Skip to main content
sharethis

 

  • พรรคก้าวไกล แฉกรณีประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม เปลี่ยนเกณฑ์กลางอากาศปี 63 ก่อนเปิดประมูลใหม่ปี 65 ตั้งเกณฑ์กีดกัน BTS ออกจากการแข่งขัน-เอื้อประโยชน์ BEM จากการเปิดซองเงื่อนไขประมูลล่าสุดของ BTS พบว่าเกิดส่วนต่างกว่า 68,000 ล้านบาทที่ประชาชนต้องแบกรับ จ่อเรียก BTS-BEM-รฟม. เข้าชี้แจงอนุ กมธ. วันจันทร์ที่ 3 ต.ค. นี้ กำลังผลักดันให้มีไลฟ์สด โปรดติดตาม
  • สามารถ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ผลพวงจากการประมูลหาเอกชนให้ร่วมลงทุนถึง 2 ครั้ง อาจทำให้ รฟม. ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นถึง 6.8 หมื่นล้าน 
  • วรภพ ก้าวไกล แถลงข้อกังวลต่อวิกฤติค่าไฟแพง พร้อมย้ำข้อเท็จจริงว่าค่าไฟแพงเกิดขึ้นจากการที่รัฐมีนโยบายเอื้อประชาชนกลุ่มทุนพลังงาน ทั้งประกันกำไรให้โรงไฟฟ้าที่ไม่เดินเครื่อง กันโควต้าก๊าซอ่าวไทยให้กลุ่มทุนก่อนประชาชน และการเก็บค่าไฟอัตราคงที่กิจการขนาดใหญ่ 

 

22 ก.ย.2565 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานต่อสื่อมวลชนว่า สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีการประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าผู้ชนะคือบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เนื่องจากคู่แข่งคือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ BTS ถูกกีดกันไม่ให้เข้าประมูล ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายของรัฐบาลกว่า 68,000 ล้านบาท

สุรเชษฐ์ ระบุว่า ย้อนกลับไปในการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มเมื่อปี 2563 รฟม. ภายใต้การกำกับดูแลของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หลังออกประกาศเชิญชวนได้มีเอกชนยื่นซองตาม ซึ่งมีบริษัทเอกชนที่ดำเนินกิจการเดินรถไฟฟ้า 2 เจ้าใหญ่ในประเทศไทย คือ BTS และ BEM เข้าร่วมประมูล แต่ที่ไม่ปกติก็คือ รฟม. มีการเปลี่ยนเกณฑ์การให้คะแนนระหว่างการพิจารณากลางอากาศ อย่างมีนัยสำคัญต่อการพลิกผลแพ้ชนะ และนำไปสู่การฟ้องร้องโดย BTS ต่อ รฟม. หลายคดี คดียังคงคาราคาซังอยู่ในศาล แต่ รฟม. กลับเร่งรีบวิธีเปิดประมูลใหม่รอบ 2 โดยที่คดีเดิมข้อสรุปยังไม่มีความชัดเจน

“การประมูลรอบที่ 2 นี้มีข้อน่ากังขาหลายประการ มีการล็อกเสป็คด้วยการนำเอาผู้รับเหมาก่อสร้าง มาเป็นคู่เทียบการเดินรถโดยเสนอราคาที่สูงเกินราคากลาง จนกล่าวได้ว่ามีการกีดกันการแข่งขันไม่ให้ BTS เข้าร่วม จนไม่เกิดการแข่งขันกันจริง ๆ นอกจากนี้ ยังมีความเร่งรีบผิดปกติในขั้นตอนการพิจารณาซองที่ 2 :ข้อเสนอด้านเทคนิค 11 กล่อง ซึ่งปกติต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่ รฟม. กลับพิจารณาเสร็จภายใน 10 วันเท่านั้น” สุรเชษฐ์กล่าว

สุรเชษฐ์กล่าวต่อว่าจากข้อมูลเชิงลึกที่ได้มา หากไม่มีการเปลี่ยนเกณฑ์ระหว่างการประมูลในปี 2563 ในรอบแรก BTS จะเป็นผู้ชนะโดยรัฐอุดหนุนเพียง 9,675 ล้านบาทเท่านั้น แต่ด้วยเงื่อนไขการประมูลในปัจจุบัน กลายเป็นว่ารัฐจะต้องอุดหนุนเงินให้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มแก่ BEM คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสูงถึง 78,288 ล้านบาท นำไปสู่คำถามสำคัญ ว่าส่วนต่าง 68,613 ล้านบาทหายไปไหน และเหตุใดประชาชนต้องมาแบกความรับผิดชอบนี้

สุรเชษฐ์ยังระบุด้วย ว่าตัวเองในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จึงจะเชิญทั้ง BTS และ รฟม. มาชี้แจงในที่ประชุมอนุกรรมาธิการ ในวันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม เวลา 14:00 โดยจะขออนุญาตที่ประชุมทำการ Live สดการชี้แจงในครั้งนี้ด้วย และขอเชิญประชาชนทุกคนร่วมติดตามประเด็นนี้ไปด้วยกัน

“เราอยากให้การประมูลเป็นไปโดยไม่ล้าช้า แต่เราก็อยากตรวจสอบให้มั่นใจด้วยว่าราคาชนะประมูลที่ BEM จะได้ไปเหมาะสมหรือไม่ ขอให้ประชาชนทุกคนร่วมกันติดตาม อย่าปล่อยให้ รฟม. เร่งดำเนินการอย่างน่าเกลียด ดันผ่าน ครม. ก่อนที่ความจริงจะกระจ่าง อย่าให้เงินกว่า 6 หมื่นล้านบาทจากภาษีประชาชนลอยไปเข้ากระเป๋านายทุน ซึ่งผมไม่อาจทราบได้ว่าจะมีเงินทอนกลับเข้ามาให้ข้าราชการ รัฐมนตรีบางคน หรือพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่” สุรเชษฐ์กล่าว

รองหัวหน้าประชาธิปัตย์ ชี้ผลพวงจากการประมูลถึง 2 ครั้ง อาจทำให้ รฟม. ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นถึง 6.8 หมื่นล้าน 

ขณะที่ สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึงประเด็นนี้ด้วยว่า ผลพวงจากการประมูลหาเอกชนให้ร่วมลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตก และเดินรถตลอดสายทั้งช่วงตะวันตกและตะวันออกซึ่งต้องประมูลถึง 2 ครั้ง อาจทำให้ รฟม. ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นถึง 6.8 หมื่นล้าน เงินจำนวนมหาศาลนี้ซึ่งเป็นภาษีของพวกเราสามารถนำไปสร้างรถไฟฟ้าได้อีกสายอย่างสบายๆ น่าเสียดาย 

โดยมีรายละเอียดดังนี้

สุดแสนเสียดาย ! ถ้าไม่ล้มประมูลสายสีส้มครั้งที่ 1 จะมีเงินหลือ 6.8 หมื่นล้าน ? สร้างรถไฟฟ้าได้อีกสาย สบายๆ

ผลพวงจากการประมูลหาเอกชนให้ร่วมลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตก และเดินรถตลอดสายทั้งช่วงตะวันตกและตะวันออกซึ่งต้องประมูลถึง 2 ครั้ง อาจทำให้ รฟม. ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นถึง 6.8 หมื่นล้าน เงินจำนวนมหาศาลนี้ซึ่งเป็นภาษีของพวกเราสามารถนำไปสร้างรถไฟฟ้าได้อีกสายอย่างสบายๆ น่าเสียดายมั้ยครับ ?

1. เงินก้อนใหญ่ 6.8 หมื่นล้าน คิดมาได้อย่างไร ?

1.1 การประมูลครั้งที่ 1

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ประกาศเชิญชวนเอกชนให้ร่วมลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) และเดินรถตลอดสายทั้งช่วงตะวันตกและตะวันออก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) แต่ในระหว่างการประมูล รฟม. ได้เปลี่ยนเกณฑ์ประมูล ทำให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ฟ้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองกลาง ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาว่า เกณฑ์ประมูลเดิมชอบด้วยกฎหมายแล้ว และการแก้ไขเกณฑ์ประมูลนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ รฟม. ไม่เห็นด้วย จึงเดินหน้าสู้ด้วยการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ยังไม่ทันที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งลงมา รฟม. ได้ชิงล้มการประมูลไปก่อน

การประมูลครั้งที่ 1 มีเอกชนยื่นข้อเสนอ 2 ราย ประกอบด้วย (1) บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC และ (2) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM

แม้การประมูลครั้งที่ 1 จะถูกล้มไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อเร็วๆ นี้ BTSC ได้ขอเอกสารที่ยื่นประมูลคืนจาก รฟม. และได้เปิดซอง “ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน” ต่อหน้าสื่อมวลชน พบว่า BTSC ได้เสนอเงินตอบแทนให้ รฟม. 70,144.98 ล้านบาท และขอรับเงินสนับสนุนค่าก่อสร้างจาก รฟม. 79,820.40 ล้านบาท เป็นผลให้ รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BTSC 9,675.42 ล้านบาท หลังจากหักเงินตอบแทนที่ BTSC เสนอให้ รฟม. แล้ว (79,820.40-70,144.98)

เงินสนับสนุนจำนวน 9,675.42 ล้านบาทนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับเงินที่ รฟม. จะต้องสนับสนุนผู้ชนะการประมูลครั้งที่ 2 คือ BEM ทำให้ผู้ติดตามการประมูลแทบล้มทั้งยืน ! เพราะต่ำกว่ามาก

1.2 การประมูลครั้งที่ 2

หลังจากการประมูลครั้งที่ 1 ถูกล้มไปแล้ว รฟม. ได้ประกาศเชิญชวนเอกชนให้ร่วมลงทุนครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ปรากฏว่ามีเอกชนยื่นข้อเสนอ 2 ราย ประกอบด้วย (1) BEM และ (2) ITD Group ซึ่งประกอบด้วย ITD และ Incheon Transit Corporation หรือ ITC ผู้เดินรถไฟฟ้าจากเกาหลี ส่วน BTSC ไม่สามารถยื่นข้อเสนอได้ เพราะหาผู้รับเหมามาเป็นผู้ร่วมยื่นข้อเสนอไม่ได้ อาจเป็นที่สงสัยว่าทำไมในการประมูลครั้งที่ 1 BTSC จึงสามารถหาผู้รับเหมาได้ แต่ครั้งที่ 2 กลับหาไม่ได้ ขอตอบว่า มีการปรับแก้คุณสมบัติของผู้รับเหมาให้ผ่านเกณฑ์ยากขึ้นกว่าครั้งที่ 1

ก่อนหน้าที่ BTSC จะเปิดซอง “ข้อเสนอการลงทุนและผลตอบแทน” ของตนเองนั้น รฟม. ได้เปิดซองดังกล่าวของ BEM และของ ITD Group พบว่า รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BEM จำนวน 78,287.95 ล้านบาท (หลังจากหักเงินตอบแทนที่ BEM เสนอให้ รฟม. แล้ว) และให้แก่ ITD Group จำนวน 102,635.66 ล้านบาท (หลังจากหักเงินตอบแทนที่ ITD Group เสนอให้ รฟม. แล้ว) ส่งผลให้ BEM เป็นผู้ชนะการประมูล เนื่องจาก รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนน้อยกว่านั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม รฟม. ไม่ได้เปิดเผยจำนวนเงินตอบแทนที่ BEM เสนอให้แก่ รฟม. และจำนวนเงินที่ BEM ขอรับการสนับสนุนค่าก่อสร้างจาก รฟม. เพียงแต่เปิดเผยจำนวนเงินที่ รฟม. จะต้องสนับสนุนให้แก่ BEM หลังจากหักเงินตอบแทนที่ BEM เสนอให้ รฟม. แล้วเท่านั้น

1.3 ส่วนต่างของเงินสนับสนุนจาก รฟม. ระหว่างการประมูลครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2

กรณีไม่ล้มการประมูลครั้งที่ 1 อาจเป็นไปได้ที่ BTSC จะชนะการประมูล ส่งผลให้ รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนเพียง 9,675.42 ล้านบาทเท่านั้น แต่กรณีล้มการประมูลครั้งที่ 1 และเปิดการประมูลครั้งที่ 2 ทำให้ รฟม. ต้องให้เงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นเป็น 78,287.95 ล้านบาท หรือให้เงินสนับสนุนมากขึ้นถึง 68,612.53 ล้านบาท (78,287.95-9,675.42)

2. เงินจำนวน 6.8 หมื่นล้าน สร้างรถไฟฟ้าได้ยาวแค่ไหน ?

เมื่อเปรียบเทียบกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายอื่นของ รฟม. ทั้งรถไฟฟ้ารางหนัก (Heavy Rail) และรถไฟฟ้ารางเบา (Light Rail) ประเภทรางเดี่ยวหรือโมโนเรล (Monorail) โดยรถไฟฟ้ารางหนักจะขนผู้โดยสารได้มากกว่ารถไฟฟ้าโมโนเรล พบว่า รฟม. ใช้เงินลงทุนในสายต่างๆ ดังนี้

(1) สายสีม่วงเหนือ ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้ารางหนัก ระยะทาง 23 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุน 62,902.96 ล้านบาท คิดเป็นเงินลงทุนเฉลี่ยกิโลเมตรละ 2,735 ล้านบาท

(2) สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าโมโนเรล ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุน 53,490 ล้านบาท คิดเป็นเงินลงทุนเฉลี่ยกิโลเมตรละ 1,550 ล้านบาท

(3) สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าโมโนเรล ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุน 51,810 ล้านบาท คิดเป็นเงินลงทุนเฉลี่ยกิโลเมตรละ 1,704 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาทั้งสายสีชมพูและสายสีเหลืองรวมกัน (ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าโมโนเรลเหมือนกัน) พบว่าใช้เงินลงทุนเฉลี่ยกิโลเมตรละ 1,622 ล้านบาท

ดังนั้น เงินที่ รฟม. ต้องสนับสนุนค่าก่อสร้างสายสีส้มตะวันตกเพิ่มขึ้นถึง 68,612.53 ล้านบาทนั้น สามารถนำไปสร้างรถไฟฟ้าได้เป็นระยะทางดังนี้

(1) กรณีรถไฟฟ้ารางหนักดังเช่นสายสีม่วงเหนือ จะสร้างได้เป็นระยะทาง 25 กิโลเมตร

(2) กรณีรถไฟฟ้าโมโนเรลดังเช่นสายสีชมพูหรือสายสีเหลือง จะสร้างได้เป็นระยะทาง 42 กิโลเมตร

รถไฟฟ้าระยะทางดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้ารางหนักหรือรถไฟฟ้าโมโนเรล จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในการเดินทางให้พวกเราได้ไม่น้อย

หมายเหตุ : ข้อสงสัยดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อกังขาที่ผมและประชาชนทุกคนชอบที่จะต้องขอคำชี้แจงให้สิ้นสงสัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยเจตนาที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเท่านั้นเอง

โต้ กพพ. ชี้ค่าไฟ 4 บาทต่อหน่วยยังเป็นไปได้ แค่รัฐเลิกประเคนประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงาน

ทีมสื่อพรรคก้าวไกล ยังรายงานด้วยว่า วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวแสดงความกังวลต่อค่าไฟที่แพงขึ้น พร้อมตอบโต้คำแถลงของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ออกมาระบุว่าคนไทยจะไม่ได้เห็นค่าไฟฟ้า 4 บาทต่อหน่วยอีกแล้ว

วรภพระบุว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาการขึ้นค่า Ft 92 สตางค์ ทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มโดยเฉลี่ยถึง 5 บาทต่อหน่วย กลายเป็นค่าไฟที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ และแม้ที่ผ่านมาจะมีการอนุมัติงบกลาว 9 พันล้านบาทออกมาช่วยเหลือประชาชน แต่ก็เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งในอนาคตประชาชนจะต้องมาเป็นผู้แบกรับภาระดังกล่าวนี้อย่างแน่นอน

แม้จะมีการมองปัจจัยหลักของปัญหาไปอยู่ที่วิกฤติพลังงานจากสงครามยูเคนน-รัสเซีย แต่ตัวเองขอยืนยันอีกครั้งว่าต้นตอจริงๆ เกิดจากนโยบายของรัฐบาลที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานอยู่เหนือประโยชน์ของประชาชน

ประการแรก มาจากการที่ทุกหน่วยไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่าย เป็นการจ่ายเข้าโดยตรงให้กลุ่มทุนโรงไฟฟ้าเอกชนที่ไม่ได้เดินเครื่อง ถึง 24 สตางค์ต่อหน่วย เหตุจากการที่รัฐไปทำสัญญาประกันกำไรค่าความพร้อมจ่ายให้โรงไฟฟ้าเอกชนมากเกินความต้องการใช้ไปถึง 54% และกลายมาเป็นต้นทุนที่รัฐนำมาคิดกับประชาชนอีกทีหนึ่ง และนอกจากนี้ ประชาชนยังต้องจ่ายค่าผ่านท่อก๊าซ ที่ไม่มีก๊าซผ่านเพราะโรงไฟฟ้าไม่ได้เดินเครื่อง ให้กับกลุ่มทุน ปตท. อีกต่อหนึ่ง โดยรัฐบาลไม่มีความพยายามใดเลยในการเจรจาขอปรับลดแต่อย่างใด

นอกจากนี้ แม้กำลังการผลิตไฟฟ้าจะมีมากเกินความต้องการไปแล้วถึง 17,000 MW แต่ที่ผ่านมากลับมีการรีบอนุมัติทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า PPA กับ 5 เขื่อนในประเทศลาวเพิ่มอีก 3,900 MW โดยที่ไม่รอแผน PDP ฉบับใหม่ ทึ่จะพิจารณาถึงความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ซึ่งการดำเนินการอย่างเร่งรีบนี้จะย้อนกลับมาเป็นภาระให้กับประชาชนในอยาคตต่อเนื่องอย่างแน่นอน

ประการต่อมา จริงอยู่ที่ประชาชนจ่ายค่าไฟฟ้าแพง ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนก๊าซนำเข้า 10 บาทต่อหน่วย แต่หากพิจารณาถึงปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า จะเห็นว่าอยู่ที่ 2,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่กำลังการผลิตก๊าซจากอ่าวไทยนั้นมีมากถึง 2,756 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้าให้กับทั้งประเทศ เพียงแต่นโยบายของรัฐบาล ได้อนุญาตให้กลุ่มทุนพลังงานนำก๊าซจากอ่าวไทยที่ไปขายเป็นเชื้อเพลิงให้กับอุตสาหกรรมได้ก่อนถึง 811 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และนำไปขายเป็นวัตถุดิบปิโตรเคมีในเครือ ปตท. อีก 804 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน รวมกัน 1,615 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือ 59% ของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ถูกนำไปมอบให้เข้ากลุ่มทุนพลังงานโดยตรง ก่อนนำมาผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนใช้

ประการสุดท้าย มาจากนโยบายที่ให้ครัวเรือนจ่ายค่าไฟฟ้าแพงกว่ากิจการขนาดใหญ่ โดยเก็บค่าไฟฟ้าจากครัวเรือนเป็นอัตราก้าวหน้า หรือยิ่งใช้มากยิ่งจ่ายแพง ขณะที่เก็บจากกิจการขนาดใหญ่เป็นอัตราคงที่ ซึ่งครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าแพงสุดต้องจ่ายที่ 4.10 บาทต่อหน่วย ขณะที่กิจการขนาดใหญ่กลับจ่ายค่าไฟฟ้าแพงสุดเพียง 3.74 บาทต่อหน่วยเท่านั้น

“ค่าไฟหน่วยละ 4 บาทไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้วอย่างที่ กกพ. ออกมาแถลง นี่เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง สงครามยูเครน-รัสเซียเป็นแค่ปัจจัยรอง แต่ปัจจัยหลักคือนโยบายของรัฐที่เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนพลังงานต่างหาก ผมยืนยันอีกครั้งว่าค่าไฟที่ถูกลงที่หน่วยละ 4 บาทเป็นไปได้ หากเพียงรัฐมีการเปลี่ยนนโยบาย นำเอาผลประโยชน์ของประชาชนมาเป็นหลักก่อนผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงานเท่านั้น” วรภพกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net