Skip to main content
sharethis

ผบ.ตร. สั่งตำรวจจับตานัดแต่งชุดดำ 28 ก.ค.นี้ ย้ำให้เฝ้าระวัง ย้ำหากพบฝืนกฎหมายให้นำมาประกอบดำเนินคดี ขณะที่ย้อนดีคดีแต่งชุดดำสหพันธรัฐไทปี 61 ศาลยกฟ้อง ชี้การใส่เสื้อดำไม่ได้ทำให้ประชาชนละเมิดกฎหมายแผ่นดิน อีกคดีศาลระบุเป็นเสรีภาพที่ประชาชนจะสวมเสื้อชนิดใด สีใดก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามไว้

27 ก.ค.2565 ไทยรัฐออนไลน์ และ INN รายงานตรงกันว่า วานนี้ (26 ก.ค.) เวลา 14.00 น. ที่ห้องศรียานนท์ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมบริหาร ตร. ครั้งที่ 6/2565 โดยมี จตช. รอง ผบ.ตร. ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผบช. และผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมฯ โดยมีวาระที่น่าสนใจ ผบ.ตร.ได้ชื่นชมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ที่ควบคุมสถานการณ์เหตุชายคลุ้มคลั่งใช้อาวุธระเบิดจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน บริเวณปากซอยชุมชนเทพารักษ์ 4 ถ.หลังศูนย์ราชการ เขตเทศบาลนครขอนแก่น เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ไว้ได้ โดยไม่เกิดความสูญเสียเกิดขึ้น การปฏิบัติเป็นไปตามยุทธวิธีตำรวจ โดยมีเพียงเล็กน้อยที่ทาง ผบ.ตร.ได้มีการแนะนำเรื่องการปิดล้อมพื้นที่ ส่วนกรณีในวันที่ 28 ก.ค.นี้ ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ 10 พบว่าได้มีการนัดหมายกันผ่านทางเพจเฟซบุ๊กหลายเพจและให้มีการแต่งกายไม่เหมาะสม(แต่งชุดดำ) ที่ประชุมได้กำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่ช่วยกันเฝ้าระวังและสอดส่องดูแล กรณีพบการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายให้นำมาประกอบการพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ในวันที่ 15-17 ส.ค.นี้ จะมีการจัดสัมมนาของกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี อาญา ที่บางละมุง จ.ชลบุรี จึงขอให้ทุกส่วนรวบรวมปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการปฏิบัติของการสอบสวน กฎระเบียบคำสั่งที่เกี่ยวกับคดีและไม่เกี่ยวกับคดีที่ควรปรับปรุงแก้ไข โดยจะพยายามแก้ไขกฎระเบียบเพื่อให้นำมาปฏิบัติได้เป็นปัจจุปันมากที่สุด

อนึ่ง เมื่อปี 61 เจ้าหน้าที่ทหารเคยจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่แต่งชุดดำที่มีสัญลักษณ์ธงสหพันธรัฐไท อย่างไรก็ตามต่อมาปี 63 ศาลอาญายกฟ้องคดี ม.116 จำเลยสหพันธรัฐไท กรณีใส่เสื้อดำกิน KFC ที่เซ็นทรัล รามอินทรา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2561 โดยศาลชี้การใส่เสื้อดำไม่ได้ทำให้ประชาชนละเมิดกฎหมายแผ่นดิน แต่ลงโทษฐานเป็นอั้งยี่จำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท อย่างไรก็ตามจำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษจำคุกเหลือ 1 ปี ให้รอลงอาญา 2 ปี และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง และบำเพ็ญประโยชน์รวม 24 ชั่วโมง ส่วนคดีที่ จ.เชียงใหม่ ศาลยกฟ้องเช่นกัน ระบุเป็นเสรีภาพที่ประชาชนจะสวมเสื้อชนิดใด สีใดก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามไว้ แม้เคยฟังรายการสหพันธรัฐ แต่ไม่ได้ร่วมจัดรายการ ชักชวนให้ประชาชนออกมาต่อต้านจนถึงจะทำให้เกิดความปั่นป่วนและความไม่สงบ และไม่มีพฤติการณ์ก่อความรุนแรง จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดผิดฐานยุยงปลุกปั่นและเป็นอั้งยี่

รายละเอียดคำพิพากษา เมื่อ ก.ย.2563 ซึ่งศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานในคดีที่ คดีจำเลยสามราย ได้แก่ แดนศักดิ์, “อัมพร” (นามสมมติ) และภานุ ซึ่งสวมเสื้อดำไปบริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2561 ตามการนัดหมายของกลุ่มสหพันธรัฐไท 

ดังนี้

ศาลอ่านคำพิพากษาโดยเริ่มจากการอ่านฟ้องของโจทก์ โดยโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามว่า ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีการดำเนิน มีชื่อว่า “องค์การสหพันธรัฐไท” มีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่ระบอบปกครองแบบสหพันธรัฐมีประธานาธิบดีเป็นประมุข 

อีกทั้งจำเลยกับพวกได้ร่วมกันเคลื่อนไหวปลุกระดมสมาชิกและประชาชนทั่วไปผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ โปรแกรมเฟซบุ๊ก โปรแกรมไลน์ ยูทูป ชักชวนสมาชิกแนวร่วมและประชาชนทั่วไปที่บริเวณห้างสรรพสินค้าจังหวัดเชียงใหม่ ให้ออกมาต่อต้านล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาล และต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยมีการชักชวนสมาชิกแนวร่วมที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ศาลพิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในวันดังกล่าว จำเลยทั้งสาม ได้เดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ โดยจำเลยที่ 1 (แดนศักดิ์) สวมเสื้อดำ มีตราธงสัญลักษณ์สหพันธรัฐไท จำเลยที่ 2 (อัมพร) สวมเสื้อสีดำแขนสั้น กางเกงขาสั้นสีดำ และจำเลยที่ 3 (ภานุ) สวมเสื้อสีดำ ลายจตุคามรามเทพ มีเสื้อคลุมสีเทา

พยานโจทก์ พ.ต.ท.แทน ไชยแสง และพ.ต.ท.เสวก บุญจันทร์ เบิกความว่าองค์กรสหพันธรัฐไทมีการจัดรายการโดยแกนนำ 4 คน คือชูชีพ ชีวสุทธิ์ ,วัฒน์ วรรณยางกูร, กฤษณะ ทัพไทย หรือสหายยังบลัด, วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ โดยมีจุดมุ่งหมายเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่ระบอบปกครองแบบสหพันธรัฐมีประธานาธิบดีเป็นประมุข แบ่งประเทศออกเป็น 10 มลรัฐ โดยมีการออกแบบธงสัญลักษณ์, จัดทำเสื้อ ในระหว่างวันที่ 2-4 ธ.ค. 2561 มีการจัดรายการปลุกระดมทางยูทูบ, ไลน์ ให้สมาชิกกลุ่มสวมเสื้อสีดำและติดธงสัญลักษณ์มารวมตัวกันในวันที่ 5 ธ.ค. 2561 เพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ 

ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ขององค์กรดังกล่าวมีลักษณะเป็นคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการ และมีความมุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเป็นการขัดต่อบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ และมาตราที่ 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

จากคำให้การในชั้นสอบสวน จำเลยทั้งสามยอมรับว่าฟังรายการทางยูทูปขององค์กรสหพันธรัฐไท โดยจำเลยที่ 3 เบิกความว่าฟังรายการเพื่อศึกษาแนวคิด ไม่ได้เชื่อตามที่รายการบอก และไปในสถานที่เกิดเหตุเพื่อสังเกตการณ์ว่าจะมีคนสวมเสื้อสีดำมาตามที่รายการบอกหรือไม่ แต่ไม่พบใครสวมสีเสื้อดำในวันดังกล่าว สอดคล้องกับจำเลยที่ 2 ซึ่งบอกว่าไปซื้อของและไม่พบใครสวมเสื้อดำเช่นกัน ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่าไปดูเหตุการณ์ 

อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์จัดรายการ แจกใบปลิว หรือเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับสหพันธรัฐ และมีพฤติการณ์เป็นสมาชิกกลุ่มดังกล่าว ทั้งจากคำเบิกความของพยานโจทก์ พ.ต.ท.ไพบูลย์ นามทอง และ พ.ต.ต.แทน ไชยแสง ยังไม่พบข้อมูลว่าทั้งสามเป็นสมาชิก หรือติดต่อกับแกนนำสหพันธรัฐ และไม่มีหลักฐานว่าทั้งสามได้ติดต่อกันหรือรู้จักกันมาก่อน จึงไม่ถือว่าทั้งสามมีความเป็นสมาชิกของกลุ่ม พยานหลักฐานจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์เป็นอั้งยี่

ในส่วนความผิดฐานยุยงปลุกปั่น จำเลยทั้งสามสวมเสื้อสีดำ ในวันเกิดเหตุ ตามภาพถ่ายที่โจทก์นำมาแสดง แม้ทั้งสาม รับว่าเคยฟังรายการสหพันธรัฐ แต่ไม่ปรากฎว่าได้มีการร่วมจัดรายการ ชักชวนให้ประชาชนออกมาต่อต้านจนถึงจะทำให้เกิดความปั่นป่วนและความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และไม่มีพฤติการณ์ก่อความรุนแรง 

ในส่วนที่ พ.ต.ต แทน เบิกความว่าระหว่างวันที่ 2-4 ธ.ค. 2561 มีการเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรตินั้น ก็ไม่ปรากฎหลักฐานว่าพวกจำเลยมีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และยังเป็นเสรีภาพที่ประชาชนจะสวมเสื้อชนิดใด สีใดก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามไว้ พยานหลักฐานจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116

พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหมดจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

อ่านรายละเอียด คำเบิกความพยานโจทก์และข้อสังเกตจากการถามค้าน ได้ที่เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน https://www.tlhr2014.com/?p=21369

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net