส่ง พันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ เป็นผู้สมัคร ส.ส. ตัวแทนพรรค

ส่วนไฮไลต์อยู่ที่ อุ๊-หฤทัย ม่วงบุญศรี ผู้สนับสนุนพรรคไทยภักดี ได้ขึ้นมาอภิปรายถึงแนวคิดทางการเมืองของตนในฐานะพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย ที่ต้องสามารถพูดคุยกันได้อย่างเสรี แม้จะมีความเห็นที่ต่างกัน พร้อมติถึงกระแสสังคมในปัจจุบัน ที่ไม่สามารถเปิดเผยมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างกันได้ เพราะจะถูกโจมตีและบูลลีอยู่เสมอ

“สังคมไทยจะเกิดอะไรขึ้น เรามักได้ยินคำว่าพรรคการเมืองประชาธิปไตย เขาเป็นพรรคของประชาชน เขาชูสามนิ้วใส่พวกเรา เหยียดพวกเรา ดูถูกพวกเรา ทั้งที่เราเคยขับไล่เผด็จการมาสำเร็จไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว พวกเขารู้หรือเปล่าว่าเผด็จการคือการครอบงำ การกินรวบประเทศ โดยนายทุนที่ผูกขาดประเทศ เขาเรียกว่าพวกที่ทำธุรกิจทางการเมือง

“สุดท้ายกลุ่มคนพวกนี้ก็ไปก่อกวน ก่อตั้งม็อบ แบ่งคนเป็นฝ่าย ปั่นป่วนประเทศ และที่สำคัญคือพยายามยัดเยียดว่าประเทศไทยไม่มีความเป็นประชาธิปไตย และพยายามดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงในการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญของไทย ซึ่งเป็นเรื่องน่าสงสัยว่ามีองค์กรต่างประเทศอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ซึ่งหากประเทศไทยต้องใช้รัฐธรรมนูญที่มีองค์ต่างประเทศอยู่เบื้องหลัง แบบนี้จะเรียกว่าเป็นการเสียอธิปไตยหรือไม่ แบบนี้ไม่เรียกว่าการขายชาติหรือ” หฤทัย กล่าว พร้อมระบุว่า ในฐานะที่ตนศรัทธา นายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่จะมาแก้ไขปัญหานักการเมืองคอร์รัปชันที่ทำธุรกิจทางการเมืองเข้ามาตักตวงผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง ตนเชื่อว่าพรรคไทยภักดีไม่ได้ก่อตั้งมาเพื่อ ‘โหนเจ้า’ แต่มาเพื่อต่อกรกับพรรคที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้แบ่งแยก อีกทั้งยังได้เสนอแนะวิธีแก้ปัญหาสำหรับกลุ่มคนที่ไม่พึงพอใจการอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท