Skip to main content
sharethis

อัยการสั่งฟ้อง ม.112 “อติรุจ” โปรแกรมเมอร์ วัย 25 ปี เหตุตะโกน “ไปไหนก็เป็นภาระ” ใส่ขบวนเสด็จขากลับของรัชกาลที่ 10 และราชินี เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2565 เจ้าตัวระบุ ระหว่างถูกคุมตัวอยู่ สน.ลุมพินี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพาไปโรงพยาบาลจิตเวช ถูกมัดมือ-เท้าติดเก้าอี้ ก่อนถูกเค้นถามด้วยชุดคำถาม เช่น “รู้สึกอย่างไรบ้างกับสถาบันฯ” “เคยไปม็อบมาก่อนหรือเปล่า” และถูกเจาะเลือดโดยไม่ยินยอม

 

12 ม.ค. 2566 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2566 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ อัยการมีคำสั่งฟ้องคดีมาตรา 112 และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน อติรุจ โปรแกรมเมอร์ วัย 25 ปี หลังถูกกล่าวหาว่าตะโกนวิจารณ์ว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” ใส่ขบวนเสด็จขากลับของรัชกาลที่ 10 และราชินี ขณะเคลื่อนผ่านออกจากศูนย์การประชุมสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2565

อติรุจถูกกล่าวหาว่าตะโกนว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” ใส่ขบวนเสด็จ หลังเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในบริเวณนั้นประมาณ 10 นาย ได้เข้าจับกุมเขาทันทีโดยไม่มีหมายจับ ผู้เห็นเหตุการณ์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รีบวิ่งเข้ามาอุ้มจับอติรุจและพาตัวออกไปให้ห่างจากขบวนเสด็จ พร้อมกับใช้มือปิดปากไม่ให้อติรุจส่งเสียง แล้วจึงบังคับให้นอนคว่ำหน้ากับพื้นพร้อมกับใส่กุญแจมือทันที และถูกพาตัวไป สน.ลุมพินี เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา โดยไม่มีทนายความอยู่ร่วมด้วยในระหว่างการจัดทำบันทึกจับกุมและตรวจปัสสาวะ วันถัดมา (16 ต.ค. 2565) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ยังได้นำหมายค้นที่ออกโดยศาลจังหวัดธัญบุรี ลงวันที่ 16 ต.ค. 2565 ไปขอตรวจค้นบ้านพักของอติรุจ ที่ จ.ปทุมธานี อีกด้วย ทว่าไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด

จากนั้นเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2565 พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังอติรุจต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ทนายความจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขัง หลังศาลดำเนินการไต่สวนคำร้องจนแล้วเสร็จ ศาลอนุญาตให้ฝากขังเป็นเวลา 12 วัน แต่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวด้วยวงเงิน 200,000 บาท จากความช่วยเหลือของกองทุนราษฎรประสงค์ และกำหนดเงื่อนไขไม่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต

วรวัตร สีหะ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ผู้ฟ้องคดี บรรยายฟ้องว่า การตะโกน “ไปไหนก็เป็นภาระ” ทำให้เข้าใจผิดว่าขบวนเสด็จสร้างความเดือดร้อน และก่อให้เกิดความเกลียดชังและเป็นภัยคุกคามต่อ ร.10-ราชินี ผิดตาม ม.112

โดยสรุปกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2565 เวลาประมาณ 18.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปทรงเปิดอาคารศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ขณะที่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งของทั้งสองพระองค์เสด็จกลับออกไป มีประชาชนต่างพร้อมใจนั่งเฝ้ารับเสด็จตรงบริเวณเส้นทางเข้าและเส้นทางออกอาคารศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และต่างพากันเปล่งเสียงว่า “ทรงพระเจริญ” จำเลยซึ่งยืนอยู่บริเวณที่รถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนขบวนผ่านได้ตะโกนเสียงดังหันหน้าไปทางขบวนเสด็จว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ”

ประโยคข้างต้นที่จำเลยกล่าวเป็นถ้อยคํากล่าวที่มิบังควร จาบจ้วง มุ่งหมายใส่ความให้ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จและบุคคลทั่วไปเห็นว่าการเสด็จพระราชดำเนินนั้นเป็นการสร้างปัญหา สร้างภาระให้ประชาชน เสด็จไปที่ใดทำให้ประชาชนเดือดร้อน เอาแต่ประโยชน์ส่วนพระองค์ ไม่คํานึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน ก่อให้เกิดความเกลียดชังและเป็นภัยคุกคามต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี

ทำให้ทั้งสองพระองค์ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี อันเป็นการฝ่าฝืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นอกจากนี้ อัยการยังได้บรรยายฟ้องอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยในบริเวณนั้นประมาณ 5 นาย ได้เข้าจับกุมจำเลยทันที เพื่อให้จําเลยหยุดการกระทําดังกล่าว แต่จําเลยได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้เท้าถีบเจ้าพนักงานตํารวจผู้จับกุมถูกบริเวณแขนของ ร.ต.อ.อรรถพร คนไหวพริบ อย่างแรง ทำให้ได้รับบาดเจ็บเกิดบาดแผลถลอกบริเวณแขนซ้าย และทำให้ ร.ต.อ.ชิณกรณ์ ภูพันนา ได้รับบาดเจ็บฟกช้ําบริเวณกลางหลังช่วงเอว

อัยการจึงได้สั่งฟ้องใน 2 ข้อกล่าวหาแก่อติรุจ ได้แก่ ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหา “ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138

ภายหลังศาลรับฟ้อง ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอติรุจ โดยใช้หลักทรัพย์เดิมในชั้นสอบสวน จำนวน 200,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ พร้อมกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐานต่อไปวันที่ 13 ก.พ. 2566

ทั้งนี้ อติรุจเผย ระหว่างถูกคุมตัวอยู่ สน.ถูก ตร.พาไป รพ.จิตเวช ถูกมัดมือ-เท้าติดเก้าอี้ ก่อนถูกเค้นถามด้วยชุดคำถามประหลาด ถูกเจาะเลือดโดยไม่ยินยอม และกล่าวว่าหลังถูกจับกุมเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน โดยพบว่ามีรอยถลอก 3 จุด ที่ข้อเท้าซ้าย ข้อศอกซ้าย และข้อศอกขวา ส่วนนิ้วกลางขวาพบว่าเล็บฉีกขาด

อติรุจบอกอีกว่า ขณะถูกจับกุมเขาไม่ทราบเลยว่าเหล่าบุคคลที่เข้าถึงตัวเขานั้นเป็นใครบ้าง เพราะทุกคนแต่งกายด้วยชุดธรรมดา ไม่ใช่ชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหาร ไม่มีบัตรประจำตัว และไม่มีการแสดงตัวหรือแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ระหว่างถูกควบคุมตัวอยู่ที่ สน.ลุมพินี และยังไม่ได้พบกับทนายความ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวเขาไปตรวจเช็คสุขภาพจิตที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยไม่รอให้ทนายความหรือผู้ไว้วางใจมาถึงและเข้าร่วมกระบวนการดังกล่าวด้วย

เมื่อถึงโรงพยาบาลจิตเวช อติรุจถูกมัดมือและเท้าติดกับเก้าอี้และถูกเจ้าหน้าที่พยาบาลถามคำถามคัดกรองผู้ป่วยทางจิตเบื้องต้น แม้อติรุจจะพยายามทัดทานแล้วว่าไม่ได้มีอาการป่วยทางจิตเวชหรือจะสร้างอันตรายกับใครได้ และไม่จำเป็นต้องมัดเขาไว้กับเก้าอี้ แต่ก็ไม่เป็นผล หลังพยายามอธิบายเหมือนว่าพยาบาลจะยิ่งรัดเชือกให้แน่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

พยาบาลถามคำถามคัดกรองเบื้องต้นไปเรื่อยๆ แต่อติรุจรู้สึกว่าคำถามช่วงหลังนั้นจะดูไม่เกี่ยวข้องกับการคัดกรองผู้มีอาการป่วยทางจิต เนื่องจากมีการใช้คำถามที่เกี่ยวข้องกับการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดหลายคำถาม เช่น “รู้สึกอย่างไรบ้างกับสถาบันฯ” “เคยไปม็อบมาก่อนหรือเปล่า” เป็นต้น นอกจากนี้พยาบาลยังได้ทำการเจาะเลือดไปโดยที่อติรุจไม่ให้ความยินยอมอีกด้วย

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net